บทที่ 292 คือขงเบ้ง

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

เพราะปกติคนทั่วไปเวลาที่รู้ว่าใครมีลูก จะแปลกใจแค่ไหนก็จะพูดว่า‘มีลูกแล้วเหรอ’หรือไม่ก็‘มีลูกตั้งแต่เมื่อไร’สองคำนี้ แต่ไม่ใช่ ‘มีลูกได้ยังไง !’

และจากคำพูดนี้ก็แสดงให้เห็นว่า ก่อนหน้านั้นตัวขงเบ้งเอง ก็รู้ว่าเขามีปัญหาเรื่องภาวะไม่เจริญพันธุ์ เพราะตัวขงเบ้งเป็นต้นเหตุ ขงเบ้งก็จึงรู้เรื่องนี้ !

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของนัทธีก็มืดมนจนน่ากลัว รอบกายก็มีไอสังหารอบอวลไปหมด

พิชิตยืนขึ้น แล้วตบไปที่ไหล่ของเขาอย่างปลอบโยน “พอเถอะนัทธี ตอนนี้โกรธไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร รอให้ความร่วมมือกับการรักษาของฉันจะดีกว่า ”

นัทธีกวาดตามองไปที่พิชิตแวบหนึ่ง น้ำเสียงเย็นชาไร้ความรู้สึก “ฉันรู้แล้ว เรื่องนี้ ห้ามบอกวารุณี”

เขาไม่อยากให้วารุณีคิดว่า เขาเป็นผู้ชายไม่เอาไหน !

พิชิตอ่านความคิดของนัทธีออก ดันกรอบแว่นแล้วกระแอมไอออกมา เห็นชัดว่ากำลังกลั้นขำอยู่ “ฉันรู้แล้ว วางใจเถอะ เรื่องนี้มันเกี่ยวกับศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้ชายของนาย ฉันจะเก็บความลับนี้ไว้เป็นอย่างดี ”

นัทธีเม้มริมฝีปาก และไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดโทรไปหามารุต

ไม่นานปลายสายก็มีคนรับ เสียงหาวของมารุตดังเข้ามาให้ได้ยิน “ท่านประธาน ดึกป่านนี้แล้วมีเรื่องอะไรเหรอครับ ?”

“ก่อนหน้านั้น ที่ฉันให้นายไปสืบเรื่องของขงเบ้ง ได้ความว่ายังไงบ้าง?” นัทธีนวดคลึงไปที่ขมับอันเจ็บปวดของเขา

พิชิตรู้สึกประหลาดใจ“นายให้คนไปสืบเรื่องของขงเบ้งทำไม ?”

นัทธีหลุบตาลงต่ำ ไม่ได้ตอบกลับ

ที่เขาสืบเรื่องของขงเบ้ง เพราะในตอนนั้น จู่ๆขงเบ้งก็โผล่มาที่บ้าน เมื่อเห็นวารุณีกับอารัณ ปฏิกิริยาของเขาแสดงออกชัดเจนมาก จากนั้นจู่ๆก็ขอตัวกลับทันที

แต่ในตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าเหตุผลที่ขงเบ้งขอตัวกลับไปนั้นเป็นเพราะเรื่องนี้ คิดว่าเป็นเรื่องอื่น จึงได้ให้มารุตไปตามสืบ แต่นี่ก็ล่วงเลยมานานแล้ว มารุตก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรกับเขา

“ขงเบ้ง?”มารุตมึนงงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ ตีไปที่หน้าผากของตัวเองแล้วตอบว่า “ขออภัยครับท่านประธาน ท่านไม่ถาม ผมเองก็เกือบจะลืมไปแล้ว ตอนนั้นในตอนที่ผมสืบเรื่องของเขา ก็ไม่เจอว่าเขาทำเรื่องอะไรที่มันผิดปรกตินะครับ ”

“การซื้อยามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรก็จริง” พิชิตยักไหล่“ คนส่วนใหญ่ก็มักจะไปซื้อยากัน เพราะฉะนั้นน้อยคนนักที่คิดว่าการซื้อยานั้นเป็นเรื่องผิดปรกติ ”

มุมปากนัทธียกหยักขึ้นอย่างเย็นชา“แม้ว่าการซื้อยานั้น จะไม่ทำให้คนอื่นเห็นความผิดปรกติอะไร แต่มันก็เป็นเบาะแสที่ดีได้ ”

ในขณะที่พูด เขาก็หรี่ตาลง ถามมารุตกลับไปว่า“ ในช่วงที่นายสืบ สืบเจอไหมว่าในช่วงห้าปีมานี้ขงเบ้งซื้อยาอะไรไปบ้าง ?”

“ยา?”มารุตหยิบแว่นที่หัวเตียงขึ้นมา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็จึงตอบกลับว่า“ไม่มีครับ แต่พบสืบเจอมาว่าห้าปีก่อนของขงเบ้ง เข้าๆออกๆโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งบ่อยมาก แต่ผมคิดว่าเขาคงจะไปหาหมอ เลยไม่ได้สนใจอะไร ท่านประธาน หรือว่าในนั้น……”

“ที่นั่นแหละ!”นัทธีกำโทรศัพท์แน่นด้วยสีหน้าที่เย็นเยือก พูดขัดเขาขึ้นมา“ รีบไปเช็กโรงพยาบาลนั้นด่วน ฉันต้องรู้ ทุกอย่างที่เกี่ยวกับขงเบ้งในโรงพยาบาลแห่งนั้น !”

“ครับ!”แม้ไม่รู้ว่าท่านประธานจะทำอะไร แต่มารุตก็ไม่ได้ถามอะไรมาก พยักหน้ารับคำทันที

เมื่อพูดคุยกันเสร็จ นัทธีก็วางโทรศัพท์ลง

พิชิตบิดขี้เกียจ“ ดึกมากแล้ว ฉันจะกลับละ รอวางแผนขั้นตอนการรักษาแล้วเสร็จ ฉันจะแจ้งนายแล้วกัน”

นัทธีตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง แสดงให้รู้ว่าเขารู้แล้ว

พิชิตหันหลังให้แล้วเดินไปที่ประตูของห้องหนังสือ

นัทธีไม่ได้มองตามเขา มือประสานกันอยู่บนโต๊ะ ก้มหน้ามองต่ำ แววตาเย็นเยือก ทำให้รู้สึกน่ากลัวจนตัวสั่น

เขากำลังคิด ทำไมตอนนั้นคุณปู่ถึงได้ทิ้งพินัยกรรมที่สามารถทำลายครอบครัวของขงเบ้งเอาไว้ให้ และหลังจากที่ทิ้งเอาไว้ ก็ได้ฝากข้อความไว้ให้กับผู้ช่วย หวังว่าในตอนที่ครอบครัวขงเบ้งไม่คิดจะทำร้ายตระกูลนาคชำนานและบริษัท นาคชำนาน กรุ๊ปนั้น ให้เขาอย่าตามหาพินัยกรรมนั้น เหลือทางเดินเอาไว้ให้ครอบครัวของขงเบ้งด้วย

เขากำลังขบคิดว่าจะเชื่อฟังคำของคุณปู่ดีหรือไม่ เพราะยังไงมันก็เป็นคำสั่งเสียของคุณปู่ ที่สำคัญคือ ครอบครัวขงเบ้งในตอนนี้ก็อยู่อย่างเงียบสงบดี ไม่ได้คิดจะทำอะไรกับบริษัท นาคชำนาน กรุ๊ปและตระกูลนาคชำนาน ไม่ใช่ว่าเขาจะปล่อยครอบครัวของขงเบ้งไปไม่ได้ แต่เพราะขงเบ้งมาทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้ เขาไม่มีวันปล่อยครอบครัวของขงเบ้งไปแน่

หากหาพินัยกรรมพบ เส้นสายของทางครอบครัวขงเบ้ง เขาจะขุดรากถอนโคนทิ้งให้หมดอย่างแน่นอน!

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาที่หรี่เล็กของนัทธี ก็แผ่กลิ่นอายของความดุร้ายออกมา แต่แค่เพียงไม่นาน ก็หายวับไป

หลังจากนั้น เขาก็ลุกขึ้น แล้วเดินออกจากห้องหนังสือ ตรงไปที่ห้องนอน

กลับมาถึงที่ห้องนอน นัทธีเห็นวารุณีนั่งอยู่บนเตียง บนตัวคลุมด้วยผ้านวมบางๆ ในมือถือสมุดเขียนแบบและดินสออยู่ กำลังขีดๆเขียนๆอะไรลงไปในกระดาษ

เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู วารุณีก็หยุดทุกอย่างในมือลง หันหน้าไปมอง เห็นนัทธีเดินเข้ามา ก็ยกยิ้มให้ “กลับมาแล้วเหรอ?”

คำว่า‘กลับมาแล้วเหรอ’นี้ก้องอยู่ในหูของนัทธี และสัมผัสเข้าไปที่หัวใจของเขา มันอบอุ่น ความกังวลที่หนักอึ้งในใจ ก็พลันผ่อนคลายลงไปอย่างมาก

เขาตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง คิ้วที่ขมวดอยู่ก็คลายลง เร่งฝีเท้าขึ้นแล้วเดินเข้าไปหา “ยังไม่นอนอีกเหรอ?”

“รอคุณอยู่”วารุณีปิดสมุดเขียนแบบลง “คุณคุยกับคุณหมอพิชิตเสร็จแล้วเหรอ?”

“เสร็จแล้ว!”นัทธียกมือขึ้น เพื่อจะถอดเนกไทออก

เมื่อวารุณีเห็นดังนั้น ก็จึงวางสมุดเขียนแบบลงทันที ดึงผ้าคลุมบนตัวออกแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเขา หยุดการเคลื่อนไหวของเขา “ฉันช่วยนะ”

เธอดันมือของเขาออก

นัทธีก้มศีรษะลง มองดูท่าคุกเข่าของเธอ ไม่ได้พูดอะไร ดวงตามืดมน และทันใดนั้นก็ราวกับมีอะไรกำลังกะพริบแสง

วารุณีไม่ได้สังเกตเห็นอะไร ช่วยเขาถอดเนกไทไปด้วย แล้วพูดขึ้นว่า “การถอดที่ไม่เป็นระเบียบของคุณ มันคือการดูหมิ่นนักออกแบบอย่างเรา สำหรับเราแล้ว งานทุกชิ้นก็เหมือนเด็กคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องการเห็นผู้ซื้อของเราหยาบคายกับพวกเขา เรียบร้อยแล้วค่ะ”

วารุณีโยนเนกไทที่ถอดออกมาลงไปที่เตียง แล้วปัดมือ กำลังจะเดินจากไป

ในตอนนี้เองนัทธีก็จับมือเธอเอาไว้ ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงเล็กน้อย น้ำเสียงแหบแห้ง“ยังไม่เสร็จเลย ทำต่อสิ”

“ทำต่อ?”วารุณีมองเขาอย่างสงสัย “เสร็จแล้วนี่ค่ะ เนกไทก็อยู่นี่แล้วไง ?”

“ยังมีเสื้อตัวนอกกับเสื้อเชิ้ตที่ยังไม่ได้ถอด” นัทธีมองสบตาเธอด้วยสายตาที่ลุ่มลึก

วารุณีดวงตาค่อยๆเบิกกว้าง ทันใดนั้นก็เข้าใจทุกอย่างได้ในทันที ใบหน้าเรียวเล็กแดงก่ำ “ ทำไมต้องให้ฉันถอดด้วยล่ะ ?”

“ผมจะเปลี่ยนชุดนอน จะถอดแค่เนกไทเองคงไม่ได้หรอกนะ?” นัทธีก้มมองดูเธอ นัยน์ตามีรอยยิ้มปรากฏ

เมื่อวารุณีเห็น ใบหน้าก็ยิ่งเห่อแดงขึ้น“ คุณก็ถอดเองสิคะ!”

“แต่คุณขอจัดการเรื่องนี้เองนะ เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องทำมันให้เสร็จสิ ” นัทธีพูดแล้วยกยิ้มมุมปาก

“ฉัน……”วารุณีอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

ก็ใช่ ตอนที่เขาถอดเนกไท เป็นเพราะเธอทนดูไม่ได้ จึงไปแย่งมันมาทำด้วยตัวเองไม่ใช่เหรอ ?

ไม่คิดว่าในตอนนี้ เขาจะเหมารวมมันไปหมดแล้ว !

วารุณีถึงกับต้องปิดหน้าตัวเอง จากนั้นก็ยอมจำนนต่อชะตากรรม เอามือไปวางไว้ที่เสื้อเชิ้ต แล้วเริ่มถอดเสื้อผ้าให้เขา

ในระหว่างนี้ นิ้วมือของเธอก็สัมผัสไปโดนหน้าอกของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อันที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไร แต่สำหรับนัทธีแล้ว มันดูเหมือนเป็นการยั่วยุและหยอกเย้า ทำให้หน้าอกของเขาราวกับถูกปัดไปมาด้วยขนนก คันยุบๆยิบๆ ดวงตาของเขาก็เริ่มมัวเมาขึ้นเรื่อยๆ

วินาทีถัดมา ดวงตาของเขาหรี่ลง ดันร่างของวารุณีลงไปบนเตียงทันที

วารุณีตะลึง จ้องเขม็งมองเขา “คุณจะทำอะไร ?”

นัทธีไม่ตอบ ก้มศีรษะลงแล้วจูบเธอ

ในตอนนี้เอง วารุณีไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร ในใจยังกลอกตาไปมาอยู่เงียบๆ ในที่สุดเธอก็ยกมือคล้องไปที่คอของเขา แล้วตอบสนองเขา

เมื่อนัทธีได้รับการตอบสนอง ก็ราวกับได้รับการสนับสนุนบางอย่าง หลังจากที่ดวงตาหดลง ก็เริ่มจูบอย่างดูดดื่มมากขึ้น

วันรุ่งขึ้น วารุณีตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดเนื้อปวดตัว นัทธีเองก็ยังอยู่ ยังไม่ได้ออกจากบ้าน

วารุณีนวดคลึงไปที่หลัง แล้วจ้องเขม็งมองเขา

นัทธีในชุดคลุมอาบน้ำเดินมาที่เตียง บนเส้นผมยังคงมีหยดน้ำเกาะอยู่เห็นชัดว่าเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ

“เจ็บมากเหรอ?”ชายหนุ่มถาม