บทที่ 388 ได้แต่ฝืนเชื่อใจเจ้า
บทที่ 388 ได้แต่ฝืนเชื่อใจเจ้า
วันที่สองหลังกลับมาจากพระราชวังฤดูร้อน กรมโยธาก็ได้รับข่าวดี
ทำดินปูนสำเร็จแล้ว!
หนานกงสือเยวียนพอทราบข่าวก็รีบพาเสี่ยวเป่าและขุนนางคนสนิทกลุ่มหนึ่งไปที่กรมโยธาทันที
ตรงหน้าที่พวกเขาเห็นก็คือสิ่งที่เกิดจากดินปูนจับตัวกันเป็นก้อนหลังจากผ่านการทดลอง เป็นแผ่นปูนหนาจำนวนสองแผ่น
แผ่นปูนดูแข็งและเรียบเนียน เจ้ากรมโยธากระตือรือร้นที่จะนำเสนอให้แก่ฮ่องเต้กับบรรดาใต้เท้า
“ฝ่าบาท ดินปูนนี้ราคาถูกยิ่งนัก ล้วนใช้วัสดุธรรมดาทั้งยังหาได้ง่าย เมื่อทำเสร็จแล้วจะมีลักษณะเป็นผง เมื่อเติมน้ำจนได้สัดส่วนแล้ว ใช้เวลาเพียงวันเดียวก็จะแห้งจนมีรูปร่างอย่างที่เห็นพ่ะย่ะค่ะ”
ระหว่างที่พูดก็สั่งให้คนนำผงปูนมาให้ทุกคนได้ดูกันชัด ๆ
“ดินปูนนี้เมื่อแห้งแล้วจะมีความแข็งแรงมาก นำมาใช้สร้างกำแพงป้องกันเมืองได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญที่สุดคือ รวดเร็วและราคาถูก!”
“อัศจรรย์ปานนั้นเชียว”
กั๋วกงผู้เฒ่ารู้สึกสงสัย จึงเสนอให้ทดสอบความแข็งแรงของแผ่นปูน
หนานกงสือเยวียนก็อนุญาต
แม่ทัพนายหนึ่งก้าวไปข้างหน้า จากนั้นก็ใช้ดาบฟันไปที่แผ่นปูน
แม้ว่าแผ่นปูนจะเกิดรอย แต่ก็ไม่ถึงกับแตกหัก
ทว่าใบดาบของแม่ทัพคนนั้นกลับบิ่นเล็กน้อย
เมื่อผลลัพธ์ปรากฏอยู่ตรงหน้า ดวงตาของทุกคนก็เป็นประกาย
“ขอแสดงความยินดีพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เครื่องมือเยี่ยมยอดเช่นนี้ กำแพงเมืองของต้าเซี่ยก็จะไม่มีวันพังทลาย!”
คนอื่น ๆ ต่างก็พากันแสดงความยินดีและประจบสอพลอกันการใหญ่
นัยน์ตาของหนานกงสือเยวียนปรากฏรอยยิ้ม “ของสิ่งนี้มิเพียงแต่ใช้สร้างกำแพงเมืองได้ แต่ยังสามารถนำไปซ่อมแซมถนนได้อีกด้วย”
เขาออกคำสั่ง “ให้กรมโยธาคำนวณดินปูนที่ต้องใช้ในการสร้างกำแพงเมืองและทางหลวง ให้กรมคลังเป็นผู้จัดสรรเงินทุน ข้าจะสร้างทั้งกำแพงเมืองและซ่อมแซมถนน”
เสี่ยวเป่าเป็นผู้เสนอเรื่องนี้ เพราะเดิมทีก็เป็นดินปูนที่เตรียมไว้เพื่อซ่อมถนนอยู่แล้ว
“พ่ะย่ะค่ะ!”
กรมโยธารับบัญชาด้วยความดีใจ ขอแค่มีเงิน จะทำอะไรก็ย่อมได้ทั้งนั้น
คราวนี้ความกดดันจึงไปตกที่กรมคลัง
หลังจากที่กรมคลังได้รับมอบหมายงานก็เรียกได้ว่าหน้านิ่วคิ้วขมวดกันเลยทีเดียว เพราะว่าไม่นานมานี้ฝ่าบาทเพิ่งมีรับสั่งให้จัดสรรเงินบางส่วนเพื่อนำไปสร้างเรือ มาตอนนี้ทั้งต้องซ่อมแซมถนนและสร้างกำแพงเมือง จะให้กรมคลังหาเงินมาจากไหนกัน!
เงินที่รวบรวมมาจากหนานจ้าว เฮอะ คราวนี้ก็คงไม่เหลือ
โชคดีที่พวกเขายังมีเหมืองเงินไว้รองรับ ไม่เช่นนั้นกรมคลังคงได้กินแกลบเป็นแน่
เดิมทีกรมคลังมีหนานกงฉีซิวเป็นผู้ดูแล แต่ว่าตอนนี้เจ้าตัวไม่อยู่ อีกอย่างรัชทายาทก็มีเรื่องให้ต้องจัดการมากขึ้นเรื่อย ๆ หากให้ดูแลกรมคลังต่อไปเกรงว่าจะไม่เหมาะนัก
ด้วยเหตุนี้เองหนานกงสือเยวียนจึงใคร่ครวญเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง ในที่สุดภาระหน้าที่นี้จึงไปตกอยู่ที่น้องชายของเขา เซียวเหยาอ๋องผู้รั้งตำแหน่งหงหลูซื่อชิง
หนานกงหลีผู้กำลังกอดไหสุราหวังจะนำไปอวด แต่แล้วจู่ ๆ ก็ตื่นตัวพลางรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
เหตุใดรู้สึกเหมือนตกเป็นเป้า
หรือว่าจะมีคนได้กลิ่นสุราชั้นเลิศของเขา
ทว่าเขาก็ยืดตัวตรงอย่างรวดเร็ว ข้างกายเขามีองครักษ์อยู่ทั้งคน มีอันใดให้ต้องกลัวเล่า
จากนั้นก็ยกไหสุราและเดินโซซัดโซเซไปยังเหลาอาหารอันเป็นจุดนัดพบ
สุรารสเลิศ เพียงแค่เปิดออกทุกคนในห้องอาหารต่างก็ต้องตกตะลึง
ในบรรดาพวกเขาไม่เคยมีใครดื่มสุราที่มีฤทธิ์แรงขนาดนี้มาก่อน ในที่สุดก็ทำเอาทุกคนหน้าแดงก่ำ ทั้งยังเมามายจนหล่นไปอยู่ข้างใต้โต๊ะ
บ่าวรับใช้ของแต่ละคนเป็นผู้แบกเจ้านายที่เมาจนไม่รู้ทิศขึ้นรถม้าพากลับจวน
ในตอนนั้นผู้คนมากมายต่างก็เมามายกลายเป็นเหตุอันยิ่งใหญ่ ทั้งยังเสียงดังครึกครื้นจนคนรอบข้างพากันจ้องมอง ตามมาด้วยเสียงหัวเราะดังลั่นเมื่อเซียวเหยาอ๋องผู้แพ้ให้กับฤทธิ์สุราถูกหามกลับไป ในที่สุดเรื่องก็ลอยไปเข้าหูหนานกงสือเยวียน
มิหนำซ้ำเรื่องราวก็ยิ่งห่างไกลความเป็นจริงมากขึ้น อย่างเช่นว่าดื่มจนทำตัวสำมะเลเทเมา กระทั่งเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ระหว่างคุณชายสูงศักดิ์ทั้งหลาย
ทั้งยังมีคนสาบานอย่างแน่วแน่ว่าภรรยาที่บ้านเข้มงวดเกินไป ตนจึงมาดื่มสุราเพื่อคลายทุกข์ แต่ทว่าดื่มไปเพียงแก้วเดียวก็เป็นอันล้มพับไปเสียแล้ว
หนานกงสือเยวียน “…”
ดีมาก เรื่องนี้ช่วยให้เขาไม่ต้องหาข้ออ้างสั่งงานให้น้องชายคนนี้พอดิบพอดี
ดังนั้นขณะว่าราชกิจในเช้าวันรุ่งขึ้น การแต่งตั้งของหนานกงสือเยวียนก็ทำเอาขุนนางทุกผู้ไม่ทันได้ตั้งตัว
“เชื่อว่าทุกท่านคงได้ยินข่าวลือที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงแล้ว”
หนานกงสือเยวียนจ้องไปที่เซียวเหยาอ๋องที่กำลังพยายามซ่อนตัวเองสุดฤทธิ์
คนอื่น ๆ ก็มองตามด้วยความขบขันเช่นกัน
แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็ยิ้มไม่ออก
“หนานกงหลี เซียวเหยาอ๋อง ดูท่าเจ้าคงจะว่างเกินไปนัก เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าดื่มสุราจนสร้างความเสื่อมเสียให้แก่ราชวงศ์อีก บัดนี้ข้าขอแต่งตั้งให้เซียวเหยาอ๋องรั้งตำแหน่งเจ้ากรมคลังเป็นการชั่วคราว”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา ทั่วทั้งท้องพระโรงก็เงียบสนิทด้วยความตกตะลึงไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ
ไม่สิ ให้เขารับตำแหน่งเจ้ากรมคลังเช่นนี้มันไม่น่าขันเกินไปหน่อยหรือ
ยิ่งไปกว่านั้นท่านเคยสนใจหน้าตาของราชวงศ์ตั้งแต่เมื่อไร คำพูดนี้หลุดออกจากปากของฝ่าบาท ฝาโลงพระศพของอดีตฮ่องเต้คงกดไว้ไม่อยู่เป็นแน่!
พอได้สติแล้ว ก็มีหลายคนขอให้ฝ่าบาทยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งนี้เสีย
ถึงอย่างไรกรมคลังก็เป็นสถานที่ที่สำคัญ ในสายตาของพวกเขา คนฝีปากกล้าทั้งยังเจ้าสำราญอย่างเซียวเหยาอ๋องไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
แต่เมื่อหนานกงสือเยวียนตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
พวกเขาจึงทำได้เพียงมองหน้าหนานกงหลีที่จับพลัดจับผลูได้ไปอยู่กรมคลัง
“ไม่สิ ฝ่า…”
หนานกงหลีรีบร้อนจะพูดบางอย่าง แต่กลับถูกหนานกงสือเยวียนจ้องมองด้วยสายตาทิ่มแทง ทำเอาเขาขี้ขลาดไม่กล้าโต้แย้งอะไรอีก
ฝูงชน “…”
หลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าไม่ได้เสียนี่*[1] เซียวเหยาอ๋องเหตุใดท่านถึงไร้ประโยชน์เช่นนี้!
หนานกงหลีจ้องพวกเขากลับอย่างไม่ยอมแพ้ พวกเจ้าเก่งนักก็ไปโต้แย้งเสด็จพี่เองสิ ‘เหยื่อ’ อย่างเขาจะทำอะไรได้!
“เพราะอะไรกัน!” ภายในตำหนักฉินเจิ้ง หนานกงหลีชักสีหน้าและคุกเข่าลงตรงหน้าหนานกงสือเยวียน
“เสด็จพี่ ข้าทำไม่ได้ ทำไม่ได้จริง ๆ กรมคลังไม่เหมาะกับข้า ข้าดูแลเงินไม่เป็น!”
เขาก็แค่อยากเป็นอ๋องที่ใช้ชีวิตอย่างสำราญไปวัน ๆ เขาไปทำให้ใครขุ่นเคืองกัน!
หนานกงสือเยวียน : ก็ไม่ได้ทำให้ใครขุ่นเคืองหรอก แต่เพราะเขาขาดคนต่างหาก
ตอนนี้คดีภาษีผลผลิตทางการเกษตรยังคงสืบสวนอยู่ ขุนนางในราชสำนักส่วนใหญ่ล้วนมาจากตระกูลสูงศักดิ์ เขาไม่ไว้ใจคนพวกนี้ จึงทำได้เพียงเอาความกดดันไปไว้ที่น้องชายของตนแทน
หนานกงหลี “…”
“เจ้าไม่เก่งเรื่องอื่น แต่เจ้าเก่งเรื่องคำนวณ กระเบื้องเคลือบที่เตาหลวงรวมถึงการทำน้ำแข็ง ข้ามอบหมายให้เจ้าเป็นผู้ดูแล ตราบใดที่ไม่หนักจนเกินไป ข้าจะไม่เข้าไปก้าวก่าย”
เขามองหนานกงหลีและเล่าเรื่องการจัดเก็บภาษีให้รู้
หนานกงหลีที่ไม่พอใจในตอนแรก ยิ่งได้ฟัง สีหน้าก็ยิ่งบึ้งตึง
“ดังนั้นแล้วก่อนที่จะสืบสวนจนรู้เรื่องราวทั้งหมด ตระกูลชั้นสูงเหล่านั้นอาจมีส่วนเกี่ยวข้องได้ทั้งนั้น กรมคลังจะต้องดูแลท้องพระคลังไม่ให้เกิดความผิดพลาด ตอนนี้ข้าได้เพียง…”
เขาชะงักเมื่อพูดถึงตรงนี้ จากนั้นก็เหลือบมองหนานกงหลี
หนานกงหลีเงยหน้าโดยไม่รู้ตัว รู้สึกพึงพอใจทั้งยังตื่นเต้น คิดไม่ถึงเลยว่าในช่วงเวลาคับขัน เสด็จพี่จะไว้ใจเขาถึงเพียงนี้!
“ได้เพียงฝืนเชื่อใจเจ้า”
หนานกงหลี “…”
เสด็จพี่พูดอีกทีสิ ฝืนเชื่อใจข้ามันหมายความว่าอย่างไร!
เขาเรียกคืนความตื่นเต้นเมื่อครู่ ตื่นเต้นบ้าบออะไรกัน!
เหตุใดเขาถึงเป็นเช่นนี้นะ!
หนานกงหลีทำหน้าโกรธจัด
หนานกงสือเยวียนเห็นท่าทางของเขาก็ได้แต่หัวเราะ จากนั้นก็โบกมือ “เอาละ เจ้าไปได้แล้ว”
หนานกงหลีตอบรับด้วยใบหน้าบูดบึ้ง จากนั้นก็ออกไปพลางบ่นมุบมิบ เขาต้องไปให้เสี่ยวเป่าปลอบใจเสียหน่อย เสด็จพี่ทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!
[1] หลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้า หมายถึง ตั้งความหวังหรือเข้มงวดกับคนผู้นั้น หวังว่าเขาจะได้ดิบได้ดี