บทที่ 352 รังไหม

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 352 : รังไหม
บทที่ 352 : รังไหม

เหมือนเช่นผู้ก่อตั้งคนอื่น ๆ ของวิถีแห่งดาบอัคคี อานาเอลก็ไม่ใช่เทวทูตที่แท้จริง และแก่นแท้ของชื่อนี้ก็เป็นแค่โค้ดเนมที่ไร้ความหมาย

แต่ต่างจากสมาชิกคนอื่น ๆ ตัวอานาเอลไม่ได้มีชื่อจริงแต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อมิคาเอลเสนอให้ใช้ชื่ออานาเอลเป็นโค้ดเนม ไม่เพียงแต่เธอจะยอมรับมันเท่านั้น เธอยังคิดว่าชื่อนี้ก็ไม่เลว และใช้เป็นชื่อของเธอนับแต่นั้นมาด้วย

แม้ว่าจะมีคำพูดว่า ‘ชื่อจริง’ มีความหมายมากกว่าชื่อสำหรับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทั่วไป และอาจจะเป็นได้กระทั่งประตูสู่ชีวิต เป็นไปไม่ได้เลยที่จะยอมรับชื่อที่ไม่รู้ที่มาที่ไปมาเป็นของตัวเองก็ตามที

แต่สำหรับอานาเอลแล้ว คำใด ๆ ที่ใช้ภาษาทั่วไปของทวีปนี้ไม่มีอิทธิพลใด ๆ ต่อเธอเลย ดังนั้นมันจึงไร้ค่า

เพราะถึงอย่างไร เผ่าพันธุ์ของเธอก็นับว่าพิเศษ

“จากการตามรอย กลิ่นอายสุดท้ายเหลืออยู่ที่นี่จาง ๆ…”

อานาเอลลอยตัวอยู่กลางอากาศ เงยหน้าขึ้นน้อย ๆ ดวงตาสีเขียวที่เต็มไปด้วยความโกลาหลจับจ้องไปตรงหน้าอย่างว่างเปล่า

เธอยื่นแขนที่เต็มไปด้วยพลกำลังและความงามออกไป และฝ่ามือของเธอก็ไขว่คว้าไปบนอากาศราวกับกำลังจับต้องบางสิ่งอยู่ แล้วมิติก็บิดเบี้ยวราวกระดาษถูกขยำ สร้างเป็นจุดที่อัดข้อมูลเต็มไปหมด

เส้นแสงไหลออกมาจากจุดนั้น เกี่ยวพันกันแล้วลอยเข้าไปในหว่างคิ้วของเธอ และภาพที่เคยเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมใกล้เคียงกับที่นี่ก็ปรากฏขึ้นในใจ

ชายหนุ่มผมดำเคยมาที่นี่ เขาซึ่งดูไม่กลมกลืนกับผู้คนที่เดินตรงมาพูดคุยกับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่อ่อนแอและมีตราของวิถีแห่งดาบอัคคีบนตัวเขา

แล้วชั่วขณะหนึ่ง เขาก็เปิดรอยแยกสู่แดนนิมิตแล้วล้วงหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง

ในขณะเดียวกัน เสียงร้องขอความช่วยเหลือก็ดังออกมาจากรอยแยกนั้นเบา ๆ แต่มันก็ดังขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีเนื่องจากรอยแยกได้ปิดตัวลงแล้ว

เปรี๊ยะ!

อานาเอลกำมือบดขยี้จุดข้อมูลจากอดีตกาล มองจุดแสงที่ปลิวกระจายแล้วขมวดคิ้ว

“รอยแยกสู่แดนนิมิต…ทำไมเขาจึงเปิดมันได้ง่ายนัก? แถมพลังของเขาก็ดูราวกับถูกหมอกปกคลุม ไม่อาจหยั่งได้อย่างชัดเจนเลย แต่นั่นมิใช่ปัญหาสำหรับข้า ข้าก็แค่ต้องย้อนเวลาไป…”

อานาเอลหลับตาลง แล้วปีกที่ดูราวกับสร้างขึ้นมาด้วยจุดแสงนับพัน ๆ จุดก็ขยับ แสงหลากสีส่องประกายราวกับหลอดไฟนีออน และดูเหมือนจะมีการสั่นพ้องกับที่ไหนสักที่

อย่างนี้นี่เอง…ร่างกายครึ่งมังกรที่สร้างจากผลของต้นกระดูกมังกรและหัวใจมังกรที่กลายเป็นหิน

อำนาจควบคุมแดนนิมิตที่ได้จากซิลเวอร์ และความช่วยเหลือจากตัวตนลึกลับตลอดมา แถมยังมีหนังสือมิทราบที่มาพวกนั้นอีก มันช่างน่าสนใจ

ใช้เวลาเพียงครึ่งปีในการเปลี่ยนจากมนุษย์ธรรมดามาเป็นระดับเหนือนภาทุกวันนี้ ต้องพูดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างแท้จริง

ทว่า นี่ยังถือว่าห่างไกลจากคำพูดที่ว่าเหนือกว่าระดับเหนือนภา อย่าว่าแต่นี่มิใช่ความสำเร็จของตัวเขาเองเลย สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือตัวตนปริศนาที่มิเคยปรากฏตัวกับซิลเวอร์ต่างหาก…

เอ๋? กลิ่นอายของซิลเวอร์อ่อนแอลงเพียงนั้น ดูนางจะเหลือเพียงแค่เศษเสี้ยวแล้วสินะ ฮ่า…ดีเลย ความยากลดลงแล้ว

จะว่าไป มิใช่ว่าจุดประสงค์ของพวกมิคาเอลคือการเปิดเส้นทางเพื่อหาทางเลื่อนขั้นในแดนนิมิตหรอกหรือ? หรือก็คือเจ้าหมอนี่ ข้าเกรงว่าคงยืนอยู่สุดเส้นทางแผนการนับพัน ๆ ปีของพวกเขาแล้ว…

มิน่าเล่า เทวดาทุกผู้จึงถูกเรียกมาร่วมมือกัน สำหรับพวกเขาแล้ว ศัตรูระดับนี้ควรค่าแก่การระวังโดยแท้

โอ…แต่สำหรับข้า มันก็แค่มีลูกไม้เยอะกว่าชาวบ้านเท่านั้นแหละ!

อานาเอลแค่นเสียง ‘เฮอะ’ อย่างเฉยเมย สีหน้าของเธอดูทะนงตนและเรียบเฉยราวกับเป็นนายเหนือสรรพสิ่ง แล้วคิดกับตนเองต่อ มิมีมิติและเวลาใดที่หนีการตรวจสอบและเงื้อมมือของข้าพ้น ต่อให้เป็นแดนนิมิต ข้าก็ยังสามารถไปมาได้อย่างอิสระ ที่นั่นมิมีสิ่งใด มิมีกระทั่ง ‘พระเจ้าที่แท้จริง’ มันเป็นเพียงรังของสิ่งมีชีวิตบรรพกาลที่เกิดจากความโกลาหล และความกลัวที่โลกมีต่อพวกมันก็แค่งอกเงยมาจากความไม่รู้เท่านั้น

แม้นว่าสิ่งมีชีวิตบรรพกาลเหล่านี้จะแข็งแกร่งจริง ๆ ก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับแม่มดทั้งสี่…

ไม่สิ พวกมันยังแย่กว่าซิลเวอร์และฟราซินัสอยู่หนึ่งส่วน มิน่าสงสัยเลยว่าเหตุใดพวกนางจึงจำศีลอย่างปลอดภัยในแดนนิมิตของพวกนางมาได้ตั้งมิรู้กี่ปี

เธอลอยตามร่องรอยที่จุดข้อมูลทิ้งไว้ให้แล้วเย้ยหยันด้วยสีหน้าดูแคลน “หากมิใช่เพราะข้าอยากเห็นเจ้าพวกนี้พยายามอย่างไร้ค่า แล้วสงสัยว่าในท้ายที่สุด เมื่อพวกเขาพบว่าสถานที่ที่พวกตนอยากไปให้ถึงนักหนาเป็นเพียง ‘กองขยะ’ สีหน้าของพวกเขาจะน่าอัศจรรย์เช่นไรล่ะก็ ข้าจะเข้าร่วมกับวิถีแห่งดาบอัคคีไปเพื่ออันใดกัน?”

เกล็ดหิมะรอบ ๆ ตัวเธอร่วงโรยผ่านร่างของเธอโดยไร้อุปสรรค มันทำได้เพียงสร้างรอยกระเพื่อมเป็นวงเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าร่างนี้ที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีอยู่ในมิติและเวลานี้ แต่เป็นเพียงตัวตนที่เหมือนภาพฉาย

และไม่ต้องสงสัยเลยว่าร่างจริงของเธอคือผีเสื้อขนาดยักษ์ที่ห่อตัวอยู่ท่ามกลางกระแสแห่งกาลเวลา ในสถานที่ที่ไม่รู้จัก…ทั่วร่างเต็มไปด้วยเส้นไหมลวงตาเกี่ยวเกาะระโยงระยางเต็มไปหมด

ใช่แล้ว อานาเอลคือร่างที่พัฒนาขึ้นอีกขั้นของหนอนเฟืองนาฬิกา เป็นร่างพัฒนาที่ยืนอยู่เหนือหนอนเฟืองนาฬิกานับแสนล้านผู้บงการเวลา…

ผีเสื้อแห่งธารเวลา

ร่างจำแลงครึ่งท่อนที่ดูเหมือนมนุษย์นี้เกิดจากการที่เธอสร้างมันขึ้นมาจากอุดมคติความงามที่ดูดซับมาจากสังคมมนุษย์ ดังนั้นมันจึงเต็มไปด้วยความโกลาหล

…เพราะถึงอย่างไร จะหวังให้แมลงมาเข้าใจความงามในแบบมนุษย์อย่างแท้จริงก็คงไม่ได้

และจุดประสงค์ที่อานาเอลมาที่นี่ก็เป็นเพราะว่าเธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์หนอนเฟืองนาฬิกาที่ถูกจับตัวไป และต้องการมาช่วยพวกเขา

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ตระกูลมนุษย์ตระกูลหนึ่งจับตัวมันไปด้วยวิธีพิเศษ และใช้มันเพื่อควบคุมเวลาในระยะเล็กน้อย แถมยังส่งมันต่อจากรุ่นสู่รุ่นในฐานะมรดกตระกูลอีก

ในสมัยที่อานาเอลยังไม่มีชื่อ เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ไม่ได้ทำให้เธอสนใจเลย เพราะถึงอย่างไร สำหรับแมลงแล้ว การกินแล้วก็นอนคือสองเรื่องเท่านั้นที่คิดในใจ ไม่ต้องห่วงเรื่องอื่น ๆ อีก

แต่หลังจากเฝ้ามองสังคมมนุษย์มาหลายต่อหลายพันปี เธอก็ค่อย ๆ ได้เรียนรู้ถึง ‘ความเห็นแก่ตัว’

จนกระทั่งเร็ว ๆ นี้ที่เธอถูกมิคาเอลปลุกให้ตาสว่าง เธอรู้สึกราวกับได้ออกมาจากรังไหมอีกครั้ง แล้วมองทุกอย่างต่างไปจากอดีตโดยสิ้นเชิง

โดยเฉพาะเมื่อเธอเห็นเพื่อนตัวน้อยไร้ค่าของตัวเองถูกนำตัวไป และได้ยินเสียงโอดครวญที่ดังต่อเนื่องมาหลายพันปี ความรู้สึกที่เรียกว่าโทสะก็ปะทุขึ้นในใจของเธอเป็นครั้งแรก

ด้วยโทสะที่เกินจะควบคุม เธอไม่ได้ไปยังจุดนัดพบที่มิคาเอลกำหนด แต่มาตามหาคนที่ถือกล่องใส่หนอนเฟืองนาฬิกาในปัจจุบันเพียงลำพัง

ในตอนนี้ เธอจะมารับเพื่อนของเธอคืน

ร่างมีปีกที่ส่องประกายซับซ้อนของเธอขยายออก และในขณะที่ผู้คนในคฤหาสน์ยังไม่รู้ตัว มันก็ค่อย ๆ ครอบคลุมไปทั่วท้องฟ้า

มิติและเวลารอบ ๆ คฤหาสน์ปั่นป่วน มันแตกร้าวเหมือนกับว่าจะทนต่อไปไม่ได้

ราวกับรังไหมที่มองไม่เห็นกำลังห่อหุ้มมันอยู่

และอานาเอลที่กำลังลอยไปยังจุดสุดท้ายที่ข้อมูลระบุไว้ก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าภายใต้ร่างของเธอที่ควรจะเป็นเพียงภาพฉาย ไม่ใช่ร่างจริง…

มีเงาหนึ่งที่ติดตามเธออยู่ในระยะประชิด