“ราชันสายฟ้าเฉียวถิงเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์ถังอวี้ภาคภูมิใจ ถ้าเกิดผ่านไปไม่นาน เฉียวถิงพ่ายแพ้ในเงื้อมมือพวกเรา อาจารย์ถังอวี้อาจจะแค้นใจก็ได้นะ” หลิงหลานดึงเหตุผลสุ่มๆ เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของเสี่ยวซื่อ
“เป็นไปไม่ได้ จากข้อมูลที่ฉันรวบรวมมาบอกว่า อาจารย์ถังอวี้ไม่เคยรับลูกศิษย์ในโรงเรียนทหารมาก่อน ต่อให้เป็นราชันสายฟ้าเฉียงถิงก็เป็นแค่นักเรียนของเขาเท่านั้น” เสี่ยวซื่อประท้วง “นอกจากนี้อาจารย์ถังอวี้พูดชัดเจนมากว่า เขาหวังว่าจะได้เห็นนักเรียนที่เขาสั่งสอนเก่งเกินครู แต่ละรุ่นเหนือกว่ารุ่นก่อน ถ้าเกิดลูกพี่เอาชนะเฉียวถิงได้ อาจารย์ถังอวี้มีแต่จะดีใจ ไม่มีทางโมโหเด็ดขาด”
“ใช่เหรอ...” หลิงหลานเบนความสนใจไปที่อาจารย์ถังอวี้อีกครั้ง ถ้าเกิดเป็นแบบนี้ ยื่นคำขออาจารย์ถังอวี้ก็ไม่ใช่ปัญหา ถึงแม้หลิงหลานดูเหมือนปฏิบัติกับคนอื่นเย็นชาอย่างยิ่งยวด แต่ความจริงภายในใจเธอเป็นคนที่เคารพทุกคนมาก โดยเฉพาะคนที่เคยดูแลเธอ เธอกลัวว่าหลังจากที่เธอยื่นคำขอต่ออาจารย์ถังอวี้จริงๆ ถ้าเกิดถังอวี้เอ่ยปากขอร้องเพื่อเฉียวถิง ถึงแม้เธอไม่มีทางลังเลการตัดสินใจของตัวเอง แต่ก็เกิดความรู้สึกผิดต่ออาจารย์ถังอวี้เหมือนกัน นี่เป็นสิ่งที่เธอไม่อยากเห็น และก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เธอไม่อยากยื่นคำขอต่ออาจารยถังอวี้
“นอกจากนี้ อาจารย์ถังอวี้เป็นผู้ควบคุมหุ่นรบที่พ่อชื่นชมมากด้วยนะ” ดวงหน้าของเสี่ยวซื่อสว่างไหว พอพูดถึงหลิงเซียว เสี่ยวซื่อก็จะควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่ ยังดูเหมือนลูกของหลิงเซียวมากกว่าหลิงหลานเสียอีก
คำพูดของเสี่ยวซื่อเตือนสติหลิงหลาน ตอนที่พ่อของเธอจากดาวซินสิงไปหลังสงครามก็เคยพูดถึงอาจารย์ถังอวี้ บอกว่าเขาคืออาจารย์ที่แท้จริง ในน้ำเสียง หลิงเซียวดูสนับสนุนให้หลิงหลานเรียนกับอาจารย์ถังอวี้มาก
“คุณพ่อยอมรับเขาด้วยเหรอ?” รอยยิ้มแหยบนใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความรักของหลิงเซียวอดผุดขึ้นในสมองของหลิงหลานอย่างช่วยไม่ได้ เผชิญหน้ากับพ่อโง่งมที่รักเอ็นดูลูกสาวแบบนี้ หลิงหลานก็ปฏิเสธไม่ได้เลย เธอถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง เลือกอาจารย์ถังอวี้อย่างโดยไม่ลังเล และส่งหนังสือยื่นคำขอของตัวเองไป
ความคิดเห็นของหลิงเซียวทำให้เธอยากจะปฏิเสธจริงๆ หลิงหลานรู้สึกว่าเธอต้านทานความรักของบิดาที่ทรงพลังของหลิงเซียวยากมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้หลิงเซียวไม่ได้อยู่ข้างๆ ความรักของบิดาที่เต็มเปี่ยมนั้นมักจะปรากฏอยู่รอบตัวเธออย่างสุดความสามารถ อืม เสี่ยวซื่อคนทรยศนี้ก็คือตัวการหลัก คอยเตือนอยู่ที่ข้างหูเธอเสมอว่า คุณพ่อหลิงเซียวดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ อยากลืมความดีนั้นช่างยากเย็นเหลือเกิน…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลิงหลานก็ถลึงตาใส่เสี่ยวซื่ออย่างโหดเหี้ยม แววตานี้ทำให้เสี่ยวซื่ออกสั่นขวัญแขวน ไม่รู้ว่าความผิดที่เขาทำเรื่องไหนถูกลูกพี่จับได้? เอาเถอะ ช่วงนี้เสี่ยวซื่อเอาแต่เที่ยวเตร่อยู่ในโลกเสมือนจริง เรื่องไม่ดีที่เขาทำจึงเยอะมากจริงๆ เขาไม่กล้าแม้กระทั่งไปขบคิดเลย…
หลังจากที่เลือกอาจารย์ถังอวี้แล้ว หลิงหลานก็ไม่ได้เลือกอาจารย์หุ่นรบลำดับที่สองและที่สามอีก ถ้าหากถังอวี้ปฏิเสธ ไม่ว่าอาจารย์หุ่นรบคนไหนมาสอนก็ไม่มีความหมายอะไรต่อหลิงหลานทั้งนั้น และจากนี้ไปก็รอให้ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักแจ้งว่า ท้ายที่สุดผ่านการอนุมัติจากอาจารย์ถังอวี้หรือเปล่า
หลังจากที่ทำเรื่องสำคัญที่สุดของชั้นปีสองเสร็จแล้ว หลิงหลานก็ออกจากโลกเสมือนจริง กลับไปพักผ่อนที่ห้อง ทว่าเธอเพิ่งจะนอนลงก็ถูกแรงดึงดูดมหาศาลสายหนึ่ง ดึงสติของเธอเข้าไปในมิติการเรียนรู้ หลิงหลานสงบนิ่งมากเมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แบบนี้ ทุกครั้งที่อาจารย์ของเธออยากเจอเธอก็จะใช้วิธีการนี้ทั้งนั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าคราวนี้เป็นใครเท่านั้นเอง
เมื่อสติของหลิงหลานแจ่มชัด ภาพที่ปรากฏเข้ามาในคลองสายตาคือเมฆหมอกผืนหนึ่ง เมฆขาวห้อมล้อมรอบกาย หลิงหลานไม่ต้องคิดก็รู้ว่านี่คือสถานที่พักของอาจารย์หมายเลขหนึ่ง—ยอดสุดของภูเขา
หลิงหลานควบคุมร่างกายตัวเองอย่างไม่รีบร้อน เดินเหินในอากาศ ในที่สุดหลังจากที่เห็นแท่นสี่เหลี่ยมอันหนึ่ง ด้านล่าง หลิงหลานค่อยร่อนลงไปเบาๆ ปลายเท้าแตะพื้นโดยไม่มีเสียงเล็กแม้แต่น้อย ก่อนจะลงสู่พื้นอย่างมั่นคง
“ช่วงนี้รู้สึกว่าพลังบนตัวควบคุมยากขึ้นเรื่อยๆ ใช่ไหม?” เวลานี้เอง อาจารย์หมายเลขหนึ่งที่นั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่หันหลังให้หลิงหลานก็เอ่ยปากถามขึ้นโดยไม่ได้หันหน้ามา
“ใช่ค่ะ อาจารย์หมายเลขหนึ่ง” หลิงหลานมองอาจารย์หมายเลขหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปสามเมตร สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลสายหนึ่งพุ่งมาที่เธอ ทรงพลังกว่าเมื่อก่อนทำให้เธอรู้สึกยากจะรับไหว อยากคุกเข่าลงไป
หลิงหลานไม่มีทางยอมศิโรราบ เธอระเบิดพลังที่เก็บงำในร่างกายออกฉับพลัน ฝืนกระแทกพลังใส่แรงกดดันอันทรงพลังที่อาจารย์หมายเลขหนึ่งมอบให้เธอ
แรงกดดันของอาจารย์หมายเลขหนึ่งเหมือนคลื่นน้ำก็ไม่ปาน มันพัดโหมเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า หน้าผากของหลิงหลานเริ่มหลั่งเหงื่อเย็นๆ และหลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วทั้งใบหน้าซีดเผือดขึ้นมา ริมฝีปากที่เดิมทีหุบแน่นพลันมีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก...ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ร่างกายของหลิงหลานยังคงยืนอย่างมั่นคงมาก ไม่มีความคิดยอมจำนนเลยสักนิดเดียว
“อย่างที่คิดไว้จริงๆ!” อาจารย์หมายเลขหนึ่งพลันเอ่ยปากกล่าว สิ้นเสียงนี้ แรงกดดันที่ท่วมท้นในตอนแรกพลันหายวับไปจนหมด หลิงหลานเตรียมตัวไม่เพียงพอ แทบจะล้มลงไปเพราะต้านทานการทรงตัวไม่ได้ โชคดีที่หลิงหลานปรับตัวว่องไว แก้ไขอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ร่างกายจะโน้มไปข้างหน้า แต่เธอยังคงยืนได้มั่นคง
“พลังของเธอแกร่งกร้าวมากเกินไป ยอมหักไม่ยอมงอ...” อาจารย์หมายเลขหนึ่งเอ่ยเรียบๆ มีความใจหาย มีความชื่นชม และก็มีความเสียใจ
“นี่ไม่ดีเหรอคะ?” คิ้วของหลิงหลายขมวดเป็นปม เธอฟังออกถึงความเศร้าใจของอาจารย์หมายเลขหนึ่ง ดูเหมือนว่าพลังของเธอจะต้องเกิดปัญหาแล้วแน่ๆ
“ไม่ใช่ไม่ดี เพียงแต่ เธอลืมไปว่าเธอคือผู้หญิงนะ…” อาจารย์หมายเลขหนึ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน ถ้าหากหลิงหลานเป็นเด็กผู้ชายละก็ พลังประเภทนี้ย่อมไม่มีปัญหาเลยสักนิดเดียว แต่เธอเป็นผู้หญิง ร่างกายของผู้หญิงเป็นหยิน และพลังที่แกร่งกร้าวเป็นหยาง พลังที่ต่างจากคุณสมบัติของร่างกายนี้ย่อมเผชิญกับการปฏิเสธและต่อต้านจากคุณสมบัติเดิมในร่างกาย นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมช่วงนี้หลิงหลานควบคุมพลังไม่อยู่ มีพลังรั่วไหลตลอด
“ยุ่งยากจริง” คำอธิบายของอาจารย์หมายเลขหนึ่งทำให้คิ้วของหลิงหลานขมวดแน่นขึ้น เธอไม่คาดคิดเลยว่าสาเหตุที่ควบคุมพลังของตัวเองไม่ได้เป็นเพราะร่างกายของเธอเกิดการปฏิเสธ
ควรรู้เอาไว้ว่า เหตุผลที่ช่วงนี้เธอไม่อยากพูดจามากขึ้นเรื่อยๆ ก็เพื่อทุ่มเทสมาธิสะกดกลั้นพลังในร่างกายตัวเอง เมื่อเธอเอ่ยปากพูด พลังของเธอก็จะเกิดความสั่นคลอน ถึงขนาดที่มีโอกาสปะทุออกมา เวลานั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าจะพลาดทำร้ายเพื่อนข้างกายได้ นี่คือสิ่งที่หลิงหลานไม่อยากเห็นเลย…
“พูดตรงๆ วิถีที่เธอเลือกในตอนนั้นยังคงมีปัญหา ควรรู้ว่าวิถีของเธอได้แต่ทดลองคลำด้วยตัวเอง พอไม่มีประสบการณ์ของคนก่อนให้เธออ้างอิงได้ เป็นเรื่องปกติมากที่จะเกิดความผิดพลาด” อาจารย์หมายเลขหนึ่งอธิบายต่อ
“ฉันคิดว่า อาจารย์หมายเลขหนึ่งจะต้องมีวิธีแก้ไขแน่ๆ ค่ะ” หลิงหลานมองไปที่อาจารย์หมายเลขหนึ่งด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว ในเมื่ออีกฝ่ายมองปัญหาของเธอออกแล้ว ย่อมต้องมีวิธีการแก้ไข หลิงหลานเชื่อมั่นในมิติการเรียนรู้สารพัดนึกและอาจารย์หมายเลขหนึ่งที่ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้อย่างหาใดเปรียบ
พอเห็นหลิงหลานที่ทำหน้าเหมือนพึ่งพาเขาแล้ว อาจารย์หมายดลขหนึ่งอดส่ายหน้ายิ้มขื่นในใจไม่ได้ หลิงหลานคนนี้หน้าไม่อายมากขึ้นไปทุกทีแล้วจริงๆ แต่เขาไม่อาจเมินเฉยต่อลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจคนนี้ได้ อาจารย์หมายเลขหนึ่งมักรู้สึกว่า การที่หลิงหลานเป็นแบบนี้ ทั้งหมดเป็นผลพวงจากการตามใจของบรรดาอาจารย์อย่างพวกเขา…ถึงแม้อาจารย์หมายเลขหนึ่งคิดไม่ออกว่า พวกเขาโอ๋อย่างไรกันแน่ เห็นชัดๆ ว่าทุกคนต่างเข้มงวดกับหลิงหลานขนาดนั้น
อาจารย์หมายเลขหนึ่งเงียบไปสักพักถึงค่อยตอบว่า “วิธีการก็มีอยู่ ทั้งหมดมีสองวิธี หนึ่งก็คือทิ้งวิถีที่เธอเดินในตอนนี้ เลือกวิถีอื่นที่มีอยู่ก่อนแล้วและเหมาะกับตัวเธอ รับประสบการณ์ของคนรุ่นก่อนเพื่อมาทำการเปลี่ยนแปลงพลังของเธอ นี่เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดและง่ายที่สุดแล้ว ฉันแนะนำให้เธอเลือกวิธีนี้” อาจารย์หมายเลขหนึ่งเสนอแนะตรงๆ
หลิงหลานได้ยินคำกล่าวก็ตัดทิ้งไปโดยไม่ลังเลเลยสักนิดเดียว “ฉันจะไม่เลือกวิธีนี้ค่ะ” ในเมื่อตอนนั้นเธอเลือกวิถีที่ตัวเองจะเดินแล้ว เธอก็ไม่เคยอยากคิดล้มเลิกกลางคัน
“เธอคิดดีแล้วนะ? ควรรู้นะว่า มีความเป็นไปได้สูงที่วิธีการที่สองอาจจะทำให้ความพยายามที่เธอทุ่มเทลงไปเสียเปล่าได้ ถึงขนาดที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิต” เมื่ออาจารย์หมายเลขหนึ่งได้ฟังคำตอบของหลิงหลาน วินาทีถัดมาก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหลิงหลาน นัยน์ตาเย็นชาอำมหิตคู่นั้นจ้องมองหลิงหลานเขม็ง ราวกับอยากดูให้แน่ชัดว่าในใจหลิงหลานแน่วแน่เหมือนอย่างที่เธอพูดไว้หรือเปล่า
หลิงหลานเผชิญหน้ากับสายตาของอาจารย์หมายเลขหนึ่งโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะกล่าวอย่างเฉียบขาดว่า “ใช่ค่ะ ต่อให้สุดท้ายล้มเหลว ฉันก็ไม่เสียใจ!” เธอกลัวตายมากจริงๆ แต่เธอก็ไม่อยากทอดทิ้งความศรัทธาของตัวเองเพราะความกลัวตายเหมือนกัน นี่เป็นสิ่งเดียวที่เธอเรียนรู้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาในชาติที่สอง
“ดี ไม่เสียใจได้ดี!” ในที่สุดดวงหน้าเย็นเยียบของอาจารย์หมายเลขหนึ่งก็ผุดรอยยิ้มชมเชยออกมาเล็กน้อย “หลิงหลาน ฟังให้ดี เส้นทางที่สองก็คือไม่พังทลายไม่ก่อเกิด ในเมื่อสองฝั่งขัดแย้งกันเอง เธอก็ต้องบีบให้พวกมันเข้าหากันและหลอมรวมเข้าด้วยกัน”
“ไม่พังทลายไม่ก่อเกิด? เข้าหากันหลอมรวมกัน?” แววตาของหลิงหลานปรากฏความมึนงงสับสนเป็นครั้งแรก
“ก็เหมือนน้ำกับไฟที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ แต่เธอต้องทำให้พวกมันหลอมรวมอยู่ในตัวของกันและกัน” เสียงหยอกล้อหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังหลิงหลาน ร่างกายของหลิงหลานที่เดิมทียืนตระหง่านสั่นระริกเบาๆ วินาทีต่อมา หลิงหลานหันกายไปและก้มหัวร้องว่า “อาจารย์หมายเลขห้า สวัสดีค่ะ!”
อาจารย์หมายเลขหนึ่งเห็นอาจารย์หมายเลขห้าปรากฏตัวก็พุ่งกายกลับไปบนหินยักษ์อีกครั้ง ก่อนจะนั่งลงหลับตาทั้งสองข้าง ไม่สนใจหลิงหลานกับอาจารย์หมายเลขห้าที่มาโดยไม่ได้รับเชิญอีก
หลิงหลานเห็นฉากนี้ก็รู้ชัดเจนว่า จากนี้อาจารย์หมายเลขห้าจะรับงานอธิบายต่อ เธอเลยเอ่ยข้อสงสัยในใจออกมาว่า “น้ำกับไฟอยู่ร่วมกันได้ด้วยเหรอคะ? ฉันไม่เคยเห็นของแบบนี้มาก่อนเลย นอกเสียจากว่ามีสสารอื่นที่เป็นสื่อกลาง…”
“No no no หลิงหลานน้อย เธอไม่เคยเห็นก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่จริงสักหน่อย” อาจารย์หมายเลขห้าส่ายนิ้วมือ ยิ้มตาหยีตอบกลับ ในตอนนี้เอง เขาพลันหันหน้ามองไปตรงบริเวณชั้นเมฆที่ว่างเปล่า ร้องตะโกนว่า “หมายเลขเก้า ออกมาเถอะ ฉันรู้ว่าเธออยู่”
สิ้นเสียงนี้ก็ได้ยินเสียงเหอะเย็นเยียบกระจ่างใสของหมายเลขเก้า หลังจากนั้นตรงชั้นเมฆที่ว่างเปล่าพลันปรากฏมือขาวเนียนคู่หนึ่ง มันแหวกท้องฟ้าที่ว่างเปล่าช้าๆ เผยให้เห็นหลุมสีดำ วินาทีต่อมา อาจารย์หมายเลขเก้าก็เดินออกจากในหลุมดำมายังเบื้องหน้าหลิงหลาน
“หลิงหลาน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” ร่างของอาจารย์หมายเลขเก้าเย็นยะเยือกเหมือนกับในความทรงจำ ทว่าแววตากลับไม่อาจปกปิดความรักเอ็นดูของเธอที่มีต่อหลิงหลาน หัวใจของหลิงหลานพลันสั่นสะท้าน สองตาแดงระเรื่อ นับตั้งแต่ที่อาจารย์หมายเลขเก้าสอนทักษะการต่อสู้มือเปล่าขั้นสุดยอดให้หลิงหลานจบแล้ว เธอก็ไม่เคยปรากกฎตัวอีกเลย นับดูแล้วก็เป็นเวลานานสามปีได้ นี่ทำให้เธอคิดถึงเหลือเกิน
“อาจารย์หมายเลขเก้า ฉันดีใจมากจริงๆ ที่ได้เจอคุณ” หลิงหลานฝืนข่มกลั้นความตื่นเต้นในใจ ร้องเรียกด้วยความเคารพนอบน้อม