ตอนที่ 314 สิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่เปี่ยมความอาฆาต

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 314 สิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่เปี่ยมความอาฆาต

เวลานี้นกแก้วขนแหว่งก็บินเข้ามาพร้อมเสียงตะโกนดังลั่น “พวกเด็กน้อย กลับบ้านมากินขนม กลับบ้านมากินขนม ! ”

“ว้าว ! นกแก้วพูดได้ ! บ้านของพี่หลินดีจริง ๆ เลี้ยงสัตว์น่ารักไว้ตั้งเยอะ ทว่านกแก้วตัวนี้…น่าเกลียดมากเลย ! ” ติงหลิงเอ๋อร์เอื้อมมือออกไปเพื่อลองดูว่านกแก้วจะบินมาเกาะบนมือหรือไม่

นกแก้วขนแหว่งโมโหขึ้นมาทันใด “เจ้าน่ะสิน่าเกลียด ! เจ้าน่ะสิน่าเกลียด ! ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ! นกแก้วตัวนี้หงุดหงิดง่ายเหลือเกิน แถมยังกล้าต่อปากต่อคำกับมนุษย์อีกด้วย ! ” ติงหลิงเอ๋อร์หัวเราะอย่างมีความสุข จากนั้นก็เริ่มทะเลาะกับนกแก้วด้วยนิสัยเด็ก ๆ “เจ้าน่ะสิน่าเกลียด ! ดูตัวเจ้าสิมีขนเหลืออยู่กี่เส้น ? ”

นกแก้วโมโหจนบินมาทางนางเพื่อจะใช้กรงเล็บทำให้ผมของนางยุ่งเหยิง แต่ถูกติงหยูเจินขวางไว้ นกแก้วจึงกระพือปีกพลางร้องโวยวาย “เจ้าต่างหากที่น่าเกลียด ตัวเจ้าไม่มีขนสักเส้น ! ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า…สนุกมากเลย ! นกแก้วบ้านพี่หลินน่าสนใจยิ่งนัก ! ” ติงหลิงเอ๋อร์หัวเราะจนตัวงอ

ติงหยูเฉิงมองใบไม้ที่ร่วงโรยทั้งสองข้างทาง ยอดหญ้าที่พลิ้วไหวไปตามสายลม บรรยากาศไม่เหมือนตลอดเส้นทางที่ผ่านมา นอกจากพื้นดินที่แห้งแล้วก็ไม่มีสิ่งใดดูน่าสลดใจเลย…นี่ต่างหากถึงจะเป็นฤดูหนาวที่ควรเป็น !

เจ้าหนูน้อยรีบดุนกแก้วขนแหว่ง “หงส์แดง เจ้าจะเสียมารยาทต่อแขกไม่ได้ ! ไป ไปบอกพี่รองว่ามีแขกมาเยือน ! ”

ทันใดนั้นเจ้านกแก้วก็กระพือปีกแล้วออกแรงบินกลับเข้าหมู่บ้าน ขณะเดียวกันก็ตะโกนว่า “มีแขกมา มีแขกมา ! มีเด็กน่าเกลียดคนหนึ่งมา ! ”

ติงหยูเจินกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที “ช่างเป็นนกแก้วที่เปี่ยมความอาฆาตเหลือเกิน ! ”

เจ้าหนูน้อยทำสีหน้าเคร่งขรึม “ทำให้ท่านทั้งสามต้องเห็นเรื่องน่าอับอายแล้ว ! ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ! ” ติงหลิงเอ๋อร์จับหน้าท้องพร้อมใช้มืออีกข้างเอื้อมไปลูบศีรษะเจ้าหนูน้อย “น้องชายของพี่หลินก็น่าสนใจเช่นกัน ! ”

ลูกหมาสีดำที่ฉลาดเฉลียว นกแก้วขนแหว่งขี้โมโห เด็กน้อยที่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่…บ้านของพี่หลินจะต้องเต็มไปด้วยความสุขแน่นอน คราวนี้นางไม่ได้มาเสียเที่ยวแล้ว !

พี่หลิน ข้ามาแล้ว ! ทันใดนั้นติงหลิงเอ๋อร์ก็ยกชายกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน เจ้าดำก็รีบวิ่งตามไปเพราะตอนนี้มันชอบวิ่งแข่งกับคนที่สุด แม้แต่นายน้อยก็ยังวิ่งไม่ชนะมัน !

เพิ่งมาถึงหน้าหมู่บ้าน หลินเว่ยเว่ยก็ออกมาต้อนรับ “เข้าใจแล้วว่าเหตุใดวันนี้บรรดานกน้อยจึงส่งเสียงร้องอย่างมีความสุข เพราะมีแขกมาเยือนนี่เอง ! น้องหลิงเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็มา ! ”

ติงหลิงเอ๋อร์เข้าไปจับมืออีกฝ่ายแล้วยิ้มหวาน “พี่หลิน ข้าอยากมาตั้งนานแล้ว ทว่าที่บ้านไม่วางใจให้ข้าออกมาคนเดียว วันนี้พวกพี่ชายเพิ่งจะมีเวลาว่างมาเป็นเพื่อน ! จริงสิ ข้าพาพี่ชายทั้งสองมาด้วย จะดูเสียมารยาทเกินไปหรือไม่ ? ”

“เสียมารยาทอันใดกัน ? เหตุใดต้องเกรงใจข้าด้วย ? แขกมาเยือนทั้งที ข้าดีใจจนแทบจะเหาะออกมาต้อนรับ ! ข้าเข้าใจบ้านของเจ้าดี เพราะหากข้ามีน้องสาวที่น่ารักเช่นนี้ก็ไม่วางใจให้ออกนอกบ้านคนเดียวหรอก” หลินเว่ยเว่ยลูบใบหน้าสีแดงระเรื่อคล้ายผลแอปเปิลของติงหลิงเอ๋อร์

หลินเว่ยเว่ยมีเวทมนตร์ทำให้คนผ่อนคลาย ติงหลิงเอ๋อร์จึงปลดปล่อยตัวเองออกมา นางหันกลับไปแลบลิ้นให้พี่ชายทั้งสองคน “เห็นหรือไม่ ? ข้าบอกแล้วว่าพี่หลินไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ! ”

ยังไม่ทันเข้าบ้านตระกูลหลิน ติงหลิงเอ๋อร์ก็ทำจมูกดมกลิ่นเหมือนลูกแมวน้อยแล้ว “พี่หลิน ท่านทำของอร่อยที่บ้านหรือ ? หอมจังเลย ! ”

หลินเว่ยเว่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “กลิ่นนี้เป็นกลิ่นของเนื้อแผ่นที่ทำกันในบ้านข้าเอง”

“ข้ารู้ ! ข้าเคยกินเนื้อแผ่นจากร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ รสชาติพิเศษมาก อร่อยกว่าที่ข้ากินในเมืองหลวงไม่รู้ตั้งกี่เท่า ! ได้ยินว่า…เนื้อแผ่นของพวกท่านใช้เนื้อหมูป่าทำใช่หรือไม่ ? แสดงว่าในภูเขามีหมูป่าเยอะมากเลยหรือ ? ” ติงหลิงเอ๋อร์กะพริบดวงตาผลซิ่ง ช่างดูน่ารักน่าชังยิ่งนัก !

“มีเยอะมาก ! ภูเขาหนึ่งลูกมีมากกว่า 70-80 ตัวเชียวล่ะ ! เมื่อก่อนหมูป่าชอบลงเขามาทำลายพืชผักและยังทำร้ายผู้คนอีกด้วย ! ” หลินเว่ยเว่ยเอ่ยอย่างสนุก

ดวงตาของติงหลิงเอ๋อร์เบิกกว้างทันที นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงกังวล “เช่นนั้นเวลาขึ้นเขา พี่หลินกับคนในหมู่บ้านจะไม่เสี่ยงอันตรายหรือ ? ”

“นั่นเป็นเรื่องในอดีต ตอนนี้หมูป่าที่อยู่ในละแวกนี้ถูกกวาดล้างจนใกล้หมดแล้ว หากขึ้นเขาไปไม่ลึกมากก็จะไม่ค่อยเจอหมูป่า ! ” หลินเว่ยเว่ยพูดกับติงหลิงเอ๋อร์อย่างออกรส “วันนี้ได้กวางมาหนึ่งตัว เราแบ่งไปทำเนื้อกวางแผ่นบ้างแล้ว ปกติจะหาซื้อเนื้อกวางแผ่นในเขตเริ่นอันได้ยาก เพราะลูกค้าประจำสั่งจองไว้หมด ! ”

พอติงหลิงเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าก็ดูเด่นชัดขึ้นมาอีก “เช่นนั้นถือเป็นลาภปากของข้าแล้ว ! ”

“ใช่ ! น้องหลิงเอ๋อร์โชคดีจริง ๆ ญาติผู้พี่ของข้าล่ามังกรบิน ( นกหายากชนิดหนึ่ง ) มาได้สองตัว…เจ้าต้องเคยได้ยินคำที่ว่า ‘บนสวรรค์มีเนื้อมังกรบิน บนโลกมนุษย์มีเนื้อลา’ มาก่อนใช่หรือไม่ มันมีรสชาติที่เยี่ยมยอดมากเลย มื้อเที่ยงข้าจะทำซุปมังกรบินให้เจ้ากิน รับรองว่ามันจะเป็นรสชาติแปลกใหม่จนเจ้าแทบอยากกลืนลิ้นตนเองลงไปด้วย ! ”

ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็พาแขกเข้ามาในบ้าน แต่นางคิดว่าในฤดูหนาวเช่นนี้จะให้แขกอยู่ที่ศาลาก็คงหนาวตายกันพอดี ติงหลิงเอ๋อร์สามารถเข้าไปอยู่ในห้องของนางได้ แต่บุรุษทั้งสองคนจะทำอย่างไร ?

นางตะโกนไปยังห้องปีกตะวันออกที่น้องชายอยู่ “ต้าฮว๋า รีบออกมารับแขก ! ”

ติงหยูเจินและติงหยูเฉิงแทบสำลักน้ำที่ดื่มทันที…กู่เหนียงคนนี้พูดจาห้วน ๆ ไม่คำนึงถึงสิ่งใด มีนิสัยเหมือนน้องสาวของพวกเขามาก กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์ คำโบราณกล่าวไว้ไม่มีผิด !

หลินจื่อเหยียนวางพู่กันด้วยความเหนื่อยหน่าย เขาเดินออกมาจากห้องแล้วพูดกับพี่รองว่า “พี่รอง ท่านต้องพูดว่า ‘ต้อนรับแขก’ ไม่ใช่ ‘รับแขก’ พูดเพิ่มอีกคำจะทำให้ท่านเหนื่อยหรือไร ? ”

“หยอกเจ้าเล่นไงเล่า ! ข้ากลัวเจ้าเอาแต่หมกมุ่นกับการบ้านจนสติฟั่นเฟือน บัณฑิตน้อยให้การบ้านพวกเจ้าเยอะเกินไปหรือไม่ ? ช่วงนี้เจ้ากับหนอนหนังสือเผิง นอกจากกินข้าวแล้วก็แทบไม่ได้เห็นหน้าพวกเจ้าออกจากบ้านเลย ! ” หลินเว่ยเว่ยค่อนข้างปวดใจกับน้องชาย ในยุคสมัยนี้ชื่อเสียงต้องแลกมาด้วยความขยันศึกษาเล่าเรียนเท่านั้น !

หลินจื่อเหยียนส่ายหน้า “ศิษย์พี่เจียงอยากให้เราเพิ่มพูนความสามารถและประสบการณ์จากการทำการบ้าน แม้จะยากอยู่บ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่เสร็จตามกำหนด คารวะพี่ชายทั้งสอง ข้าชื่อว่าหลินจื่อเหยียน ! ”

พี่น้องตระกูลติงก็เป็นบัณฑิตจึงคารวะหลินจื่อเหยียนกลับและแนะนำตัว หลินจื่อเหยียนเชิญทั้งสองคนเข้าห้อง…วันนี้ศิษย์พี่เจียงไปเดินเล่นบนเขา เรื่องต้อนรับแขกจึงมาตกอยู่ที่ตัวเขาสินะ ?

เมื่อขออนุญาตแล้ว พี่น้องตระกูลติงก็เปิดอ่านบทความของเจ้าบ้าน จากนั้นก็บังเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาทันใด โดยเฉพาะหลังจากได้รู้ว่าหลินจื่อเหยียนมีอายุแค่ 13 ปี ทั้งสองก็ยิ่งมองตัวเองแตกต่างออกไปทันที เพราะตอนอายุ 13 ปีนั้น พวกเขาไม่อาจเขียนบทความเช่นนี้ออกมาได้

ต่อจากนั้นยังอ่านบทความที่เจียงโม่หานแก้ให้แล้วก็ตบโต๊ะบอกว่าดีอย่างเสียกิริยา ติงหยูเจินเป็นจู่เหริน (ผ่านการสอบคัดเลือกในระดับมณฑล ) แล้ว พออ่านข้อคิดเห็นที่เขียนไว้ตรงท้ายบท เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันยอดเยี่ยมมากและแอบตระหนักในใจว่าบางทีนี่อาจยังไม่ใช่ความสามารถแท้จริงของบัณฑิตเจียง ติงหยูเจินเริ่มรู้สึกสนใจและชื่นชมในตัวคนผู้นี้มากกว่าเดิม อยากรู้ว่าอัจฉริยะหนุ่มคนนี้จะขึ้นไปสูงสุดได้เพียงใด !

ส่วนติงหยูเฉิงตื่นตาตื่นใจในภาพวาดทิวทิศน์ที่แขวนอยู่หน้าโต๊ะมากกว่า ภาพวาดนี้มีการแสดงความเป็นธรรมชาติที่ละเอียดอ่อนและสมจริง นอกจากนี้ยังดูเข้ากันกับวิถีชีวิตของผู้คนมากด้วย ภูเขาทอดยาว สีของสายน้ำกระจ่างใสและยังวาดหน้าผาหินซ้อนสลับสูงต่ำดุจเกลียวคลื่น สายธารไหลรินอย่างวิจิตร ทำให้ทิวภูเขาอันกว้างใหญ่ดูไร้ขอบเขตและคดเคี้ยวไปมาอย่างไม่รู้จบ