บทที่ 340 พลิกผัน

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 340 พลิกผัน
บทที่ 340 พลิกผัน

ซูอันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกับถาม “ท่านแน่ใจหรือว่าท่านไม่ได้ใช้โอกาสนี้เพื่อที่จะได้เอาคืนข้า?”

“แล้วจะทำไมล่ะ? เจ้าทำให้ข้าสูญเสียมาแค่ไหนแล้ว? แค่อดทนกับมันเท่านี้ทำไม่ได้เหรอไง!?” หมี่ลี่ตอบอย่างพึงพอใจ นางรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากได้แทงซูอันสองสามครั้ง

“…” ซูอัน

บ้าเอ๊ย…ข้าไม่คิดว่านางจะยอมรับแบบตรงไปตรงมาขนาดนี้!

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เลวร้ายลงไปเรื่อย ๆ เขาทำได้เพียงโคจรวิชาปฐมบทแรกเริ่มต่อไปและสวดอ้อนวอนให้เขาทะลวงขั้นที่สองได้สำเร็จโดยเร็วที่สุด

ต่อมาไม่นาน ชายหนุ่มก็สะดุ้งเมื่อรู้สึกว่าร่างกายเบาลงกว่าที่เคย เขาพบว่าจิตของเขาเข้าสู่สภาวะตื่นรู้ ทุกอย่างรอบตัวมืดมิดและเงียบสงัด ไม่มีอะไรให้มองเห็น ได้ยิน หรือรู้สึกได้เลย ไม่ว่าซูอันจะพยายามเบิกตากว้างแค่ไหน…มันก็ไม่มีอะไรเลย…

ไม่นานก็มีแสงสว่างจ้าส่องมาจากที่ไกล ๆ ซูอันไม่สามารถอธิบายได้ว่าแสงนั้นสว่างแค่ไหน ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มคิดว่าดวงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดแสงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ก็เทียบไม่ได้กับสิ่งที่เขาเห็นอยู่ในขณะนี้

แสงสว่างกระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้า โลกที่เขาอยู่ก็ไม่มืดมิดอีกต่อไป…

ซูอันพยายามที่จะรับรู้สภาพแวดล้อมรอบตัวอย่างระมัดระวัง แต่ก่อนที่เขาจะมองเห็นอะไรก็ได้ตื่นขึ้นมาเสียแล้ว

ภาพนั้น…คือ…การกำเนิดโลกหรือเปล่า?

ซูอันตกตะลึง เขารู้สึกว่าอากาศโดยรอบนั้นสดชื่นกว่าที่เคยเป็นมา พลังปฐมบทที่อยู่โดยรอบเริ่มพุ่งมาหาเขา ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะพยายามเพ่งจิตค้นหาพลังปฐมบทรอบตัวอย่างไรก็สัมผัสพวกมันได้แค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่ตอนนี้ชายหนุ่มไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ อีกต่อไปแล้ว พลังปฐมบทต่างพุ่งเข้าหาตัวเองโดยอัตโนมัติ ทำให้สามารถดูดซับมันได้เร็วกว่าเมื่อก่อนมาก

ฉู่ชูเหยียนและเฉียวเสวี่ยอิงเห็นบาดแผลที่สาหัสของซูอันฟื้นตัวได้เร็วจนถึงขนาดที่มองเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนได้ด้วยตาเปล่า

“หืม? ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะสำเร็จขั้นที่สองได้เร็วขนาดนี้ ข้ายังไม่ทันได้สนุกเต็มที่เลย” หมี่ลี่กล่าวอย่างเสียดาย

“…” ซูอัน

“รีบบอกวิธีชำระวิญญาณพยาบาทให้ข้าเร็วเข้า!” ซูอันพูดตอบโต้

“โคจรพลังปฐมบทเข้าสู่กระบี่ไท่เอ๋อร์ และฟันไปที่วิญญาณพยาบาท แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะชำระพวกมันให้หายไป” หมี่ลี่ตอบ

เฉียวเสวี่ยอิงถามทันทีว่า “แต่การปะทะกันตรงนั้นรุนแรงมาก ด้วยระดับการบ่มเพาะของเขาที่ต่ำเตี้ย แค่เพียงเขาโดนคลื่นกระแทกเล็กน้อย เขาก็น่าจะตายตั้งแต่ยังไม่ทันยกดาบขึ้นด้วยซ้ำ!!”

นางพูดเหมือนดูถูกซูอัน แต่ทุกคนก็เข้าใจได้ว่านางพูดออกมาด้วยความกังวล

หมี่ลี่ตอบอย่างใจเย็นว่า “เขาถือกระบี่แห่งราชา ทหารดินเผาพวกนั้นจะไม่โจมตีเขา ส่วนวิญญาณพยาบาทเหล่านั้น พลังปฐมบทขั้นที่สองคือของแสลงที่สุดสำหรับพวกมัน พวกมันไม่มีทางคุกคามเขาได้แน่นอน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ความกังวลของเฉียวเสวี่ยอิงก็คลี่คลายลง

ในทางกลับกัน ฉู่ชูเหยียนก็คิดลึกลงไปมากกว่านั้น “แต่วิญญาณพยาบาทมีมากกว่า 200,000 ดวง ถ้ามัวแต่ฟันทีละตัว เมื่อไหร่มันจะจบ?”

“ไม่ต้องกังวล มันไม่นานเกินไปหรอก” หมี่ลี่ตอบ

ซูอันมีคำถามอื่นที่จะถาม “แม้ว่าพลังปฐมบทในสุสานใต้ดินนี้จะมีความหนาแน่นมาก แต่ข้าคิดว่ามันคงไม่ได้มีให้ข้าใช้อย่างไม่จำกัด และยิ่งไปกว่านั้นอัตราการดูดซับของข้ายังถูกจำกัดอีกด้วย ข้าไม่คิดว่าข้าจะมีกำลังเพียงพอที่จะยืนระยะจนชำระล้างวิญญาณพยาบาททั้งหมด 200,000 ดวงได้ในคราวเดียว”

“เจ้าไม่ต้องกังวล วิญญาณพยาบาทแต่ละดวงต่างมีพลังปฐมบทอยู่ในตัวของพวกมันเอง ดังนั้นเจ้าจะไม่ขาดแคลนพลังปฐมบทเพื่อเอามาฟื้นกำลังของเจ้าในระหว่างที่สู้อย่างแน่นอน” หมี่ลี่ตอบ “นอกจากนี้ ร่างกายของเจ้ามีความทนทานมากกว่าที่เจ้าคิด ถ้าผู้บ่มเพาะคนอื่นได้รับบาดเจ็บเท่าเจ้า เขาคงตายไปแล้วเป็นสิบครั้ง”

ซูอันพยักหน้าตอบ ชายหนุ่มรู้ดีว่าการที่ตัวเองสามารถอดทนต่ออาการบาดเจ็บได้ก่อนหน้านี้มันเป็นเพราะ เส้นใยสุขสันต์ ซึ่งระยะเวลาส่งผลมันน่าจะใกล้หมดลงในเร็ว ๆ นี้ เขายังจำความเจ็บปวดที่ต้องเผชิญได้เมื่อระยะเวลาส่งผลหมดไปหลังจากตอนนั้นที่ตัวเขาเองโดนฟาดด้วยแส้คร่ำครวญ เขาไม่ต้องการลิ้มรสความเจ็บปวดนั้นอีก จึงตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะรีบจัดการกับพวกวิญญาณพยาบาทให้เร็วที่สุด จากนั้นชายหนุ่มจะรีบรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองทั้งหมดด้วยพลังปฐมบทก่อนที่เวลาของ เส้นใยสุขสันต์จะหมดลง…

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซูอันจึงถือกระบี่ไท่เอ๋อร์เดินไปที่ทะเลสาบ บางทีอาจเป็นเพราะทหารดินเผาสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของกระบี่ไท่เอ๋อร์ พวกมันจึงเปิดทางเดินให้เขา ทำให้เขาไปถึงแนวหน้าได้อย่างรวดเร็ว

การปรากฏตัวของสิ่งมีชีวิตกระตุ้นวิญญาณพยาบาทราวกับฉลามได้กลิ่นเลือดในทันที พวกมันเริ่มพุ่งเข้าหาซูอันพร้อมส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน

ทันทีที่วิญญาณพยาบาทสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของกระบี่ไท่เอ๋อร์ พวกมันทั้งหมดก็ถอยหนีด้วยความตกใจ ราวกับกลุ่มคนที่หิวกระหายได้วิ่งไปที่โต๊ะอาหาร แต่กลับพบว่ามีจานอุจจาระอยู่ใต้ฝาปิด…

ซูอันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่การได้เห็นวิญญาณพยาบาททั้งหมดวิ่งหนีราวกับพวกมันเห็นผีที่น่ากลัวยิ่งกว่าพวกมันเองก็ทำให้ชายหนุ่มรวบรวมความกล้าและรีบวิ่งตามไปฟันวิญญาณพยาบาทตัวหนึ่งที่ช้ากว่าเพื่อนด้วยกระบี่ไท่เอ๋อร์

แม้จะถูกเรียกว่าเป็น ‘วิญญาณพยาบาท’ แต่พวกมันก็มีร่างกายและสวมชุดเกราะด้วย ดูเหมือนว่าที่ทหารดินเผาเสียเปรียบก็มาจากอุปกรณ์สวมใส่พวกนี้นี่เอง

อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์ป้องกันของพวกมันดูเหมือนจะไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้ากระบี่ไท่เอ๋อร์ ซูอันจึงสามารถผ่าเกราะและร่างกายของพวกมันได้อย่างง่ายดายราวกับผ่าเต้าหู้

วิญญาณพยาบาทตัวที่โชคร้ายส่งเสียงร้องด้วยความสยดสยอง ก่อนที่ร่างของมันจะสลายไปเป็นแสงสีน้ำเงิน ส่วนหนึ่งถูกดูดซับเข้าสู่กระบี่ไท่เอ๋อร์ ในขณะที่ซูอันดูดซับเศษพลังปฐมบทที่เหลือเพื่อรักษาบาดแผลของเขา

ในที่สุด ซูอันก็เข้าใจความหมายของคำว่า ‘ใช้เวลาไม่นาน’ ของหมี่ลี่ แม้ว่าวิญญาณพยาบาทเหล่านี้ส่วนใหญ่จะแข็งแกร่งพอ ๆ กับเขา และยิ่งเป็นวิญญาณพยาบาทที่มียศสูงก็ยิ่งมีพลังมากขึ้นไปอีก ทว่าไม่ว่าพวกมันจะแข็งแกร่งเพียงใด ซูอันก็สามารถปราบพวกมันได้ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว

แทนที่จะเป็นการสังหารหมู่ มันกลับให้ความรู้สึกเหมือนเกมปาลูกโป่งที่ชายหนุ่มเคยเล่นในวัยเด็กเมื่อโลกที่แล้ว วิญญาณพยาบาทที่สัมผัสกระบี่ของเขาเพียงเล็กน้อยก็จะสลายไปในทันที

ฉู่ชูเหยียนที่คิดจะเข้าไปช่วยเหลือซูอัน เมื่อเห็นภาพเช่นนี้นางก็ตระหนักได้ว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือใด ๆ จากนางเลย มันกลายเป็นว่าซูอันเป็นเหมือนวิญญาณพยาบาทที่หลอกหลอนพวกดวงวิญญาณร้ายเหล่านี้ซะมากกว่า!

ในตอนแรก วิญญาณพยาบาทยังคงกรูกันออกมาจากทะเลสาบ แต่เมื่อเห็นมัจจุราชที่น่าสะพรึงกลัวอย่างซูอัน พวกมันต่างพากันกระโดดกลับเข้าไปในทะเลสาบเพื่อหลบภัยกันอย่างอุตลุด

วิญญาณพยาบาทกลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่ใต้ก้นทะเลสาบ ไม่กล้าขึ้นมาด้านบน อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่เต็มใจที่จะถูกผนึกอีกครั้ง ดังนั้นทุกอย่างจึงสงบนิ่งไปชั่วคราว

ซูอันรู้สึกพูดไม่ออก

จนป่านนี้ ข้าเพิ่งฆ่าวิญญาณพยาบาทไปร้อยกว่าตัวเอง พวกเจ้าจำเป็นต้องกลัวขนาดนี้มั้ย? พวกเจ้าควรจะเป็นวิญญาณแห่งราชวงศ์ฉินที่เต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทสิ ไม่คิดกันบ้างเหรอว่าการซ่อนตัวเหมือนคนขี้ขลาดเป็นเรื่องที่น่าอาย?

ซูอันกวักมือเรียกและเยาะเย้ย “เฮ้ย ๆ ขี้ขลาดนี่หว่า เร็ว ๆ ขึ้นมาเร็ว ๆ เลยอย่ามุดอยู่แต่ใต้นั้นเหมือนวิญญาณหมาดินเสะ!”

ถึงแม้ว่าจะโดนยั่วยุ แต่เหล่าวิญญาณพยาบาทก็เมินเฉยต่อเขา เจ้าเห็นพวกข้าโง่มากงั้นหรือไง? ทำไมเจ้าไม่ลงมาหาเราที่นี่แทนล่ะ?

แม้ว่าซูอันจะว่ายน้ำเป็น แต่เขาก็ไม่โง่พอที่จะกระโดดลงไปในทะเลสาบ การต่อสู้ในน้ำจะทำให้เขาเสียเปรียบเป็นอย่างมาก เพราะเขาจะใช้กระบี่ไท่เอ๋อร์ได้ไม่คล่องตัวเหมือนกับตอนอยู่บนบก

“บ้าเอ๊ย ตอนนี้เราควรทำยังไงต่อดี?” ซูอันรู้สึกอับจนปัญญา

หมี่ลี่บ่นขึ้น “เจ้าเก่งเรื่องยั่วโมโหคนอื่นนักไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่ใช้ประโยชน์จากปากของเจ้าล่อพวกมันออกมา?”

“…” ซูอัน

“ข้าอาจจะเก่งในการยั่วยุคนอื่น แต่ข้าไม่รู้ว่ามันจะได้ผลกับผีหรือเปล่า วิญญาณพวกนี้รู้ว่าพวกมันจะต้องตายถ้าขึ้นมาด้านบน ไม่ว่าพวกมันจะโง่แค่ไหน มันก็ไม่หลงกลข้าง่าย ๆ” ซูอันตอบ

“พยายามให้มากกว่านี้ ข้าเชื่อมั่นในปากของเจ้า!” หมี่ลี่หยอกล้อ