บทที่ 310 ทอดทิ้งตู้เหิง
บทที่ 310 ทอดทิ้งตู้เหิง

ความจริงแล้วตู้จงเจ้าของจวนเจ้าอาลักษณ์ในตอนนี้เป็นลูกชายคนที่สองของฮูหยินใหญ่

ลูกชายคนโตของฮูหยินใหญ่ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว ผ่านไปสิบปีถึงจะมีลูกชายอีกคน

คิด ๆ ไปแล้ว อายุของหญิงชราในตอนนี้ก็ถือว่าไม่น้อย

คนเราเมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายคงเทียบเมื่อครั้งยังวัยเยาว์ไม่ได้

อาการป่วยนี้กำเริบขึ้นเมื่อสองสามวันก่อน เรื้อรังมาเป็นเวลาเดือนเศษ กระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่หายสมบูรณ์

แม่กู่วิ่งเหยาะไปตลอดทาง เร่งฝีเท้าตะลีตะลานไปนอกเรือนของฮูหยินใหญ่ กระทั่งถูกสาวใช้ผู้หนึ่งขวางไว้

สาวใช้ผู้นั้นกล่าวเสียงดังฟังชัด “ฮูหยินรองมีเรื่องอะไรเจ้าคะ? ฮูหยินใหญ่เพิ่งจะกินยาไป บัดนี้กำลังนอนหลับ ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ เกรงว่าอย่าไปรบกวนฮูหยินใหญ่จะดีกว่าเจ้าค่ะ”

หน้าผากของแม่กู่มีเหงื่อผุดซึม นางเร่งฝีเท้ามาตลอดทาง สีหน้าซีดเซียวไม่น้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างร้อนใจ “เกิดเรื่องใหญ่ เกิดเรื่องใหญ่ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

สาวใช้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แสดงท่าทางไม่เชื่ออย่างชัดเจน

แม่กู่ทำได้แค่ยืนกราน “ครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ ผ้าในคลังเก็บของตอนนี้หายไป คุณหนูใหญ่และคุณหนูรองเกิดความบาดหมางกัน ฮูหยินใหญ่ไม่อยากเจอข้าก็พอจะเข้าใจได้ แต่ตอนนี้ เกิดเรื่องใหญ่แล้วจริง ๆ ทั้งยังเกี่ยวกับองค์จักรพรรดิ และพระสนมในวังด้วย!”

สาวใช้ผู้นั้นได้ยินนางพูดเช่นนี้ สีหน้าจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วพยักหน้าก่อนพูดว่า “ฮูหยินรองรอครู่หนึ่ง ข้าจะไปเรียกฮูหยินใหญ่ออกมาเจ้าค่ะ”

สาวใช้รีบเดินเข้าไปในลานบ้าน จนลืมเชิญแม่กู่เข้าไปเสียสนิท

เดิมทีนางเป็นคนที่มีความอดทนต่ำอยู่แล้ว บัดนี้เกิดความร้อนใจ จึงยิ่งไม่สามารถข่มอารมณ์กับเรื่องนี้ได้ ทำได้แค่เดินไปเดินมาอยู่ที่เดิม เดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว เดี๋ยวก็ทอดถอนใจ…

ผ่านไปครู่หนึ่ง สาวใช้ผู้นั้นก็ออกมาแล้วกล่าวเสียงต่ำ “ฮูหยินรอง ฮูหยินใหญ่ให้ท่านเข้าไปได้เจ้าค่ะ”

แม่กู่ถอนหายใจ ก่อนยกชายกระโปรงสาวเท้าก้าวเข้าไปในลานบ้าน

ฮูหยินใหญ่ตู้แต่งกายเรียบร้อย เมื่อเห็นสะใภ้รองผู้นี้เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน สีหน้าจึงผ่อนคลายลงด้วยจิตใต้สำนึก

“มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากัน ท่าทางเช่นนี้ ไปทำอะไรมาล่ะ?”

ฮูหยินใหญ่มีท่าทางดูน่าเกรงขามยิ่ง แม่กู่จึงตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็รีบลุกขึ้นยืน เก็บท่าทางกระวนกระวายนั้นไว้ทันที

ฮูหยินใหญ่ตู้เห็นนางเป็นเช่นนี้ จึงได้เอ่ยเสียงราบเรียบ “ว่ามา มีเรื่องอะไร?”

แม่กู่เองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยามยืนต่อหน้าฮูหยินใหญ่ ความรู้สึกกระวนกระวายใจเช่นนี้ถึงไม่กำเริบแม้แต่น้อย

นางแค่พูดเร็วขึ้น “ทันทีที่พี่ใหญ่กลับมา ก็เรียกหลานสาวคนโตไปห้องหนังสือ แล้วสั่งสอนอย่างรุนแรงรอบหนึ่ง….เท่าที่ฟังนั้น คุณหนูใหญ่กระทำบางอย่าง แล้วในวังทราบเรื่อง ฝ่าบาทจึงทรงลงโทษ!”

ฮูหยินใหญ่ตู้ผ่านประสบการณ์มาแล้วกว่าครึ่งชีวิต เห็นความไม่แน่นอนมามากกว่าที่แม่กู่จะจินตนการได้

นางเบิกตาขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าไม่สอบถามมาให้ดีเสียก่อนเล่า?”

แม่กู่ห่อไหล่อย่างขลาดกลัวแล้วพูดเสียงต่ำ “พี่ใหญ่กำลังโกรธเคือง ข้า ข้าไม่กล้าเข้าไปถาม…”

ฮูหยินใหญ่ตู้ขมวดคิ้ว ความรังเกียจได้ฉายชัดขึ้นมาบนใบหน้าแวบหนึ่งโดยที่แม่กู่ไม่เห็น

“ช่างเถอะ อาจวน ประคองข้าลุกขึ้นที”

สาวใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินใหญ่มาโดยตลอดได้รุดขึ้นหน้า แล้วประคองนางขึ้นมา ก่อนจะกล่าวถามเสียงต่ำ “นายหญิง จะไปลานด้านหน้าหรือเจ้าคะ?”

ฮูหยินใหญ่ตู้ส่งเสียงตอบรับในลำคอ จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งต่างพากันวิ่งกุลีกุจอไปยังลานด้านหน้า

ครั้นมาถึงห้องหนังสือของตู้จง ก็เห็นสองพ่อลูกยังคงคุมเชิงกันอยู่

ตู้จงโกรธจนเลือดขึ้นหน้า หลังจากด่าทออยู่เนิ่นนาน จึงทำได้แค่หายใจเหนื่อยหอบ

ส่วนตู้เหิงนั้นคุกเข่าผมเผ้ายุ่งเหยิงอยู่ที่พื้น แก้มทั้งสองข้างปูดบวมออกมา กำลังอธิบายบางอย่างเสียงต่ำ

ฮูหยินใหญ่มองด้วยสายตาเย็นชา แล้วเอ่ยว่า “นี่มันอะไรกัน? อาเหิงไปก่อปัญหาอะไร? เจ้าจะตีนางให้ตายคามือเลยหรืออย่างไร?”

ตู้เหิงรู้สึกคาดไม่ถึง ฮูหยินใหญ่ที่ไม่ชอบนางมาตลอดนั้นกลับเอ่ยปากช่วยนางเป็นครั้งแรก

ครั้นตู้จงเห็นผู้เป็นมารดาหน้านิ่วคิ้วขมวด จึงรีบรุดหน้าและกล่าวว่า “ท่านแม่ ท่านยังป่วยอยู่นี่ขอรับ? ไปรบกวนฮูหยินใหญ่ได้อย่างไร?”

ขณะที่กล่าว เขาเห็นแม่กู่ที่ห่อตัวด้วยความหวาดกลัวอยู่ด้านหลังของฮูหยินใหญ่ตู้ ในใจเป็นอันเข้าใจ ความรู้สึกรังเกียจจึงได้ทวีความรุนแรงขึ้น

กระทั่งเห็นฮูหยินใหญ่ตู้กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อาเหิงลุกขึ้น เช็ดน้ำตา แล้วนั่งบนเก้าอี้เสีย”

ตู้เหิงจึงลุกขึ้น อาจวนสาวใช้ของฮูหยินใหญ่ตู้รุดขึ้นหน้า ช่วยจัดการเสื้อผ้าและผมเผ้าของนางให้เรียบร้อย

กระทั่งได้ยินฮูหยินใหญ่ตู้สั่งสอน “คุณหนูใหญ่ของจวนเจ้าอาลักษณ์ในราชสำนัก ได้รับความไม่เป็นธรรม จะมาร้องไห้คร่ำครวญเช่นนี้ไม่ได้ เสียหน้าจวนเจ้าอาลักษณ์หมด”

ตู้เหิงสะอื้นหนึ่งครั้ง ไม่พูดสิ่งใด

กระทั่งเห็นตู้จงด้านข้างที่ยิ่งโกรธเกรี้ยวจนไม่เป็นตัวของตัวเอง จากนั้นก็โพล่งออกไปด้วยความฉุนเฉียว “ท่านแม่ก็คิดถึงแต่หน้าตา อย่าว่าแต่หน้าตาของข้าเองเลย หน้าตาทั้งจวนตู้ ถูกเด็กเนรคุณผู้นี้ทำลายป่นปี้หมดสิ้นแล้ว!”

ฮูหยินใหญ่ตู้กวาดตามองลูกชายแวบหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “อาเหิงก่อเรื่องอะไร? เจ้าถึงได้โกรธเช่นนี้?”

ตู้จงไม่สนใจทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี่ แล้วพูดโดยไม่ได้ดั่งใจ “นางจ้างคนไปลักพาตัวเด็กตระกูลอื่น เมื่อแผนผิดพลาด จึงให้โจวหลายไปฆ่าปิดปาก! เรื่องนี้ถูกตรวจสอบออกมาแล้วในท้องพระโรงเช้าวันนี้ เซี่ยเชียนได้เปิดโปงเรื่องนี้ต่อพระพักตร์ของฝ่าบาทโดยเฉพาะ! ท่านแม่ว่าเรื่องนี้จะให้เหล่าหญิงสาวในจวนตู้ของข้าปฏิบัติตัวเยี่ยงไรในภายภาคหน้าเล่าขอรับ?”

แม่กู่ที่ยืนอยู่ข้างกายพลันตื่นตระหนกตกใจเมื่อได้ยินว่าเรื่องที่ตู้เหิงทำนั้น ไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของเหล่าคุณหนูในจวนตู้ กลัวว่าพวกญาติของลูกสาวตนเองจะได้รับผลกระทบไปด้วย จึงอดอุทานด้วยความตกใจไม่ได้ “อ่า! ยังมีคุณหนูสาม แล้วก็คุณหนูรองอยู่ในจวนอีก!”

รอยย่นจากการขมวดคิ้วของฮูหยินใหญ่ตู้ดูลึกขึ้นยิ่งกว่าเดิม นางไม่ได้สนใจแม่กู่ แค่มองตู้เหิงด้วยสายตาเย็นชา แล้วถามว่า “เจ้าทำเรื่องนี้จริง ๆ หรือ?”

ตู้เหิงหลั่งน้ำตาเงียบ ๆ “เจ้าค่ะ ท่านย่า อาเหิงทำเอง”

ฮูหยินใหญ่ตู้ไม่ได้โกรธเหมือนกับตู้จง และไม่เคยดุด่าตู้เหิงด้วย

ใบหน้าของนางดูเป็นปกติอย่างไม่น่าเชื่อ ก่อนจะพูดกับตู้เหิงว่า “ก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ ถ้าเจ้าบอกครอบครัว ครอบครัวคงจัดการแทนเจ้า ทำลายหลักฐานจนหมดเกลี้ยง ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่ควรอวดฉลาดเอง เมื่อแผนผิดพลาด ยังคิดจะพึ่งพาตัวเอง ส่งคนไปฆ่าปิดปาก มาตอนนี้เรื่องไปถึงพระกรรณของฝ่าบาทแล้ว ใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้”

ตู้เหิงในอดีตชาติเกลียดชังที่ผู้เป็นย่าไม่ยุติธรรมกับตัวเอง ชาตินี้จึงพยายามสร้างกำแพงปิดกั้นฮูหยินใหญ่ตู้เสมอ

เรื่องที่ทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกเยาะเย้ยที่สุดคือเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ สิ่งเดียวที่ทำให้นางคิดได้ก็คือฮูหยินใหญ่ไม่เคยไว้หน้านางตั้งแต่ไหนแต่ไร

ในขณะเดียวกันตู้เหิงก็ได้เข้าใจอย่างชัดเจน สิ่งที่ฮูหยินใหญ่ตู้ต้องครุ่นคิดอย่างหนัก ก็คือเรื่องของจวนตู้

แต่ท่าทางของฮูหยินใหญ่ตู้ ทำให้ตู้เหิงเกิดความหวังอย่างหนึ่งขึ้นในใจ

นางคุกเข่าลงตรงหน้าของฮูหยินใหญ่ น้ำตาหลั่นรินไม่ขาดสายพลางอ้อนวอน “ท่านย่าได้โปรดช่วยอาเหิงด้วย…ได้โปรดท่านย่า ได้โปรดช่วยอาเหิง…”

ฮูหยินใหญ่ตู้มองดูท่าทางวิงวอนของหลานสาวด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าช่วยเจ้าไม่ได้”

ในใจของตู้เหิงสิ้นหวัง เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเคืองของผู้เป็นพ่อ แล้วหันกลับมามองสีหน้าเย็นชาของผู้เป็นย่า ในที่สุดร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรง ซบหน้ากับโต๊ะ แล้วร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด

……

ฮูหยินใหญ่ตู้สั่งให้ทุกคนออกไป เหลือไว้เพียงแค่ตู้เหิงที่ร้องไห้อย่างเงียบ ๆ เพียงผู้เดียว

นางและตู้จงปรึกษากันอยู่ในห้องหนังสือกว่าหนึ่งชั่วยาม ระหว่างนั้นก็ไม่ได้ปล่อยตู้เหิงไปแต่อย่างใด กลับส่งคนไปจัดการเรื่องที่สมควรกระทำทีละเรื่อง

ฮูหยินใหญ่ตู้กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “สองสามวันนี้ห้ามหลานรองและหลานสามติดต่อกัน ออกคำสั่งอย่างเข้มงวด ห้ามใครพูดเรื่องนี้ในจวนโดยเด็ดขาด”

ตู้จงพยักหน้า “ท่านแม่พูดถูก”

ฮูหยินใหญ่ตู้กล่าวด้วยความเกลียดชัง “แม่กู่ปากไม่มีหูรูดจริง ๆ รอเจ้ารองกลับมา เจ้าก็บอกเรื่องนี้กับเขาสักรอบ ให้เขาดูแลสะใภ้ของตัวเองเสีย”

เมื่อจัดการทั้งจวนเรียบร้อย ในใจของตู้จงคิดว่ามันสำเร็จแล้ว

ตู้จงขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ห้ามเผยแพร่เรื่องนี้ เห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีที่ฝ่าบาททรงดูแลพระสนมกุ้ยเฟยมาตลอด ไม่อยากให้นางเสียหน้า แต่เราก็ต้องแสดงจุดยืนของเราเอง”

ฮูหยินใหญ่ตู้ปรายตามอง “ความหมายของเจ้าคือ?”

ตู้จงสบตากับผู้เป็นมารดาโดยไม่พูดสิ่งใด

เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ความหมายของการทอดทิ้งตู้เหิงนั้นชัดเจนยิ่งนัก…

…………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

โดนตัดหางปล่อยวัดแล้วนังตู้ เป็นคุณหนูสูงศักดิ์อยู่ในจวนดี ๆ ไม่ชอบ คันคะเยออยากแย่งสามีชาวบ้านจนลอยเป็นกอผักตบชวาในแม่น้ำเลยเป็นไงล่ะ

ไหหม่า(海馬)