ภาค 3 บทที่ 42

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 3 บทที่ 42 เยี่ยนเยือนคนในอดีต
บทที่ 42 เยี่ยนเยือนคนในอดีต
โดย
Ink Stone_Romance
แน่นอนตอนนี้ไม่ใช่แล้ว

คุณหนูจวินหัวเราะ

“ท่านเป็นหมอคนหนึ่ง นี่คือท่านมารักษาคน” นางเอ่ย

ท่านหมอเฒ่าเฝิงถอนหายใจ มองประตูวังโอ่อ่าบานนี้ตรงหน้า

นี่คือวังหลวงสินะ รออีกประเดี๋ยวผู้ที่เขาจะได้เข้าเฝ้าก็คือฮ่องเต้ โอรสสวรรค์เชียวนะ คนที่สูงศักดิ์ที่สุดใต้หล้าแห่งนี้

“โถ่คุณหนูจวิน ที่จริงข้าเป็นเพียงแค่หมอจัดกระดูกคนหนึ่ง” เขาเอ่ย “อยู่ในเมืองหลวงอาศัยวิชานี้ดูแลครอบครัวเลี้ยงปากท้อง คนที่ต้องจัดกระดูกส่วนมากล้วนเป็นคนยากจนทำงานแรงงาน ในสายตาคนในวงวิชา พวกเราหมอจัดกระดูกถึงกับไม่นับเป็นหมอคนหนึ่งด้วยซ้ำ”

คิดไม่ถึงเขาหมอที่ไม่นับเป็นหมอคนนี้กลับมีวันหนึ่งได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้

นี่ทำได้อย่างไร? ทำไมเดินมาถึงขั้นนี้ได้? เหมือนว่าก็ไม่ได้ทำอะไรนะ ท่านหมอเฒ่าเฝิงชั่วขณะใจลอยอยู่บ้าง

“เอาล่ะ ท่านหมอเฝิง หากท่านยังกระสับกระส่ายเช่นนี้ต่อไป ทำฮ่องเต้บันดาลโทสะเข้า ท่านจะไม่ได้เป็นท่านหมอต่อไปจริงๆ แล้ว” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย ยื่นมือรับหีบยาของตนเองกลับไปวางไว้บนรถ “พวกเราใครก็ไม่ต้องถือหีบยาทั้งนั้น ในวังสิ่งใดล้วนมีทั้งสิ้น พวกเราเพียงแต่ถือหน่อฝีไปก็พอแล้ว”

คำพร่ำพูดท่อนนี้ทำให้จิตใจของท่านหมอเฒ่าเฝิงสงบลงมาก ยิ้มขัดเขินอยู่บ้างให้คุณหนูจวิน ไม่พูดอีก

ตรงประตูวัง ขันทีผู้พิสูจน์ตัวตนแล้วยิ้มตาหยีกวักมือให้พวกเขา คุณหนูจวินพาท่านหมอเฒ่าเฝิงเดินผ่านไป

ตอนที่มาถึงในวังไทเฮา เหมือนคนในวังหลวงทั้งหมดล้วนรวมตัวอยู่ที่นี่

นอกจากลูกๆ ของพระชายานางสนมที่เคยเห็นตอนถวายพระพรปีใหม่ ยังเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง

คุณหนูจวินมองบุรุษวัยกลางคนสวมฉลองพระองค์มังกรที่นั่งอยู่ตรงกลาง หลุบตาคุกเข่าลง

“เข้าเฝ้าฝ่าบาท” นางเอ่ย

ตอนยังเล็กไม่มีความประทับใจอันใดกับพระปิตุลาองค์นี้ อย่างไรก็ไม่ได้ไปมาหาสู่ แต่ทุกปีใหม่ของขวัญที่ส่งมาจากซานตงล้วนใช้ได้จริงที่สุด ไม่เหมือนกับเงินทองแพรพรรณของบรรดาท่านอ๋องท่านกงคนอื่น ที่ฉีอ๋องส่งมามีเพียงอาหารเครื่องดื่มเครื่องใช้ผลิตผลท้องถิ่นของซานตง

ตอนนางกับพระบิดาไปเข้าเฝ้าพระอัยกาเคยได้ยินขุนนางใหญ่ชื่นชมว่าฉีอ๋องทั้งใส่ใจหน้าที่ทั้งไม่ละเลยความรักต่อเลือดเนื้อ

แม้ไม่ค่อยเข้าใจข้อสรุปของพวกเขานัก แต่นางยังคงชอบของขวัญปีใหม่ที่พระปิตุลาองค์นี้ส่งมายิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อหมักเกลืออร่อยมาก

ในความประทับใจของนาง พระปิตุลาก็เป็นคนที่เหมือนกับพ่อค้าหาบเร่อ้วนฉุยิ้มตาหยีบนภาพวาดวันตรุษ

จีนต่อมาพระบิดาพระมารดาไม่อยู่แล้ว นางจึงได้พบพระปิตุลาองค์นี้ เหมือนกับในจินตนาการ รูปร่างของเขาอ้วนฉุสีหน้าอ่อนโยน เพียงแต่ไม่ได้ยิ้มตาหยี แต่หน้านิ่วคิ้วขมวด นิดๆ หน่อยๆ ก็ร้องไห้

เพราะเขาบอกว่าตนเองถูกขึงย่างอยู่บนไฟ เขาทนไม่ไหวจริงๆ อยากกลับซานตง แต่กลับไปก็อกตัญญู รั้งอยู่ก็ไม่ภักดี เขาโศกเศร้าที่ตนเองกลายเป็นคนไร้ความภักดีอกตัญญูคนหนึ่ง

เวลานั้นคุณหนูจวินก็รู้สึกว่าเขาน่าสงสารนักจริงๆ เทียบกับเป็นฮ่องเต้ที่ถูกขุนนางใหญ่รุมล้อมด่า คุกเข่าโวยวายคนนั้น ยังไม่สู้เป็นฉีอ๋องอยู่ที่ซานตงอันไกลโพ้น

เมื่อฉีอ๋องผู้นี้ได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ในที่สุด พวกนางก็ย้ายไปอาศัยที่วังไหวอ๋อง จึงรู้ว่าจากนี้ไปชีวิตไม่เหมือนเดิมแล้ว แล้วก็รู้ว่าไม่ว่าฉีอ๋องยินดีหรือไม่ยินดี สำหรับคนที่เป็นฮ่องเต้แล้ว ตัวตนของพวกนางไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดีนัก ดังนั้นวังไหวอ๋องจึงถูกตีตัวออกห่าง ถูกสอดส่อง ถูกลืมเลือน นางก็ไม่ได้แค้นเคืองอันใด แล้วก็ไม่เคยสงสัยอะไรด้วย

ตอนนี้คิดดูแล้ว ตนเองช่างโง่จริงๆ

ครอบครัวของตนช่างโง่จริงๆ

พระบิดาช่างโง่จริงๆ

จริงใจกับคนจนหมดหัวใจ กลับไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นลูกหมาป่าทะเยอทะยาน

“พระบิดาของข้าตายอย่างไร? พระมารดาของข้าตายอย่างไร?”

เวลานั้นนางคุกเข่านั่งอยู่หน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ เมื่อเขาตีสีหน้ารักใคร่เมตตาดั่งเช่นวันวานเอ่ยถามนางว่ามีเรื่องอันใด นางพลันตั้งคำถามชักกระบี่ออกมา

นี่เป็นกระบี่อ่อนเล่มหนึ่ง ของที่นางเหลือไว้ป้องกันตัวไม่มาก เหลือเพียงแค่กระบี่เล่มนี้ เพราะอาจารย์ตีขึ้นมางดงามยิ่งนัก กระบี่มีสองชั้น ฝักกระบี่ยามปกติใช้เป็นสายคาดเอว ยากจะถูกพบยิ่งนัก

ขันทีด้านในโถมเข้ามา ฎีกาแท่นหมึกราวพู่กันเหวี่ยงเข้ามา โต๊ะเก้าอี้ถูกพลิกคว่ำ บรรดาองครักษ์พุ่งเข้ามา ดาบรุมฟันลงมา

นางยังไม่ทันได้คำตอบ

พระบิดาข้าตายอย่างไร? พระมารดาข้าตายอย่างไร?

“ลุกขึ้น” สุรเสียงอ่อนโยนของฮ่องเต้ดังอยู่เหนือศีรษะ

คุณหนูจวินกับท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยขอบพระทัยลุกขึ้นมา

ไทเฮาทนรอไม่ไหวแล้ว เรียกคุณหนูจวินสอบถามรายละเอียดของการปลูกฝีจำนวนหนึ่ง สำเร็จเท่าไร ปลูกฝีเกิดเหตุไม่คาดฝันเท่าไร ที่จริงเรื่องโดยละเอียดเหล่านี้องครักษ์เสื้อแพรคงรวบรวมไว้พร้อม รายงานไปนานแล้ว

คุณหนูจวินเอ่ยตอบทีละอย่าง ไทเฮาจึงมองไปทางฮ่องเต้

“ฝ่าบาท” นางท่าทางคล้ายขออนุมัติ

ฮ่องเต้ทรงพยักหน้า

“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญคุณหนูจวินปลูกฝีให้บรรดาองค์ชายองค์หญิงเถอะ” พระองค์ตรัส

คุณหนูจวินขานรับ หมุนตัวเรียกท่านหมอเฒ่าเฝิง

ท่านหมอเฒ่าเฝิงแม้ยากปิดบังความตื่นเต้น แต่ยังคงก้าวเข้าไปตามคำบอก

“ทำไมไม่ใช่คุณหนูจวินเจ้าปลูกฝีเล่า?” ฮองเฮาอดไม่ได้ตรัสถาม

“ตอบฮองเฮา ตลอดมาข้าไม่เคยปลูกฝี ข้าเพียงแค่ทำยา ปลูกฝีล้วนเป็นพวกท่านหมอเฝิงทำ” คุณหนูจวินทูลตอบ

นี่ก็เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ไทเฮาทรงทราบแล้ว ได้ยินเข้าไม่แย้งอะไรอีก

ท่านหมอเฒ่าเฝิงสั่นเทาปลูกฝีให้องค์ชายองค์หญิงหลายคน องค์ชายองค์หญิงแม้ร้องไห้กระจองอแงแต่ก็นับว่าสำเร็จราบรื่น แต่หลังปลูกเสร็จพวกเขาไม่อาจจากไปได้ทันที

“ตอนนี้พักอยู่ในวังไปก่อน เตรียมพร้อมเผื่อเวลาต้องการ” ฮ่องเต้ตรัส

นี่ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล อยู่ในความคาดคิด คุณหนูจวินกับท่านหมอเฒ่าเฝิงขานรับ

ฮองเฮาพาพระชายานางสนมกับเด็กๆ ขอตัวไป คุณหนูจวินกับท่านหอมเฒ่าเฝิงติดตามไปด้วย ในท้องพระโรงเหลือเพียงฮ่องเต้กับฮองเฮา

สายตาของฮ่องเต้จับอยู่บนแผ่นหลังของคุณหนูจวิน สีหน้าอ่อนโยนสลายไป กลายเป็นหนักใจอยู่บ้าง

“อะไรๆ ก็ดี” เขาพลันเอ่ยขึ้น “มีแต่ชื่อนี้ไม่ดี”

ฮองเฮาสีหน้าราบเรียบ

“อะไรๆ ก็ดี ชื่อยังมีอะไรได้อีก” นางเอ่ย “ไม่คิดเรื่องดีๆ ลบทิ้งไปก็ถูกแล้ว คนถ้าไม่ถนอมวาสนาของตนเอง โทษใครได้”

นางมองฮ่องเต้ยิ้มทีหนึ่ง

“ฮ่องเต้ท่านมีบุญอย่างที่สุด ได้ขจัดฝีดาษ สี่สมุทรสงบสุข ฟ้าคุ้มครอง”

ฮ่องเต้ทรงลุกขึ้นคำนับไทเฮา

“ขอบพระทัยพระมารดา” เขาเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ

ราตรีโรยลงมา โคมไฟจุดสว่างข้างในทำให้วังหลวงซึ่งในยามกลางวันน่าเกรงขามแลดูอ่อนโยนลงบ้าง

ท่านหมอเฒ่าเฝิงได้ยินเสียงประตูดัง ลุกขึ้นยืนเคร่งเครียดทันที กลับเห็นคุณหนูจวินเดินเข้ามา

“ไม่มีอะไร ข้าแค่มาบอกท่าน ท่านพักผ่อนให้สบาย คืนนี้ข้าเฝ้าเอง” นางยิ้มเอ่ย

ท่านหมอเฒ่าเฝิงพยักหน้า เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก

“ได้ได้ ท่านเฝ้าอยู่ยิ่งดี” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินไม่ได้พูดอะไรอีกจากไปแล้ว นางกำนัลน้อยที่มาเป็นเพื่อนยกโคมนำทางนางไปทางตำหนักอีกด้านหนึ่ง

พวกองค์ชายองค์หญิงทั้งหลายก็ไม่ได้กลับที่พักของตนเอง ให้อยู่ด้วยกันในตำหนักแห่งหนึ่ง สะดวกดูแล

ตะเกียงเจ้าพายุใต้ชายคาแกว่งไกว สอดประสานกับโคมที่นางกำนัลน้อยถืออยู่ ลากเงาคุณหนูจวินให้ทอดยาว

พลันคุณหนูจวินก็โงนเงนทีหนึ่ง นางกำนัลน้อยตาไวมือไวประคองไว้

“คุณหนูจวิน ท่านไม่เป็นไรนะเจ้าคะ?” นางเอ่ยถามอย่างห่วงใย

คุณหนูจวินส่ายศีรษะ

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” นางเอ่ย ท่าทางอับอายนิดๆ “ข้าค้างคืนในวังเป็นครั้งแรก”

นี่เป็นถึงวังหลวงเชียวนะ กระทั่งองค์หญิงที่แต่งงานออกไปแล้วเหล่านั้นยังไม่อาจค้างคืนได้ ได้ค้างที่นี่คืนหนึ่ง สัมผัสบรรยากาศสูงส่งมหาศาล ความตื่นเต้นเคร่งเครียดของคุณหนูจวินนี้ก็เป็นเรื่องปกติ

นางกำนัลน้อยเม้มปากยิ้ม

“พี่สาวเป็นคนของวังไทเฮาหรือ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม

อาจเพราะการเสียกิริยาครานี้ดึงระยะห่างระหว่างคนเข้าใกล้ หรืออาจเพราะค่ำคืนเป็นเหตุ ทำให้คนยินดีพูดมากขึ้นหลายประโยค

นางกำนัลน้อยส่งเสียงตอบในคอ

“ครั้งก่อนไม่เห็นพี่สาว” คุณหนูจวินเอ่ย

ครั้งก่อนรึ นางกำนัลน้อยคิดขึ้นมาได้ เดือนก่อนคุณหนูจวินก็เคยถูกเรียกเข้าเฝ้า

“ข้าไม่มีคุณสมบัติเข้าไปรับใช้ในตำหนักหลักหรอกเจ้าค่ะ” นางกำนัลน้อยยิ้มเขินอาย

ตำแหน่งของนางต่ำต้อยอยู่บ้าง นี่คือความจริง แต่การเป็นฝ่ายยอมรับกับคนแปลกหน้าก็เป็นความกล้าหาญและเจตนาดีมากยิ่ง

“ในบ้านของพี่สาวมีเด็กต้องปลูกฝีไหม?” คุณหนูจวินพลันเอ่ย

“มีมี” นางรีบพยักหน้าเอ่ย

แม้ไม่ได้ออกไปดู แต่ก็ได้ยินว่าตอนนี้สิทธิการปลูกฝีสักสิทธิยากจะได้มา

“ท่านกลับไปเขียนที่อยู่ให้ข้า” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย

นางกำนัลน้อยพยักหน้าไม่หยุด

“โอ้ แล้วยังมีพี่สาวที่ชื่อปิงเอ๋อร์หรืออะไรที่รินสุราให้ข้าที่ตำหนักหลักครั้งก่อนด้วย” คุณหนูจวินคิดอะไรได้อีกครั้ง มองนางกำนัลน้อย“ไม่รู้ว่าในบ้านนางมีเด็กต้องปลูกฝีหรือไม่”

……………………………………….