บทที่ 273 เจียวเจียวผู้น่าเอ็นดู (2)
อาหารที่วังมีแต่วัตถุดิบดีๆ ทั้งนั้น วันนี้กู้เจียวได้กินปูทะเลด้วย
ปูทะเลถูกจัดการด้วยการแกะเปลือกออกทั้งหมด จนเหลือแต่เนื้อ แล้วใส่ไว้ในกระดองปู
“ท่านย่า ไม่กินรึ” กู้เจียวเอ่ยถาม
“ข้ากินมาแล้ว” จวงไทเฮาเอ่ย
ไทเฮากินข้าวมาแล้วจริงๆ ซ้ำยังเป็นข้าวที่เซียวลิ่วหลังเป็นคนทำให้ จวงไทเฮารู้สึกผะอืดผะอมกับอาหารมื้อนั้นเสียจนไม่อยากกินข้าวไปอีกสามวัน!
กู้เจียวทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะหยิบถุงกระดาษเล็กๆ ขึ้นแล้วเปิดออก ในนั้นเป็นผลไม้อบแห้งสามชิ้น “ท่านย่า กินนี่ไหม กินหลังอาหารจะได้ช่วยย่อย”
จวงไทเฮากลืนน้ำลายลงคอพลางเบือนหน้าหนีเพื่อไม่ให้กู้เจียวเห็นว่ากำลังน้ำลายสออยู่ จากนั้นก็รับมาแล้วเอาเข้าปาก
จวงไทเฮานึกในใจ นี่สินะรสชาติในความทรงจำ หวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นของบ๊วยนิดๆ
รสชาติแบบนี้ไม่เหมือนกับผลไม้อบแห้งในวังเลยสักนิด
หลังจากกินเสร็จไปสามลูก จวงไทเฮาเริ่มรู้สึกอยากกินอีก
กู้เจียวเบิกตาโตพลางเอ่ยถาม “เป็นไงท่านย่า รสชาติที่คุ้นเคยใช่ไหม”
“แค่สามอันเองจะไปรู้ได้ยังไงว่าคุ้นเคยไม่คุ้นเคย” จวงไทเฮาเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“นั่นสินะ” กู้เจียวทำท่าลังเลอยู่พักก่อนจะหยิบถุงกระดาษที่ห่อผลไม้อบแห้งอีกสามก้อนขึ้นมา
จวงไทเฮามองดูผลไม้อบแห้งอย่างเงียบๆ ก่อนจะชำเลืองไปที่กระเป๋าผ้าของกู้เจียว
ซึ่งกระเป๋าที่ว่าคือของขวัญที่นางเคยมอบให้กู้เจียวตอนอายุครบสิบห้า ลายบนกระเป๋าเป็นลายปักรูปนกกระทาสองตัวพร้อมกับไข่นกกระทาจำนวนหนึ่ง เดิมทีนางตั้งใจจะปักเป็นรูปเป็ดแมนดาริน แต่สุดท้ายดันกลายเป็นนกกระทาไปเสียอย่างนั้น
จวงไทเฮาเริ่มนึกสงสัยตัวเอง ของโง่ๆ พรรค์นี้ ตนทำออกมาได้อย่างไรกัน
จวงไทเฮาทำหน้ารังเกียจ
แต่ก็พลันนึกได้ว่าเป็นเพราะตอนนั้นตัวเองความจำเสื่อมเลยอาจเผลอทำเรื่องโง่ๆ ลงไปก็เป็นได้
จากนั้นจวงไทเฮาก็กินผลไม้อบแห้งสามลูกต่อมาจนหมด
เมื่อก่อนกู้เจียวจะจำกัดให้หญิงชรากินผลไม้อบแห้งได้แค่สามชิ้นต่อวันเท่านั้น หากเป็นช่วงปีใหม่ก็จะให้กินห้าชิ้น หากอยากกินมากกว่านั้น หญิงชราก็จะต้องหาวิธีซ่อนโหลผลไม้อบแห้งเอาไว้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางซ่อนมิดเพราะดันถูกเสี่ยวจิ้งคงจับได้เสียก่อนและเอาไปฟ้องกู้เจียว!
หลังจากจวงไทเฮากินผลไม้อบแห้งเข้าไปหกชิ้นถ้วน ก็เอ่ยเสียงแข็ง “รสชาติที่คุ้นเคยอะไรกัน ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ไหนขอลองอีกหน่อยซิ!”
กู้เจียวหรี่ตามอง “ท่านย่า จะหลอกขอกินอีกละสิ”
ไทเฮาทำหน้าเลิ่กลั่ก “ขะ ข้า ข้าเปล่านะ!”
สุดท้ายกู้เจียวก็ไม่ได้ให้กินต่อ อีกทั้งก่อนออกไป ยังกำชับกับฉินกงกงว่าไม่ให้ไทเฮากินของหวานๆ อีก
ฉินกงกงทำหน้ายิ้มแย้มพลางน้อมรับ
จวงไทเฮาถึงกับหน้าดำคร่ำเครียด!
หลังจากที่จวงเย่ว์ซีร้องไห้กลับจวนไป ราชครูจวงเห็นดังนั้นจึงถามไถ่ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ตอนที่ไทเฮาทรงประชวร ไม่ยักกะเห็นจวงเย่ว์ซีร้องไห้ฟูมฟายเช่นนี้เลย แม้จะเศร้าอยู่บ้างก็ตาม
จวงเย่ว์ซีทำหน้าละห้อย “ท่านย่า ไล่ข้าออกจากวัง…”
“เพราะเหตุใดรึ” ราชครูจวงทำหน้าสงสัย
จวงเย่ว์จึงเล่าเหตุการณ์ที่กู้เจียวมาแอบหลับบนแท่นบรรทมและตัวเองถูกตบจนร่างเซไปชนตู้ให้ฟัง “…นางต่างหากที่ผิด นางทำร้ายข้า ข้าต่างหากที่เป็นผู้ถูกกระทำ! แต่ไทเฮาเอาแต่โทษข้า…”
“ไทเฮาออกจะเอ็นดูเจ้ามิใช่หรือ ใยถึงได้…” ราชครูจวงเอ่ยถาม
จวงเย่ว์ซีไม่กล้าพูดไปว่าคนที่ไทเฮาเอ็นดูไม่ใช่ตน แต่เป็นนางเด็กนั่น
แต่น่าแปลกที่ตอนกลางวันไทเฮาไม่เห็นเป็นแบบนี้ แต่ตอนกลางคืนกลับดูเป็นคนละคน ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่!
จวงเย่ว์ซีจึงเล่าความกังวลของตัวเองไป
ราชครูจวงนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ก่อนจะเอ่ย “ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับห้องไปก่อน ย่ำรุ่งข้าจะไปเข้าเฝ้าไทเฮาเสียหน่อย”
“เจ้าค่ะ” จวงเย่ว์ซีน้อมรับเสร็จก็เดินสะอื้นกลับห้องไป
วันรุ่งขึ้น ราชครูจวงก็ได้ตามไปที่ราชรถของไทเฮา “ไทเฮา!”
จวงไทเฮายกมือห้าม
นางข้าหลวงน้อมรับก่อนจะเอ่ยเบาๆ “หยุดก่อน”
ราชรถของไทเฮาจอดลงตรงหน้าตำหนักจินหลวน
ราชครูจวงยื่นมือคารวะ ก่อนจะเอ่ย “ทรงมีเวลาซักประเดี๋ยวหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาสะบัดแขนเสื้อหนึ่งที “เจ้าว่ามาเลย คนในทีนี้ได้ยินกันได้หมด”
“พ่ะย่ะค่ะ” ราชครูจวงหันไปมองเหล่านางข้าหลวงและฉินกงกงที่ยืนหน้าตาย ก่อนจะกระเถิบเข้ามาใกล้ๆ ราชรถ “ที่ซีเอ๋อร์ไปก่อเรื่องไว้ กระหม่อมได้ทำการว่ากล่าวตักเตือนนางให้แล้วขอรับ โปรดไทเฮาอย่าได้ถือโทษนางเลยขอรับ”
“พูดภาษาคน” ไทเฮาเอ่ยเสียเนิบ
แต่ไหนแต่ไรจวงไทเฮาไม่ชอบให้ใครพูดจาอ้อมค้อม และยิ่งกับคนกันเองแล้วยิ่งแล้วใหญ่
ราชครูจวงถอนหายใจหนึ่งที “เรื่องเมื่อวาน ข้าถามซีเอ๋อร์แล้ว แน่นอนว่านางผิดที่เข้าห้องโดยพลการ แต่อย่างไรเสีย นางก็เป็นหลานของท่าน ท่านลงโทษนางต่อหน้าบ่าวและสามัญชน แล้วนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
ไทเฮาเอ่ยตอบ “แม่นางคนนั้นไม่ใช่สามัญชน นางเป็นบุตรสาวจวนอันติ้งโหว และเป็นภรรยาของจอหงวน”
ราชครูจวงนึกในใจ นั่นไม่ใช่ประเด็นสักหน่อย
จวงไทเฮายังเอ่ยต่อ “ในเมื่อนางกล้าขัดคำสั่งของข้า แล้วยังจะหวังให้ข้าไว้หน้าอีกหรือ”
ราชครูจวงรู้ดีว่าการขัดขืนต่อคำสั่งของพระเจ้าแผ่นดินนั้นเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
คำสั่งของไทเฮาไม่ต่างอะไรกันกับคำสั่งของฮ่องเต้ มิอาจฝ่าฝืนได้
จวงไทเฮานึกในใจ เหอะ นางเด็กนั่นกล้ามาบอกว่าข้าไม่เอาเจียวเจียวแล้ว ไม่เฆี่ยนให้ตายก็บุญแค่ไหนแล้ว
เดิมราชครูจวงต้องการจะถามไถ่และขอขมากับไทเฮา กลายเป็นว่าเหมือนตัวเองมาโดนต้องโทษเสียเอง ราชครูจวงไม่เข้าใจว่าเหตุใดจวงเย่ว์ซีถึงไม่ยอมเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้หมด ขณะเดียวกันเขาเองก็สงสัยว่าสุดท้ายแล้วเด็กสาวคนนั้นลงเอยอย่างไร
ราชครูจวงถามต่อ “ขอถือวิสาสะถามว่าไทเฮาได้จัดการกับแม่นางผู้นั้นอย่างไรขอรับ”
ต่อให้นางจะเป็นภรรยาจอหงวนหรือบุตรสาวจวนโหวเขาก็ไม่สน เขาสนแค่ว่านางขึ้นไปนอนบนแท่นบรรทมนั่นได้อย่างไร!
“ข้าจะจัดการกับนางอย่างไร ข้าต้องบอกด้วยหรือ” จวงไทเฮาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นชา
พอได้ยินดังนั้น ราชครูจวงไม่กล้าพูดอะไรต่อ “เช่นนั้น กระหม่อมขอลา”
“ช้าก่อน” จวงไทเฮาเอ่ยเรียกรั้ง “ไหนๆ ก็มาแล้ว ข้าเพิ่งนึกได้ว่าข้าเคยมอบของให้นางไปไม่มากก็น้อย ข้าอยากได้ของทั้งหมดคืนมา!”
ราชครูจวงได้ยินดังนั้นก็ถึงกับเสียการทรงตัวจนเกือบล้ม!
นี่เขาไม่ได้หูฝาดใช่ไหม
ของที่ไทเฮาเคยประทานให้ ต้องการเอาคืนหมดอย่างนั้นหรือ
แต่…แต่ท่านเป็นถึงไทเฮาเลยนะ จะกระทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
แน่นอนว่าถ้าเป็นจวงไทเฮาคนก่อน คงไม่ทำเรื่องแบบนี้แน่ๆ แต่นี่คือจวงไทเฮาคนที่เคยผ่านชีวิตที่ลำบากมาแล้วอย่างไรเล่า!
เจียวเจียวของนางยังเคยเก็บของป่ามาขายเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวเลย! ลาภยศอะไรนั่น! ซื้อข้าวกินได้ที่ไหน!
ก็ในเมื่อของมันอยู่ในมือของคนที่ไม่ควรได้รับนี่นา
ถ้าจะเอาคืนมันผิดตรงไหน!
ราชครูจวงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังกระอักเลือดอยู่ นี่เขามาที่นี่ทำไม มาเพื่อให้ไทเฮาคิดเรื่องนี้ได้เท่านั้นหรือ
ราชครูจวงเดินทางกลับจวน ก็เจอกับจวงเย่ว์ซีที่กำลังรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“ท่านปู่ เป็นอย่างไรบ้าง ไทเฮาว่าอย่างไรบ้าง”
ราชครูจวงกระแอมหนึ่งที ก่อนเอ่ย “ไทเฮาทรงมีรับสั่งว่าให้เรียกคืนของที่เคยประทานให้เจ้าทั้งหมด”
จวงเย่ว์ซี “ว่าอย่างไรนะ”
“อย่างไรเสียเจ้าก็ไม่ชอบอยู่แล้วนี่” ราชครูจวงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย
จวงเย่ว์ซีนึกในใจ ตนเคยบอกตอนไหนกันว่าไม่ชอบ แค่บอกว่าแตกต่างจากความชอบของตัวเองก็เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเรื่องจะเอาของคืนเลยนะ
“แล้ว…ตำหนักองค์หญิงที่เฉิงหนานเล่า ไทเฮาคงไม่เอาคืนหรอกใช่ไหมเจ้าคะ” จวงเย่ว์ซีเริ่มหน้าเจื่อน
ฉินกงกงที่ได้รับสั่งให้มาขนของออกไป พอเดินมาถึงหน้าประตูและได้ยินประโยคเมื่อครู่ ก็รีบหันไปหาขันทีผู้ติดตามแล้วเอ่ยถาม “เจ้าลองไปถามพระองค์ดูสิว่าตำหนักจะเอาคืนด้วยไหม”
จวงเย่ว์ซี “…!!”
ปากหาเรื่องจนได้สิเรา!!!