บทที่ 307 สังสารวัฏ แดนชำระบาปเก้าขุม

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 307 สังสารวัฏ แดนชำระบาปเก้าขุม

ฮือฮา…

กลุ่มเทพเซียนในพระราชวังเทียมเมฆาส่งเสียงฮือฮา ทุกคนล้วนตกตะลึง

เจ้าแดนต้องห้ามอันธการจ้องเล่นงานวังสวรรค์แล้วหรือ

ฉับพลันนั้นมีเซียนเมธีผู้หนึ่งกระโดดออกมา ทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า “ข้าว่าแม่ทัพเทพสวรรค์ทำเช่นนั้นโอ้อวดเกินไป คราวนี้ดีนัก ไปยั่วโมโหเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเข้า ต่อไปพวกเราต้องถูกเจ้าแดนต้องห้ามอันธการสาปแช่งอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่!”

ทันทีที่เอ่ยเช่นนี้ออกมา ก็มีเซียนเมธีคนอื่นๆ พูดประณามแม่ทัพเทพสวรรค์

ฝ่ายแม่ทัพสวรรค์ก็เข้าร่วมสงครามปากครั้งนี้ด้วย

“พอได้แล้ว!”

จักรพรรดิสวรรค์พลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม สยบเหล่าเทพทันที

“เจ้าแดนต้องห้ามอันธการคนเดียวก็ทำให้พวกเจ้าตกใจกลัวจนเป็นเช่นนี้ได้แล้ว? ในความคิดของเรา เจ้าแดนต้องห้ามอันธการต้องไม่แข็งแกร่งเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเลย พลังคำสาปแช่งของเขายังไม่สามารถคุกคามเราได้!”

จักรพรรดิสวรรค์แค่นเสียงเย็นชาพลางทอดมองเหล่าเทพเซียน เขาโกรธจัดมานานแล้ว

ปกครองประชาราษฎร์พวกเขานับว่ามีฝีมือ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับภัยคุกคาม พวกเขาจะขัดแย้งกันเองได้ง่ายอยู่เสมอ

จะเหมือนวังเทพกับวังปีศาจเสียที่ไหน มีแต่พวกกระหายสงครามทั้งนั้น

“เรื่องแม่ทัพเทพสวรรค์ตัดสินแล้ว ต่อไปคุนหลุนจะจัดงานชุมนุมคุณสมบัติเซียนขึ้น สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่มีอายุต่ำกว่าหนึ่งล้านปีเข้าร่วมได้ พวกเจ้าสามารถส่งศิษย์และลูกหลานไปร่วมงาน เพื่อสร้างเกียรติให้แก่วังสวรรค์”

จักรพรรดิสวรรค์สั่งการ หัวข้อสนทนาเปลี่ยนไป พระราชวังเทียมเมฆาเกิดเสียงดังเซ็งแซ่อีกครั้ง

ฉากนี้ทำให้จักรพรรดิสวรรค์ทอดถอนใจอยู่ในใจ

หนึ่งชั่วยามต่อมา

เหล่าเทพเซียนแยกย้ายกันไป ในท้องพระโรงเหลือเพียงตี้ไท่ไป๋เท่านั้น

จักรพรรดิสวรรค์ถามขึ้น “สถานการณ์ของหานเจวี๋ยเป็นอย่างไรบ้าง ก่อนหน้านี้เขาติดต่อหาเจ้าหรือ”

ตี้ไท่ไป๋ยิ้มกล่าวว่า “น่าจะไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ เขาดูเป็นห่วงวังสวรรค์มาก”

“หึ เราไม่ได้ดูแลเขาเสียเปล่าจริงๆ เด็กคนนี้ไม่รู้ว่าพักนี้ไปซ่อนอยู่ที่ไหน เราคำนวณไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ที่ใด”

“ฝ่าบาทอย่ากังวลไป ยมโลกเดิมก็อยู่นอกเหนือทั้งห้าธาตุ ส่วนใหญ่เป็นสถานที่ที่เทพผีคาดเดาไม่ได้ เขาอาจจะซ่อนตัวอยู่ ดูจากนิสัยของเขา คงไม่ยอมให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายแน่”

“นั่นก็จริง”

เมื่อพูดถึงหานเจวี๋ย จักรพรรดิสวรรค์อดแย้มยิ้มไม่ได้

จวบจนถึงทุกวันนี้ กลุ่มอิทธิพลอื่นก็ยังไม่รู้ว่าวังสวรรค์ยังซุกซ่อนสุดยอดบุตรแห่งสวรรค์เช่นนี้ไว้คนหนึ่ง

รอให้หานเจวี๋ยเติบโตขึ้นแล้วจะมีลักษณะเช่นไรกัน?

ตี้ไท่ไป๋เอ่ยอย่างวิตก “ฝ่าบาท ตอนนี้พวกเราห่างเหินจากหานเจวี๋ยมากขึ้นเรื่อยๆ วันหน้าเมื่อเขาเติบโตขึ้น ยังจะเชื่อฟังคำสั่งของวังสวรรค์อยู่หรือไม่ ข้ารู้มาว่าเขาก่อตั้งสำนักซ่อนเร้นขึ้น จะเกิดความมักใหญ่ใฝ่สูงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิสวรรค์กล่าวยิ้มๆ ว่า “วางใจเถอะ ถ้าเขามักใหญ่ใฝ่สูงก็คงไม่ตั้งชื่อสำนักว่าซ่อนเร้นหรอก เจ้าเด็กคนนี้กลัวความวุ่นวาย เราเคยถามมู่หรงฉี่และฟางเหลียงแล้ว เขาเคร่งครัดกับลูกศิษย์น้อยมาก มีเงื่อนไขเพียงข้อเดียว นั่นก็คืออย่าออกไปสร้างปัญหา ความทะเยอะทะยานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเด็กคนนี้คือการมีชีวิตอยู่ตลอดไป รอให้เขาโตขึ้นอย่างแท้จริงแล้วคงไม่ลืมความเมตตากรุณาที่วังสวรรค์มีต่อเขา วังสวรรค์ยิ่งแข็งแกร่ง เขายิ่งฝึกบำเพ็ญได้สะดวกสบายขึ้น ทักษะการสังหารศัตรูของเจ้าเด็กนี่แข็งแกร่งมากทีเดียว”

ตี้ไท่ไป๋อดพยักหน้าไม่ได้

“ก่อนหน้านี้จักรพรรดิเทพอีกาทองมหาวิมุตตายในยมโลก จะเกี่ยวข้องกับหานเจวี๋ยหรือไม่” ตี้ไท่ไป๋ถาม

จักรพรรดิสวรรค์กล่าวตอบ “เราขอให้หลี่เต้าคงช่วยลงมือหลังจากรู้เรื่องนี้ บางทีหลี่เต้าคงอาจสังหารจักรพรรดิเทพอีกาทองมหาวิมุตก็ได้ แต่ว่าเรื่องนี้อย่าเพิ่งแพร่งพรายออกไป เลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็น”

หลี่เต้าคง!

ตี้ไท่ไป๋แอบตกใจ รีบรับปากแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยทันที

……

หลังจากสาปแช่งจักรพรรดิสวรรค์ไปหนึ่งวัน หานเจวี๋ยก็วางหนังสือแห่งความโชคร้ายลง

เขาก็กลัวว่าจะสาปแช่งจักรพรรดิสวรรค์จนเกิดเรื่องเหมือนกัน

เขาเรียกมู่หรงฉี่เข้ามาหา ล้างสมองไปหนหนึ่ง หวังว่ามู่หรงฉี่จะไม่ไปท้าสู้กับแม่ทัพเทพสวรรค์

มู่หรงฉี่ไม่ใช่ตัวเองในชาติก่อนอีกแล้ว เขาสัญญาด้วยรอยยิ้มว่า “วางใจเถิด อาจารย์ปู่ อยู่ที่เกาะสำนักซ่อนเร้นก็ดียิ่งแล้ว สามารถใช้แบบจำลองการทดสอบต่อสู้ได้ ส่วนชื่อเสียงจอมปลอมของเทพสงคราม มหาเคราะห์ครั้งหน้าข้าค่อยต่อสู้เพื่อแย่งชิงมา!”

น้ำเสียงของเขาเปี่ยมด้วยความมั่นใจ

ตอนนี้เขาอาจยังไม่เก่งกาจพอที่จะช่วงชิงดวงชะตายิ่งใหญ่ แต่ตราบใดที่เขารอดชีวิตจนถึงมหาเคราะห์ครั้งต่อไป เขาต้องเป็นผู้ทรงพลังเปี่ยมอำนาจในฟ้าดิน พลิกมือเรียกเมฆคว่ำมือเรียกฝนได้แน่

หานเจวี๋ยพยักหน้าอย่างพึงพอใจและกล่าวว่า “เวลานี้ฟางเหลียงกับหลงเฮ่ายังอยู่นอกสำนักซ่อนเร้น จะมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว หากเจ้าพบคนที่คิดจะออกไปข้างนอกก็ช่วยเตือนให้ที คนที่อาจารย์ปู่เชื่อใจมากที่สุดก็คือเจ้า เพราะเจ้าแน่วแน่มั่นคง”

“ศิษย์จะไม่มีวันทำให้อาจารย์ปู่ผิดหวังเด็ดขาด!”

มู่หรงฉี่อารมณ์ดีมากตอนที่ออกไป ไม่นึกว่าอาจารย์ปู่จะให้ความสำคัญกับเขามากขนาดนี้

หานเจวี๋ยไม่ได้พูดโกหก ในหมู่ศิษย์ทั้งหลาย เขาชอบมู่หรงฉี่มากที่สุด

มู่หรงฉี่มีบุคลิกของแม่ทัพ รอจนหานเจวี๋ยหลุดพ้นเหนือทุกสิ่งแล้ว มู่หรงฉี่ก็สามารถรับตำแหน่งสำคัญของสำนักซ่อนเร้นได้

หลังจากนั้นหานเจวี๋ยก็ฝึกบำเพ็ญต่อ

การประกาศสงครามของแม่ทัพเทพสวรรค์ต้องทำให้มหาเคราะห์ปั่นป่วนวุ่นวายยิ่งขึ้นแน่ เขาต้องเร่งทำเวลาให้ตนแข็งแกร่งขึ้น

เขามีลางสังหรณ์ว่าวันใดวันหนึ่งมหาเคราะห์จะคุกคามมาถึงเขา อยากจะหลบก็หลบไม่พ้น

สิ่งที่หานเจวี๋ยต้องทำคือสั่งสมความแข็งแกร่ง ต่อต้านศัตรูทรงพลังที่มาโจมตี!

……

กาลเวลาผ่านไปเหมือนแค่พริบตา วสันต์จากลาสารทฤดูมาเยือน ครั้นไปแล้วก็ไม่หวนกลับ

สามสิบปีผ่านไปรวดเร็วนัก แดนมนุษย์ของโลกเขย่าพิภพกลายเป็นอีกทิวทัศน์หนึ่งไปแล้ว

หานเจวี๋ยวางหนังสือแห่งความโชคร้ายลง เริ่มนับนิ้วคำนวณเรื่องหยางเทียนตง

หยางเทียนตงกลับชาติเกิดใหม่หลายครั้ง ชาติแรกมีคุณสมบัติไม่เลว แต่น่าเสียดายที่นิสัยบ้าระห่ำเกินไป เพิ่งโตเป็นหนุ่มก็ถูกเล่นงานจนตาย

หลังจากนั้นยายเมิ่งไม่ได้ดูแลเป็นพิเศษ ส่งผลให้การกลับชาติเกิดของเขาธรรมดาสามัญเสมอมา

ในชาตินี้ หยางเทียนตงกลายเป็นแม่ทัพหนุ่มแห่งราชวงศ์ในโลกมนุษย์ เขามีคุณงามความดีทางทหารมากมาย แต่จนปัญญาที่ความชอบเกินหน้าเจ้านาย จึงถูกฮ่องเต้ลอบวางอุบาย หาข้ออ้างยัดโทษประหารทั้งตระกูล เขาถูกขังในคุกหลวงรอวันถูกตัดหัว

หานเจวี๋ยไม่ได้เจ็บปวดใจ นี่ล้วนเป็นชีวิต

บางสิ่งก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ต่อให้กลับชาติมาเกิดใหม่

ความมักใหญ่ใฝ่สูงของหยางเทียนตงหยั่งรากลึกในจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเกิดใหม่อีกกี่ครั้งก็เปลี่ยนแปลงได้ยาก

หานเจวี๋ยไม่ได้เข้าไปแทรกแซง ตายก็ตาย ไปเกิดใหม่อีกก็พอ

รอหลังจากหยางเทียนตงรู้แจ้งอย่างแท้จริงเมื่อใด หานเจวี๋ยจะพาเขากลับมาเอง

ความเป็นความตายของโลกมนุษย์ในมุมมองของหานเจวี๋ยก็คือประสบการณ์อย่างหนึ่ง ความเจ็บปวดของหยางเทียนตงเป็นเรื่องเพียงชั่วขณะเท่านั้น ทอดสายตามองไปยังมหามรรคา ยังไม่ควรค่าให้กล่าวถึงเลย

หานเจวี๋ยหลับตาลง ฝึกบำเพ็ญต่อไป

สี่ปีต่อมา

แม่น้ำปรโลกเกิดคลื่นลมปั่นป่วนอีกครั้ง คราวนี้ทุกคนในสำนักซ่อนเร้นได้ยินเสียงคร่ำครวญเป็นระลอก

ต้วนหงเฉินขมวดคิ้วพูดว่า “ไม่ได้การแล้ว อย่าบอกนะว่าแดนชำระบาปเก้าขุมกำลังจะเปิด!”

แดนชำระบาปเก้าขุม?

ทุกคนต่างมองมาที่เขา

ต้วนหงเฉินหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะอธิบาย “หลังจากที่ข้าตายในชาติก่อน วิญญาณก็ถูกสะกดอยู่ใต้แม่น้ำปรโลกตามแรงกรรม ใต้แม่น้ำปรโลกมีแดนที่น่าสะพรึงกลัวซ่อนอยู่ นั่นก็คือแดนชำระบาปเก้าขุม ด้านในซุกซ่อนสุดยอดผู้แข็งแกร่งที่ดับดิ้นไปในยุคต่างๆ ไว้ ข้าไม่นับว่าดีเด่อะไรในหมู่พวกเขาด้วยซ้ำ ข้าก็แค่ได้รับการตอบรับจากมรรคาสวรรค์ถึงหนีรอดออกมาได้ น่าแปลก เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากัน”

จอมปีศาจคุกรัตติกาลถามอย่างระมัดระวัง “ผู้แข็งแกร่งที่สุดในแดนชำระบาปเก้าขุมทรงพลังขนาดไหน”

ต้วนหงเฉินปรายตามองเขาปราดหนึ่ง “ความจริงแล้วข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ข้ารู้จักระดับต้าหลัวคนหนึ่ง ต้าหลัวที่ชื่อเสียงสมคำร่ำลือ!”

ต้าหลัว!

ทุกคนตกตะลึง ต้าหลัวในแดนเซียนกลายเป็นตำนานไปแล้ว โดยทั่วไปเหมือนจะไม่มีบุคคลระดับต้าหลัวอยู่เลย

คิดไม่ถึงว่าข้างใต้แม่น้ำปรโลกจะมีต้าหลัวหลบซ่อนอยู่คนหนึ่ง?

ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน หานเจวี๋ยตรวจหาคนที่แข็งแกร่งที่สุดรอบบริเวณโลกเขย่าพิภพ

[เซวี่ยหมิงเหอ: ไม่ทราบตบะ มหาจักรพรรดิเก้าขุมนรก]

หานเจวี๋ยตกใจ

ไม่ทราบตบะ?

ระดับเซียนหรือว่าต้าหลัวกันแน่

……………………………………….