ตอนที่ 124-2 บทสรุป จิ่งอวิ๋นฟื้น
เจ้าเมืองก้าวมาข้างหน้า มองติงเสี่ยวอิงที่ถูกแช่อยู่ในน้ำจนมีสภาพอเนจอนาถ แล้วเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “ติงเสี่ยวอิง เจ้ารู้ความผิดของตนเองหรือไม่”
“ใต้เท้า ข้าเพียงเลอะเลือนไปชั่วขณะ…”
ดูท่าจะไม่สำนึกผิด เจ้าเมืองส่ายหน้าอย่างสังเวชใจ ความเวทนาเสี้ยวสุดท้ายที่มีต่อหญิงสาวผู้นี้มลายหายไปสิ้น “ติงเสี่ยวอิง เจ้าเจตนาสังหารคน ความผิดมิอาจให้อภัย เห็นแก่ที่อีกฝ่ายไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต พอจะนับว่าเจ้าสังหารคนไม่สำเร็จ จึงละเว้นโทษตาย เปลี่ยนเป็นการเนรเทศ”
ติงเสี่ยวอิงดวงตาเป็นประกาย “ขอบพระคุณใต้เท้า!”
ขอบพระคุณหรือ พอเจ้าไปถึงที่นั่นน่ากลัวว่าคงอยากจะฆ่าข้าเสียมากกว่า
แดนเนรเทศคือนรกบนดิน ผู้ที่ไม่เคยไปย่อมไม่มีวันเข้าใจว่าสิ่งใดเรียกว่าอยู่ไม่สู้ตาย
จงใช้ครึ่งชีวิตที่เหลือของเจ้าสำนึกถึงความผิดที่ตนเองกระทำให้ดีก็แล้วกัน
ติงเสี่ยวอิงยิ้มกว้างขณะที่ถูกคนคุมตัวออกไป โชคชะตาถูกเนรเทศที่นางเคยพยายามหลีกหนี คิดไม่ถึงว่าฟันเฟืองแห่งโชคชะตาจะนำพานางกลับมาที่เดิม แต่ครั้งนี้ไม่มีผู้ใดไถ่ตัวนางอีกแล้ว
ขณะที่ติงเสี่ยวอิงเดินเฉียดผ่านหัวไหล่ของเฉียวเวย นางก็ยิ้มให้เฉียวเวยอย่างลำพอง “เป็นอย่างไรเล่า ข้ายังมีชีวิตอยู่”
เฉียวเวยมองนางอย่างอารมณ์ดี “ถ้าเช่นนั้นก็ยินดีกับเจ้าด้วย สือหลิว ติงเสี่ยวอิง”
สายลมหอบหนึ่งพัดโชยผ่าน ติงเสี่ยวอิงหนาวสะท้านอย่างมิรู้สาเหตุ…
…
เรื่องของติงเสี่ยวอิงก็จบลงเช่นนี้
ตอนบ่ายเฉียวเวยพาเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองกับคนทั้งหมู่คณะก้าวขึ้นรถม้าเดินทางกลับหมู่บ้าน รถม้าที่เช่ามาจากตัวเมืองก่อนหน้านี้กลับไปตั้งแต่วันแรกแล้ว วันนี้พวกเขาใช้รถม้าที่ลี่ว์จูหามาให้
เฉียวเวยยังนั่งคันเดียวกับปี้เอ๋อร์ ชีเหนียงและเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสอง อากุ้ย เสี่ยวเว่ยกับจงเกอร์นั่งอีกคันหนึ่ง
ออกมาท่องเที่ยวอย่างสนุกสนาน แต่ดันพบดาวหายนะอย่างติงเสี่ยวอิงจนหมดสนุก โชคยังดีที่ตามหาจิ่งอวิ๋นกลับมาได้ นับว่าเป็นเรื่องที่ควรค่าฉลองเรื่องหนึ่ง
เฉียวเวยให้หมิงอันหาร้านผ้าร้านหนึ่ง แล้วซื้อเสื้อผ้าให้ทุกคนคนละชุด
เสี่ยวเว่ยเป็นโจร ชีวิตยากลำบาก เสื้อผ้าที่ปล้นมาล้วนนำไปแลกเงิน เสื้อผ้าที่ตนสวมซอมซ่อยิ่งกว่าชาวบ้านทั้งหลาย เมื่อเห็นเสื้อผ้าใหม่เอี่ยม เขาก็เบิกบานใจจนหุบปากไม่ลง
“ชอบหรือ” เฉียวเวยถาม
เสี่ยวเว่ยพยักหน้าเหมือนตำกระเทียม “ชอบขอรับ!”
เขาชอบจริงๆ นับตั้งแต่จำความได้เขาไม่เคยสวมเสื้อผ้าใหม่ ตอนยังเล็กสวมเสื้อผ้าของพวกพี่ชาย ต่อมาพี่ชายตายหมด เขามาเป็นโจรก็สวมแต่ของหัวหน้าค่ายและพี่ๆ น้องๆ
ตอนนี้เขาก็เป็นคนที่มีเสื้อผ้าใหม่แล้วเหมือนกัน!
เสี่ยวเว่ยหันซ้ายหันขวามองหน้ากระจก หากไม่มีหูกางกั้นอยู่ ปากของเขาคงฉีกไปถึงท้ายทอย
เฉียวเวยซื้อให้อากุ้ยกับชีเหนียงคนละชุดเช่นกัน ชีเหนียงเกรงใจว่าแพงจึงกล่าวว่า “ซื้อแต่ผ้าเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะไปเย็บเอง”
เฉียวเวยจึงตอบว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าฝีมือดี แต่ตอนนี้เจ้าเป็นคนมีงานมีการทำคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเย็บปักถักร้อยทั้งวันอีกแล้ว”
ชีเหนียงพยักหน้า ดวงตาฉายแววยินดี
เป็นครั้งแรกที่มีคนบอกนางว่า สตรีมิจำเป็นต้องเย็บปักถักร้อย
อากุ้ยเห็นสีหน้ามีความสุขและเคารพนับถือของชีเหนียงกลับไม่ค่อยจะมีความสุขนัก เขาเป็นสามีของชีเหนียง เขาต่างหากที่ชีเหนียงควรเทิดทูน แต่เห็นชัดว่าในหัวใจของชีเหนียง ฮูหยินดียิ่งกว่าเขาแล้ว
เฉียวเวยซื้อให้ปี้เอ๋อร์ชุดหนึ่งเช่นกัน
ปี้เอ๋อร์คิดว่าเฉียวเวยจะซื้อชุดสาวใช้ให้ตนสักตัวหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่านางกลับซื้อกระโปรงคาดเอวผ้าแพรสีชมพูตัวหนึ่งให้ ผืนผ้าซ้อนเป็นชั้นดูเหมือนดอกตูมสีชมพู มากอีกนิดจะอลังการเกินไป น้อยอีกนิดจะจืดจางเกินไป เมื่อสวมบนร่างเอวคอดอ้อนแอ้น สีสันสดใส ทุกสิ่งพอเหมาะพอเจาะ
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยชม “แม่นางงามยิ่งนัก!”
ปี้เอ๋อร์หน้าแดง
เฉียวเวยซื้อให้เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนละชุด ร้านผ้าในเมืองหลวงมีแบบชุดมากกว่าในตัวเมือง วั่งซูมองปราดเดียวก็ถูกใจกระโปรงตัวน้อยปักลายทองตัวหนึ่ง ความจริงเฉียวเวยไม่ชอบรูปแบบกับกลิ่นอายหรูหราฟู่ฟ่ากระแทกตาของกระโปรงตัวนั้นนัก แต่วั่งซูไม่มีแรงต้านทานต่อสิ่งที่มีสีทองอย่างสิ้นเชิง สุดท้ายจึงซื้อมาจนได้
เสื้อของจิ่งอวิ๋นเป็นเสื้อตัวยาวสีฟ้าใส เหมือนซิ่วไฉตัวน้อย น่ารักเป็นที่สุด
จงเกอร์กับจวิ้นเกอร์ย่อมลืมไม่ได้ จงเกอร์เห็นเสื้อผ้าของจิ่งอวิ๋นสวยดี จึงเลือกชุดที่เหมือนกันทุกอย่างมา น่าเสียดายไม่มีสีฟ้าใสแล้ว เขาจึงเปลี่ยนเป็นสีขาว
เฉียวเวยเองก็ซื้อกระโปรงคาดเอวสีขาวตัวหนึ่งด้วย ความจริงแล้วยามปกติต้องทำงานในไร่ กระโปรงแบบนี้คงมีโอกาสสวมไม่บ่อยนัก แต่มนุษย์ทุกคนล้วนมีหัวใจรักสวยรักงามซ่อนอยู่ ต่อให้ไม่ได้ใส่ ในตู้มีแขวนไว้ก็ยังดี
“จริงสิเถ้าแก่เนี้ย ที่ร้านท่านมีด้ายดีๆ ขายหรือไม่” นางอยากจะทำเสื้อผ้าสักชุด
เถ้าแก่เนี้ยยิ้มแล้วตอบว่า “มีเจ้าค่ะ! ฮูหยินต้องการสีใดเจ้าคะ”
“เจ้าหยิบมาให้ข้าดูสักหน่อยก่อน”
เถ้าแก่เนี้ยหยิบม้วนด้ายที่ดีที่สุดออกมา “พวกนี้ล้วนเป็นด้ายทอง ด้ายเงินชั้นดี ส่วนพวกนี้เป็นด้ายสี ราคาของด้ายทองสูงสักหน่อย ส่วนที่เหลือราคาถูกมาก”
คำว่าถูกของเมืองหลวงย่อมไม่ใช่ราคาถูกจริงๆ ด้ายนานาชนิดรวมกันแล้วราคาประมาณหนึ่งถึงสองตำลึง เส้นด้ายในตัวเมืองราคาเพียงไม่กี่อีแปะ แต่ของราคาเท่าใดก็คุณภาพเท่านั้น เส้นด้ายที่นี่ทั้งเหนียวทั้งสีสันสดสวยจริงๆ
เฉียวเวยซื้อแต่ละสีมาอย่างละสองม้วน เถ้าแก่เนี้ยแถมกรรไกรเล่มเล็กสองเล่ม สายวัดหนังหนึ่งม้วนกับสะดึงปักผ้าสองชิ้น
เสี่ยวไป๋เห็นด้ายที่เฉียวเวยซื้อก็คิดว่าจะทำเสื้อให้ตัวเอง มันจึงดีใจยิ่งนัก หางชูสูงจนเกือบจะแตะถึงท้องฟ้า
เมื่อคิดเงินเรียบร้อย เฉียวเวยก็ไปซื้อขนมที่ร้านขายของใกล้ๆ
“ฮูหยิน ตอนนี้พวกเราจะไปที่ใดขอรับ” หมิงอันถาม
“ไปโรงตีเหล็กของน้องชายข้า” ไม่ได้พบหลัวหย่งเหนียนนานแล้ว ไม่ทราบว่าพักนี้เขาเป็นเช่นไรบ้าง
หมิงอันขับรถม้าไปยังโรงตีเหล็ก ทว่าหลัวหย่งเหนียนไม่อยู่
“ศิษย์น้องหลัวตามท่านอาจารย์ไปทำงาน ดึกๆ กว่าจะกลับ เจ้าเป็นพี่สาวของเขาสินะ เจ้าจะรอเขาอยู่ที่นี่หรือไม่” ผู้ที่บอกคือศิษย์พี่ร่วมห้องพักคนหนึ่งของหลัวหย่งเหนียน พวกเขาล้วนเคยกินเนื้อวัวตุ๋นกับไข่เยี่ยวม้าที่เฉียวเวยนำมาฝาก อิจฉายิ่งนักที่หลัวหย่งเหนียนมีพี่สาวฝีมือดีเช่นนี้
เฉียวเวยจึงบอกว่า “ไม่ล่ะ ฟ้ามืดประตูเมืองก็ปิดแล้ว รบกวนเจ้านำของเหล่านี้มอบให้เขาด้วย”
ศิษย์พี่รับของกินกระจุกกระจิกอันหนักอึ้งห่อหนึ่งมาถือไว้ แล้วเอ่ยอย่างเกรงใจ “ข้าจะทำตามนั้น”
เฉียวเวยเอ่ยขอบคุณแล้วหันหลังกลับขึ้นรถม้า
ความจริงแล้วที่เฉียวเวยกังวลว่าประตูเมืองจะปิดเป็นความกังวลที่เสียเปล่าอยู่เล็กน้อย ในมือหมิงอันมีป้ายที่จีหมิงซิวทิ้งไว้ให้อยู่ แม้เที่ยงคืนยามสามก็ออกนอกเมืองได้ ทว่าในความเป็นจริงฝั่งหลัวหย่งเหนียนติดปัญหาเล็กน้อย เขากับอาจารย์จึงต้องซ่อมงานจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นกว่าจะได้กลับมาที่โรงตีเหล็ก โชคดีแล้วที่เฉียวเวยไม่รอเก้อ
รถม้าสองคันมาถึงหมู่บ้าน
ก่อนหน้านี้เฉียวเวยนั่งรถม้าเช่ามาตลอด หน้าตาของรถม้าจึงธรรมดาอย่างยิ่ง แต่รถม้าที่ลี่ว์จูหามาให้ทั้งสะอาดทั้งกว้างขวาง เทียมอาชากำยำสูงใหญ่แข็งแรงสี่ตัว เมื่อยืนอยู่หน้าทางเข้าหมู่บ้านก็เหมือนม้าศึกตัวเป็นๆ สุนัขในหมู่บ้านตกใจจนเริ่มเห่า
ชาวบ้านทั้งหลายเห็นคณะของเฉียวเวยลงมาจากรถม้าหรูหราเช่นนั้นก็อิจฉาจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี
ทั้งสร้างบ้านใหม่ ทั้งจ้างคนงาน แล้วยังซื้อรถม้าหรูหราเช่นนี้อีก จิ๊ๆ ชีวิตของเสี่ยวเฉียวดีกว่าหัวหน้าบ้านเสียอีก
หัวหน้าหมู่บ้านยิ้มตาหยีเดินเข้ามา “เสี่ยวเฉียว ไปเมืองหลวงเที่ยวเล่นสามวัน เที่ยวสนุกหรือไม่”
เฉียวเวยไม่คิดจะให้ทั่วทั้งหมู่บ้านลือเรื่องตกน้ำกันไปทั่ว จึงคลี่ยิ้มตอบว่า “สนุกทีเดียว นำของเล็กน้อยมาฝากท่านด้วย”
“ข้าก็มีของฝากด้วยหรือ” ดวงตาของหัวหน้าหมู่บ้านเป็นประกาย
เฉียวเวยหยิบใบชากล่องหนึ่งกับขนมถั่วตัดห่อหนึ่งออกมาส่งให้เขา “ไม่ใช่ของมีค่าอะไร ท่านอย่าได้รังเกียจ”
“โธ่ เจ้าพูดอะไรเล่า หัวหน้าหมู่บ้านอย่างข้าเหมือนคนโลภมากพวกนั้นหรือไร ต่อให้เจ้าเอากระดาษแผ่นหนึ่งมาฝาก…เฮ้ย หลงจิ่ง!” หัวหน้าหมู่บ้างสะดุ้งโหยง!
ปีนี้ฝนน้อย ใบชาเติบโตได้ไม่ดี หลงจิ่งในตลาดราคาขึ้นไปถึงหนึ่งหรือสองตำลึงต่อหนึ่งกล่อง
“เหตุใดเจ้าซื้อของแพงเช่นนี้มาเล่า สิ้นเปลืองเกินไปแล้ว!” หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวอย่างปวดใจ
เฉียวเวยน่ะหรือจะตัดใจซื้อลง ลี่ว์จูต่างหากที่ยัดใส่ห่อสัมภาระของนางมา มีทั้งหมดสี่กล่อง กล่องหนึ่งให้หัวหน้าหมู่บ้าน สองกล่องให้ลุงหลัว แล้วอีกกล่องหนึ่งเก็บไว้รับแขกที่บ้าน
หัวหน้าหมู่บ้านได้ใบชาก็ดีใจยิ่งนัก เทียบกับใบชาแล้ว สิ่งที่หายากยิ่งกว่าก็คือน้ำใจจากเสี่ยวเฉียว
เฉียวเวยสนทนากับหัวหน้าหมู่บ้านครู่หนึ่งก็ให้พวกชีเหนียงขึ้นเขาไปก่อน ส่วนตนเองพาลูกสองคนไปบ้านสกุลหลัว
“นี่คือเสื้อของจวิ้นเกอร์ นี่ยาจินฉวงของพี่ใหญ่ แม่บุญธรรม สุราของท่าน พี่สะใภ้ ยาเกล็ดหิมะของท่าน ขวดนั้นเมื่อครั้งก่อนใช้หมดแล้วกระมัง” เฉียวเวยวางข้าวของลงบนโต๊ะ
ชุ่ยอวิ๋นกล่าวอย่างเกรงใจ “เหตุใดเจ้าซื้อของมามากมายเช่นนี้ ขวดนั้นข้ายังใช้ไม่หมดเลย”
“ถ้าเช่นนั้นก็ใช้ต่อ” เฉียวเวยยิ้มพลางวางยาเกล็ดหิมะลงบนมือของนาง
เด็กน้อยสองคนไปหยอกล้อน้องชายตัวน้อยเล่นที่ห้องโถงแล้ว
หลัวหย่งจื้อขึ้นเขาไปตัดฟืน เหลือแต่ชุ่ยอวิ๋นกับป้าหลัวอยู่ในห้อง
ป้าหลัวเหลือบมองสีหน้าซีดเซียวของเฉียวเวย ผู้อื่นไม่ทันเห็น แต่นางอยู่กับเฉียวเวยมานานปานนี้ แม้แต่ความผิดปกติเพียงเล็กน้อยนางก็สังเกตเห็น “เจ้าไม่ได้นอนใช่หรือไม่”
หลายวันนี้ต้องดูแลจิ่งอวิ๋น ไม่ได้นอนหลับดีๆ จริงๆ เฉียเวยจึงตอบว่า “จิ่งอวิ๋นตกน้ำ ป่วยไข้ไปหลายวัน”
ป้าหลัวตกตะลึง “อะไรนะ ตกน้ำได้อย่างไร”
“เจอคนบ้าคนหนึ่ง” โยนเด็กบริสุทธิ์ลงน้ำ ไม่ใช่คนบ้าแล้วเป็นอะไร ในใจเฉียวเวยมิอาจนับติงเสี่ยวอิงเป็นมนุษย์ปกติคนหนึ่ง
ป้าหลัวไม่ทราบว่าการช่วยเหลือเขายากลำบากเพียงไร แต่เมื่อคิดว่าเด็กอายุน้อยเท่านี้ถูกคนโยนตกน้ำก็ยังหวาดกลัวจนตัวสั่น “ออกนอกบ้านต้องระวัง ลูกยังอายุน้อยเท่านี้ คนบ้าฆาตกรนั่นเล่า จับเข้าคุกแล้วหรือยัง”
“จับแล้ว”
หลังจากนี้คงออกมาไม่ได้อีกแล้ว
ต่อให้ตาย กระดูกก็ต้องทิ้งอยู่ในแดนเนรเทศ
…
อากุ้ยกับชีเหนียงกลับถึงห้อง จงเกอร์เบื่อหน่าย จึงวิ่งออกไปข้างนอกจิ้มมดเล่นอยู่คนเดียว
ชีเหนียงวางสัมภาระลง แล้วหยิบของแต่ละชิ้นออกมา สิ่งที่ควรล้างก็ล้าง สิ่งที่ควรพับก็พับ อารมณ์ดีทีเดียว “เสื้อผ้าชุดนี้ของเจ้าดูดีนัก เข้ากับรูปร่างมากกว่าที่ข้าทำตั้งมาก”
นั่นเป็นเสื้อผ้าที่เฉียวเวยซื้อให้อากุ้ย อากุ้ยกลับดีใจไม่ออก
ชีเหนียงพับเสื้อผ้าไปได้ครึ่งหนึ่งก็เดินมาข้างกายเขา “กำลังคิดถึงเสี่ยวอิงอยู่หรือ”
อากุ้ยขานตอบ “อืม”
ชีเหนียงถอนหายใจ “ฮูหยินละเว้นชีวิตนางแล้ว นางไม่ตาย”
“ข้ารู้” อากุ้ยเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “แต่นางถูกเนรเทศ เมื่อข้าคิดว่านางต้องไปอยู่ไกลถึงเพียงนั้น ผู้คนและสถานที่ล้วนไม่คุ้นเคย ข้างกายก็ไม่มีผู้ใดดูแล ในหัวใจข้าก็ขมปร่ายิ่งนัก”
ชีเหนียงหลุบตาลง “อากุ้ย ไม่มีผู้ใดบังคับให้นางทำ”
อากุ้ยไยมิเข้าใจว่าทุกสิ่งล้วนเป็นเสี่ยวอิงหาเรื่องใส่ตัว แต่เสี่ยวอิงทำผิดอีกเท่าใดก็เป็นหลานสาวผู้มีสายเลือดเดียวกันกับเขา “พี่ใหญ่ของข้ามีลูกสาวคนนี้เพียงคนเดียว แต่ข้ากลับเบิ่งตามองนางถูกเนรเทศ…ตอนแรกคนที่ถูกเนรเทศคือพวกเรา หากมิใช่นางขอให้เฉียนฮูหยินซื้อพวกเราไว้ พวกเราทั้งหมดก็คงถูกเนรเทศกันหมดแล้ว บางครั้งข้าก็คิดว่า หากตอนนั้นไม่ถูกซื้อไว้ ทั้งครอบครัวไปอยู่ด้วยกันที่แดนเหนือจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยนางก็ไม่ตัวคนเดียว”
ชีเหนียงไม่ชอบติงเสี่ยวอิง ตั้งแต่แรกก็ไม่ชอบ แต่ตอนแรกอีกฝ่ายไม่เคยทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้ นางจึงยังกล่อมตนเองให้มองอีกฝ่ายเป็นเจ้านายคนหนึ่งได้ แต่ยามนี้นางไม่อยากแม้แต่จะมองเห็นคนผู้นี้
ต่อให้ติงเสี่ยวเองเคยช่วยพวกเขาจริง แต่จะอ้างเหตุผลเช่นนั้นมิได้ ไม่ใช่ว่าเจ้าเคยทำความดีเรื่องหนึ่งแล้วเจ้าจะไปกระทำเลวทรามตามใจได้
แน่นอนชีเหนียงทราบว่าอากุ้ยเพิ่งสูญเสียเสี่ยวอิงไป อารมณ์ย่อมหดหู่ นางไม่อยากทะเลาะกับเขาจึงปลอบเขาสองสามประโยคแล้วหอบเสื้อผ้าเดินออกไป
…
อีกด้านหนึ่งเสี่ยวเว่ยหอบห่อของใหญ่น้อยเต็มไม้เต็มมือกลับมายังค่ายวายุทมิฬ
เสี่ยวเว่ยไม่อยู่หลายวัน พี่น้องที่ค่ายวายุทมิฬใช้ชีวิตอย่างอนาถยิ่งนัก ไม่เพียงไม่มีเนื้อกิน แต่ยังไม่มีเนื้อให้มองอีกต่างหาก อยากดมกลิ่นเนื้อหอมๆ แกล้มข้าวก็ทำไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นพักนี้พ่อค้าเดินทางน้อยลงทุกที ‘กิจการ’ จึงซบเซา จากที่พวกเขาได้กินเนื้อติดมันสลับวัน ทุกวันนี้ได้กินแต่ซาลาเปาข้าวโพด…
คนทั้งห้องนอนแผ่อยู่บนเตียงเตา มีแต่เจินเวยเหมิ่งนั่งปะเสื้ออยู่ในลานบ้าน เห็นเขากำยำล่ำสันเช่นนี้ แต่เสื้อผ้าของพี่น้องทั้งหลายขาดเมื่อใด ล้วนเป็นเขาปะชุนให้ทั้งสิ้น
ม้านั่งน้อยตัวหนึ่ง นั่งลงไปครึ่งก้นก็มองไม่เห็นเงาอย่างสิ้นเชิง เข่าสองข้างหุบหากัน มือหนึ่งถือเสื้อ มือหนึ่งจับเข็ม เรียกได้ว่าท่านั่งถูกต้องตามแบบแผนยิ่งนัก
เขาปะชุนได้ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ฝีเข็มถี่แล้วยังเป็นระเบียบ
เจินเวยเหมิ่งปะเสื้ออย่างตั้งอกตั้งใจ ทันใดนั้นสายตาก็กวาดมองอย่างไม่ตั้งใจ จนไปเห็นเสี่ยวเว่ยเดินขึ้นมาถึงไหล่เขา หากพูดให้ถูกต้องก็คือมองเห็นข้าวของสองห่อใหญ่ในมือของเสี่ยวเว่ยกำลังเคลื่อนขึ้นไหล่เขามาอย่างเชื่องช้า ชั่วพริบตานั้นดวงตาของเขาก็วาววับเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น “หัวหน้าค่าย! หัวหน้าค่าย! เสี่ยวเว่ยกลับมาแล้ว!”
“ผู้ใดกลับมาแล้ว เสี่ยวเว่ยหรือ” หัวหน้าค่ายผู้หิวจนเดินไม่ไหวรู้สึกว่าตนเองเปี่ยมไปด้วยพละกำลังในพริบตา เขาพุ่งฉิวออกไป “เสี่ยวเว่ยยย เสี่ยวเว่ยยย”
หัวหน้าค่ายเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว ชิงแซงหน้าพวกเขาไปคนเดียวได้เช่นไร
เจินเวยเหมิ่งแสดงท่าทางไม่พอใจ เขาโยนเข็มกับด้ายทิ้งแล้วก้าวขายาวๆ (สั้นๆ) ไล่ตามไปอย่างน่าเกรงขาม!
ทุกคนเห็นพวกเขาสองคนวิ่งนำไปแล้วจึงรีบดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงเตา แย่งชิงกันวิ่งออกจากประตู
ในห้องครัว เจียงเสี่ยวซื่อผู้หิวโหยจนท้องแทบจะแบนติดแผ่นหลังและตัดสินใจโยนงูไผ่เขียวที่ตนเองเลี้ยงเข้าไปในหม้อ รีบคว้างูออกมา
งูไผ่เขียว ‘บัดซบ บิดาตกใจกลัวแทบตาย!’
“เสี่ยวเว่ย! เสี่ยวเว่ย เสี่ยวเว่ย! เสี่ยวเว่ย!” หัวหน้าค่ายสาบานว่าตอนมารดาบังเกิดเกล้าของเขากลับมาบ้าน เขายังไม่ต้อนรับขนาดนี้
เสี่ยวเว่ยเห็นหัวหน้าค่ายออกมารับเขาด้วยตนเองก็ดีใจไม่รู้มากเพียงใด สองแขนอ้ากว้างเตรียมจะมอบอ้อมกอดแห่งความรักให้หัวหน้าค่าย!
ไหนเลยจะคิดว่าเมื่อเขาหุบแขนเข้าหากัน กลับกอดได้แต่ความว่างเปล่า เมื่อหันไปมองข้าวของในมือ ก็ไม่รู้ว่าถูกหัวหน้าค่ายฉกไปตั้งแต่เมื่อใด
หัวหน้าค่ายเดินหลบไปด้านข้างอย่างหลบๆ ซ่อนๆ แล้วเปิดห่อสัมภาระออก ดวงตาเบิกค้างในพริบตา
เนื้อตากแห้ง!
ขนมถั่วตัด!
ขนมถั่วแดง!
ลูกชิ้นทอด!
และอื่นๆ อีกมากมาย…
หัวหน้าค่ายคว้าเนื้อตากแห้งกำหนึ่งยัดเข้าปาก รสชาติของเนื้ออันเข้มข้นหอมอบอวลละลายอยู่บนปลายลิ้น อร่อยจนหัวหน้าค่ายจวนเจียนจะร่ำไห้