ตอนที่ 303 แผนร้าย

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 303 แผนร้าย
ไม่เกินสิบปี สถานการณ์ในใต้หล้าคงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เพราะต้าเยี่ยนเป็นต้นเหตุอย่างแน่นอน

“ดังนั้นหม่อมฉันจึงคิดว่าฝ่าบาทควรส่งทูตไปสอบถามความเห็นของจักรพรรดิต้าเหลียงก่อนว่าเขาต้องการทำสงครามกับต้าจิ้นจริงหรือไม่เพคะ ในขณะเดียวกันฝ่าบาทสามารถส่งกองทัพต้าจิ้นไปยังภูเขาชุนมู่ แสร้งทำเป็นเตรียมออกรบเพื่อข่มขวัญจักรพรรดิต้าเหลียง จักรพรรดิต้าเหลียงย่อมหวาดกลัวแน่นอนเพคะ”

“แล้วหากต้าเหลียงต้องการทำสงครามจริงๆ เล่า” ฮ่องเต้ตรัสขึ้นอย่างไม่รีบร้อน

ฮ่องเต้หรี่ตาแคบลง เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ “บัดนี้หรงตี๋ขัดแย้งกันเองภายใน ไม่อาจสนับสนุนต้าเหลียงได้ ต้าเหลียงอยากได้ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ทางใต้ของภูเขาชุนมู่มานานแล้ว…”

“หม่อมฉันเดาว่าตอนนี้ต้าเหลียงไม่กล้าทำสงครามเพคะ!” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวขึ้นอย่างไม่รีบร้อน

“เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ช่วยอธิบายรายละเอียดให้ฟังได้หรือไม่ขอรับ” แม่ทัพจางตวนรุ่ยกำหมัดคารวะไป๋ชิงเหยียนด้วยท่าทีนอบน้อม เขาเคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับไป๋ชิงเหยียน เขายอมรับในความสามารถของหญิงสาวเป็นอย่างมาก

ไป๋ชิงเหยียนเดินไปหยุดอยู่หน้าแผนที่ที่กางอยู่ ชี้นิ้วไปที่ภูเขาหงเชวี่ย

“ที่ต้าเหลียงตั้งกองทัพอยู่ที่ภูเขาหงเชวี่ยคงเป็นเพราะพวกเขากำลังรอให้หรงตี๋มาขอความช่วยเหลือจากต้าจิ้น รอดูว่าฝ่าบาทจะช่วยเหลือหรงตี๋หรือไม่ หากฝ่าบาททรงอนุญาตให้ต้าจิ้นช่วยเหลือหรงตี๋ ต้าเหลียงก็จะถือโอกาสนี้โจมตีต้าจิ้นโดยไม่ทันตั้งตัว!”

ไป๋ชิงเหยียนลดมือลง ก้มศีรษะไปทางฮ่องเต้ “หากต้าจิ้นรับของมีค่าของหรงตี๋แล้วทำเพิกเฉยกับเรื่องนี้ เช่นนั้นต้าเหลียงก็จะนำกองทัพไปช่วยเหลือเป่ยหรงอย่างโจ่งแจ้ง จากนั้นก็ยึดครองแหล่งเลี้ยงม้าธรรมชาติของหรงตี๋ดังที่หม่อมฉันเคยทูลให้องค์รัชทายาททราบแล้วเพคะ”

ฮ่องเต้ไม่รู้ว่าไป๋ชิงเหยียนเคยกล่าวสิ่งใดกับองค์รัชทายาท เขาหันไปทางองค์รัชทายาททันที องค์รัชทายาทรู้สึกเสียวสันหลังวาบ

เสนาบดีกรมทหารเสิ่นจิ้งจงมองดูแผนที่แล้วพยักหน้าเห็นด้วยกับคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียน

“เพียงแต่ว่าต้าเหลียงคงนึกไม่ถึงว่า ครั้งนี้…ต้าเยี่ยนที่พวกเขาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาจะตอบตกลงช่วยเหลือเป่ยหรงเช่นนี้” ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าลง เหมือนจะกล่าวออกไปอย่างชัดเจนที่สุดแล้ว

“แล้วที่ต้าเยี่ยนตอบตกลงช่วยเหลือเป่ยหรงในครั้งนี้ จักรพรรดิต้าเยี่ยนจะมีจุดประสงค์เดียวกันกับต้าเหลียงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพจางตวนรุ่ยขมวดคิ้วมองไปทางฮ่องเต้

ฮ่องเต้หรี่ตาแคบ เอนกายพิงหมอนกลมลายเมฆมงคลสีทองด้านหลังอย่างใช้ความคิด

บรรยากาศในท้องพระโรงตึงเครียดขึ้นมาทันที

องค์รัชทายาทนึกถึงคำแนะนำของไป๋ชิงเหยียนก่อนหน้านี้ ตอนนั้นเขาปฏิเสธไป เขารีบกล่าวขึ้นอย่างกลัวเสด็จพ่อคาดโทษ “ต้าเยี่ยนมอบโอรสเป็นตัวประกันไว้ที่แคว้นต้าจิ้น ที่สำคัญพวกเขาพึ่งพาต้าจิ้นมานานหลายปี เสด็จพ่อบอกกับจักรพรรดิต้าเยี่ยนก่อนพระองค์จะเสด็จจากไปว่าต้าเยี่ยนสามารถช่วยเหลือหรงตี๋เพราะประโยชน์เล็กน้อยได้ ทว่า ห้ามยึดครองหรงตี๋เด็ดขาด มิเช่นนั้นต้าจิ้นจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ อย่างแน่นอน”

ฮ่องเต้เม้มปากไม่ตรัสสิ่งใดทั้งสิ้น

“ต่อให้ต้าเยี่ยนอยากยึดครองหรงตี๋ ทว่า ยังมีต้าเหลียงคอยจับจ้องอยู่ หากต้าจิ้นนำทัพบุกไปยังหรงตี๋ ต้าเหลียงย่อมตามไปด้วยเช่นกัน เสนาบดีกรมการคลังใต้เท้าฉู่กล่าวถูกต้องแล้ว ต้าจิ้นเพิ่งสูญเสียเงินไปมากมายจากการทำสงครามที่หนานเจียง รอให้ซีเหลียงส่งเงินชดเชยมาก่อน ตอนนั้นพวกเราย่อมไม่ต้องกลัวการทำสงครามกับต้าเหลียงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

องค์รัชทายาทกล่าวจบก็เห็นสีพระพักตร์ของฮ่องเต้เปลี่ยนไป เขาจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “แม้พวกเราจะได้ดินแดนที่ซีเหลียงแบ่งมาให้ ทว่า เราสูญเสียจากสงครามหนานเจียงไปมาก เราควรพักฟื้นอย่างเต็มที่ก่อนถึงจะถูก”

แม่ทัพจางตวนรุ่ยขมวดคิ้วคิดตามจากนั้นพยักหน้าอย่างเห็นด้วย รู้สึกว่าที่องค์รัชทายาทกล่าวมามีเหตุผล

ไป๋ชิงเหยียนยืนมองอยู่นิ่งๆ ซีเหลียงที่เคยแข็งแกร่งเทียบเท่ากับต้าจิ้น ดูเหมือนว่าบัดนี้จะไม่น่าหวาดกลัวสำหรับต้าจิ้นอีกต่อไปแล้ว…

นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่หรืออย่างไรกัน

ตอนนี้ซีเหลียงไม่น่าหวาดกลัวแล้วก็จริง แต่ผู้ใดจะล่วงรู้อนาคตเล่า

“เอาตามนี้ก็แล้วกัน! ตอนที่นำกองทัพไปตั้งฐานอยู่ที่ภูเขาชุนมู่ก็ส่งทูตไปสอบถามจักรพรรดิต้าเหลียงด้วยว่าต้องการจะทำสงครามกับต้าจิ้นอย่างนั้นหรือถึงได้ส่งกองทัพมาประชิดเขตชายแดนเช่นนี้” น้ำเสียงของฮ่องเต้หนักแน่น

“ฝ่าบาททรงพระปรีชาชาญพ่ะย่ะค่ะ!”

“ฝ่าบาททรงพระปรีชาชาญพ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้ก้มหน้ามองไป๋ชิงเหยียนที่คุกเข่าตะโกนสรรเสริญว่าเขาปรีชาชาญอยู่บนพื้นถึงสามครั้ง เขาอดนึกถึงไป๋ซู่ชิวขึ้นมาไม่ได้

“พวกเจ้าไปได้ ไป๋ชิงเหยียนอยู่ต่อก่อน เรามีเรื่องอยากจะถามเจ้า” ฮ่องเต้ตรัสขึ้น

“เพคะ!” ไป๋ชิงเหยียนรับคำ จากนั้นหันไปมองเสนาบดีกรมการคลังฉู่จงซิ่งที่กำลังโค้งกายเดินออกไปจากท้องพระโรง “เสนาบดีฉู่จะกลับแล้วหรือเจ้าคะ”

ฉู่จงซิ่งไม่เคยไปมาหาสู่กับไป๋ชิงเหยียน เมื่อถูกไป๋ชิงเหยียนเรียกตัวไว้ต่อหน้าฮ่องเต้ เขามองไปทางฮ่องเต้อย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวกับไป๋ชิงเหยียน “ฝ่าบาทไม่มีรับสั่งใดแล้ว ข้าจึงจะกลับแล้ว เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่มีเรื่องอันใดหรือไม่ขอรับ”

“รบกวนเสนาบดีฉู่รอข้าสักครู่เจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องเรียนให้ท่านทราบ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว

ฉู่จงซิ่งหันไปมองฮ่องเต้แวบหนึ่ง จากนั้นพยักหน้าแล้วเดินออกจากตำหนักไป

“เจ้ามีเรื่องอันใดจะกล่าวกับฉู่จงซิ่งอย่างนั้นหรือ” ฮ่องเต้ตรัสถาม

“มารดาของสาวใช้ใหญ่ข้างกายของหม่อมฉันหาคู่ครองให้บุตรสาว จึงมาขอไถ่ตัวสาวใช้ผู้นั้นจากหม่อมฉันเพคะ เมื่อถามจึงได้รู้ว่าผู้ดูแลจวนเสนาบดีกรมการคลังไปสู่ขอสาวใช้ข้างกายของหม่อมฉันจากมารดาของนางเพื่อไปเป็นอนุของบุตรอนุเสนาบดีฉู่เพคะ หม่อมฉันคิดว่าจวนเสนาบดีคือตระกูลสูงศักดิ์ สาวใช้ของหม่อมฉันได้ไปเป็นอนุก็ถือเป็นวาสนาของนาง หม่อมฉันจึงอนุญาตเพคะ”

ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าฉู่จงซิ่งเป็นคนต้องการสาวใช้ใหญ่ข้างกายของไป๋ชิงเหยียนไปเป็นอนุ

ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ฉู่จงซิ่งคิดอันใดของเขากัน ต้องการอนุตระกูลดี เหตุใดต้องเลือกสาวใช้ใหญ่ข้างกายของไป๋ชิงเหยียนด้วย เขาต้องการให้ไป๋ชิงเหยียนไม่สบายใจ หรือว่า…

หรือมีแผนร้ายอันใดแอบแฝงกันแน่

ไม่รอให้ฮ่องเต้เข้าใจ ไป๋ชิงเหยียนจึงกล่าวต่อ “ทว่า ผู้ใดจะคิดว่าสาวใช้ผู้นั้นจะกล้าขโมยปิ่นปักผมทับทิมแดงที่ท่านย่ามอบให้หม่อมฉัน หม่อมฉันไม่ทราบว่านั่นคือของไว้ดูต่างหน้าของฮองเฮาองค์ก่อน หม่อมฉันเอาแต่เก็บไว้ในหีบเพราะเสียดายไม่อยากเอาออกมาใช้ สาวใช้ผู้นั้นคิดว่าหม่อมฉันลืมปิ่นนี่ไปแล้วจึงคิดจะขโมยไปเป็นสินเดิมของนางเองเพคะ! หม่อมฉันคิดว่าในเมื่อนางจะไปเป็นอนุจวนเสนาบดีกรมการคลัง จึงควรเรียนให้เสนาบดีฉู่ได้ทราบไว้เพคะ ต่อไปหากเกิดเรื่องอันใดขึ้นมา เสนาบดีฉู่จะได้ไม่เข้าใจผิดว่าหม่อมฉันอบรมสั่งสอนคนไม่ดีเพคะ”

ฮ่องเต้มองดูไป๋ชิงเหยียนที่ก้มหน้าอยู่ จู่ๆ ก็นึกถึงไป๋ซู่ชิวขึ้นมา ใบหน้าเกรี้ยวกราดของไป๋ชิงเหยียนที่เคยแสดงต่อหน้าเขาก่อนหน้านี้จางหายไปแล้ว บัดนี้เหลือเพียงใบหน้างดงามสะอาดตา

ลำคอของฮ่องเต้ร้อนผ่าว เขาขยับท่านั่งใหม่พลางตรัสถาม “เจ้าเคยเจอแม่นางหลูที่ท่านย่าของเจ้าจะรับเป็นบุตรบุญธรรมแล้วหรือไม่”

ไป๋ชิงเหยียนเดาไว้แล้วว่าที่ฮ่องเต้ต้องการพบนางเพียงลำพังก็เพราะต้องการสอบถามเรื่องของแม่นางหลู หญิงสาวจึงเอ่ยตอบ “ทูลฝ่าบาท พบแล้วเพคะ”

“หน้าเหมือนท่านอาของเจ้ามากหรือไม่” หลังจากฮ่องเต้ถามจบ เขาก็รู้สึกว่าตนเองถามผิดคนแล้ว ตอนที่ไป๋ซู่ชิวเสียชีวิต ไป๋ชิงเหยียนยังเด็กอยู่เลย

“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันรู้สึกว่าคล้ายท่านอาซู่ชิวในภาพวาดมากเพคะ ได้ยินเจี่ยงหมัวมัวเล่าว่าแม่นางหลูผู้นี้ยังมีความรู้ด้านการแพทย์เช่นเดียวกับท่านอาซู่ชิวด้วยเพคะ ท่านย่าโปรดปรานนางมากเพคะ” ไป๋ชิงเหยียนตอบ