ตอนที่ 358 อย่าให้ความหวังกับเฉินเฟิง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 358 อย่าให้ความหวังกับเฉินเฟิง

พอฟางเว่ยกั๋วได้ยินแบบนั้น เขาก็ยิ่งอึดอัดใจเข้าไปใหญ่

ในที่สุดเรื่องการแต่งงานระหว่างซูอวี้อิ๋งกับฟางจั๋วหรานก็พลันกลับตาลปัตร ต้องโทษเจ้าลูกชายกบฏฟางจั๋วหรานที่ทำลายทุกอย่าง

เขาอยากทุบตีลูกชายคนโตของเขาเสียเดี๋ยวนี้

ถึงอย่างนั้นหวังเหวินฟางก็พอมองออกว่าซูอวี้อิ๋งมีเลือดนักสู้ ดังนั้นตราบใดที่หล่อนยุยงอีกฝ่าย ก็มีความเป็นไปได้ที่หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานจะเลิกกัน

หล่อนรีบขอโทษขอโพยซูอวี้อิ๋ง “ป้าเองก็ไม่คิดว่าแม่ม่ายคนนั้นจะมีความสามารถถึงขนาดมัดใจจั๋วหรานจนอยู่หมัด อิ๋งอิ๋งของป้าสวยจนไม่มีใครเทียบ แถมยังมีดีกรีเป็นเด็กจบนอก กลับพ่ายแพ้ให้แม่ม่ายคนนั้นซะได้! งั้นก็ดี! ในเมื่อจั๋วหรานหูตาฝ้าฟาง ไม่ยอมเลือกผู้หญิงที่เหนือกว่า แต่ยืนกรานจะเลือกแม่ม่ายคนนั้น ก็ปล่อยให้เขาเลือกหล่อนไปเถอะ!”

คำพูดของหวังเหวินฟางทำให้ซูอวี้อิ๋งแทบระเบิดอารมณ์ออกมา สีหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียใจของอีกฝ่ายทำให้หล่อนรู้สึกหงุดหงิดมาก

ซูอวี้อิ๋งแค่นเสียงเย้ยหยัน “ฉันอยากรู้จริง ๆ ว่าแม่ม่ายที่ชื่อหลินม่ายนี่มีดีอะไรกัน!”

เมื่อเห็นว่าเป้าหมายบรรลุแล้ว หวังเหวินฟางก็ลอบยิ้มอย่างมีชัยอยู่ในใจ

ถึงอย่างนั้นก็แสร้งทำเป็นเกลี้ยกล่อมไม่ให้ซูอวี้อิ๋งหุนหันพลันแล่น บอกว่าหล่อนมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา ไม่คุ้มค่าที่จะลดตัวลงไปยุ่งกับผู้หญิงที่เคยผ่านการหย่าร้างมาแล้ว

นอกจากนี้ หล่อนยังบอกด้วยว่าฟางจั๋วหรานพูดจากระทบกระเทียบหล่อนเพราะเขาตาบอด สักวันหนึ่งเขาจะต้องมานั่งเสียใจ

ภายนอกอาจดูเหมือนหล่อนกำลังห้ามปรามซูอวี้อิ๋ง แต่จริง ๆ แล้วกำลังยั่วยุหล่อนอยู่ต่างหาก

ซูอวี้อิ๋งโกรธมากจนไม่ทันใช้สติไตร่ตรอง จึงมองไม่เห็นเจตนาชั่วร้ายที่แอบแฝงอยู่ในคำพูดของหวังเหวินฟาง

ต่างจากพ่อซูที่เป็นคนเจ้าเล่ห์ แน่นอนว่าเขามองเห็นความตั้งใจของหวังเหวินฟางอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่เขาไม่ได้เปิดเผยในทันที และไม่ได้แสดงท่าทางไม่พอใจใด ๆ

จนกระทั่งสองพ่อลูกกลับมาที่เกสต์เฮาส์ พ่อซูก็เตือนลูกสาวสุดที่รักของเขาว่าอย่าได้ปล่อยให้ตัวเองถูกหวังเหวินฟางใช้เป็นมือปืน

ซูอวี้อิ๋งสวนกลับด้วยความโกรธ “พ่อคิดว่าหนูมองไม่เห็นแผนการของป้าหวังเหรอ? แต่หนูอดกลั้นไว้ไม่ได้จริง ๆ หนูเป็นนักเรียนนอก ชาติกำเนิดหรือก็สูงส่ง ทำไมหนูถึงแพ้ให้แม่ม่ายที่อ่านหนังสือยังไม่ออกด้วยซ้ำ? หนูต้องแย่งฟางจั๋วหรานมาจากผู้หญิงคนนั้นให้ได้ จากนั้นจะเขี่ยเขาทิ้งให้ดู”

หลังจากหยุดชะงักไปชั่วครู่ หล่อนก็พูดเสริมขึ้นอีกว่า “ยังไงก็เถอะ… ถ้าเขายอมคุกเข่าแล้วขอร้องให้หนูยกโทษให้ หนูอาจจะยอมละเว้นเขาสักครั้ง”

ตอนที่หล่อนเห็นรูปถ่ายของฟางจั๋วหราน หล่อนก็ตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็น

เมื่อมาเห็นว่าตัวจริงของเขาหล่อกว่าในรูปตั้งไม่รู้กี่เท่า หล่อนก็ยิ่งคลั่งไคล้เขาหนักขึ้น

ไม่ต้องพูดถึงว่าฟางจั๋วหรานจะคุกเข่าขอรับการอภัยจากหล่อนหรือไม่ ตราบใดที่หล่อนสามารถแย่งชิงเขามาจากหลินม่ายได้ หล่อนจะไม่มีวันปล่อยให้เขาหลุดมือเด็ดขาด

หล่อนแค่บอกกับผู้เป็นพ่อไปอย่างนั้นเพื่อรักษาใบหน้าของตัวเอง

นี่คือเหตุผลว่าทำไมหล่อนถึงจงใจแสร้งทำเหมือนว่าตัวเองถูกหลอก ทั้ง ๆ ที่สังเกตเห็นความคิดไม่ซื่อของหวังเหวินฟางอย่างชัดเจน

ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น

เมื่อเห็นว่าลูกสาวตัดสินใจแบบนั้น พ่อซูจึงไม่คิดจะห้ามปรามหล่อนอีก

ถ้าหล่อนแย่งฟางจั๋วหรานมาจากแม่ม่ายคนนั้นได้ก็ดี แต่ถ้าทำไม่สำเร็จก็ไม่ได้ส่งผลให้หล่อนเผชิญกับความเสียหน้าครั้งใหญ่

ตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง เรื่องที่เกิดขึ้นในเจียงเฉิงไม่มีทางแพร่งพรายไปถึงที่นั่น

ต่อให้ลูกสาวของเขาจะล้มเหลวในการแย่งชิงฟางจั๋วหราน ก็ไม่มีใครในเมืองหลวงรู้ความจริงข้อนี้ ดังนั้นจะไม่มีใครหัวเราะเยาะหล่อนทั้งนั้น ชื่อเสียงของหล่อนก็จะยังคงบริสุทธิ์

พ่อซูรักใครและเทิดทูนลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนคนนี้มาก

ตราบเท่าที่หล่อนไม่ทำให้เรื่องใหญ่โตจนเกินงาม เขาไม่เพียงแต่จะยอมรับทุกอย่าง แต่ยังยินดีสนับสนุนเมื่อจำเป็น

เมื่อเห็นว่าสองพ่อลูกตระกูลซูมีสีหน้าดีขึ้น ฟางเว่ยกั๋วก็อารมณ์ดี

หวังเหวินฟางเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน ตอนที่ทั้งสองนอนเคียงข้างกันอยู่บนเตียงในตอนกลางคืน หล่อนก็เป็นฝ่ายเสนอขอร่วมรักกับเขา ไม่คาดคิดว่าเขาจะปฏิเสธ

ช่วงหลัง ๆ มานี้ ฟางเว่ยกั๋วไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มก่อน หล่อนต้องเป็นฝ่ายเริ่มทุกครั้ง แต่กลับโดนเขาปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า

หล่อนคิดว่าคืนนี้น่าจะแตกต่าง กลับกลายเป็นว่าหล่อนคิดไปเองฝ่ายเดียว

หวังเหวินฟางล้มเลิกความตั้งใจ นอนหันหลังให้ฟางเว่ยกั๋วด้วยความอ้างว้าง

ฟางเว่ยกั๋วสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ จึงพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ช่วงนี้ผมต้องแบกรับความกดดันจากการทำงานเยอะ ไม่มีอารมณ์คิดถึงเรื่องนั้นจริง ๆ”

เมื่อเห็นว่าหวังเหวินฟางยังคงเงียบ จึงพูดอีกครั้ง “ถ้าจั๋วหรานกับอิ๋งอิ๋งออกเดตกันเมื่อไหร่ ผมจะซื้อสร้อยคอทองคำให้คุณ”

หวังเหวินฟางไม่ตอบอะไรกลับไปสักคำ ในใจมีแต่ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว

ดูเหมือนว่าฟางเว่ยกั๋วจะไม่พิศวาสในเรือนร่างของหล่อนอีกต่อไปแล้ว

เพื่อความก้าวหน้าทางอาชีพการงานของเขา หล่อนใช้มันสมองขบคิดจนวางแผนให้ซูอวี้อิ๋งเปิดสงครามกับหลินม่ายได้ แต่เขากลับปฏิเสธที่จะมอบความอ่อนโยนให้หล่อน ความหวังดีของหล่อนมีค่าแค่รางวัลทางวัตถุเท่านั้นเอง

ช่วงเช้าตรู่วันนี้มีฝนตกหนัก

ตอนที่ฝนตก อากาศจะร้อนอบอ้าวยิ่งกว่าปกติ แต่หลังจากฝนหยุด อากาศจะเริ่มเย็นลง

สภาพอากาศแบบนี้น่านอนเป็นพิเศษ

ทว่าหลินม่ายยังคงตื่นนอนแต่เช้าในเวลาประมาณหกโมงเหมือนเดิม

เธอเปิดผ้าม่านออก สายลมเย็น ๆ โชยปะทะใบหน้า ทำให้ความง่วงเหงาหาวนอนที่เคยมีอยู่ในตอนแรกสลายหายไป

เมื่อนึกถึงเลือดกำเดาของฟางจั๋วหรานที่ไหลติดต่อกันสองครั้งเมื่อวานนี้ เธอก็เอาแต่นอนกระสับกระส่ายตลอดทั้งคืน ในใจมักจะคิดเรื่องฟุ้งซ่านอยู่เสมอ

ไม่รู้ว่าเขาเป็นแค่ร้อนในจริงอย่างที่ว่า หรือเป็นเพราะเหตุผลอื่น

แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เธอจะนิ่งเฉยไม่ได้

หลินม่ายคว้าตะกร้าผักออกไปที่ตลาดสดฝูตัวตัวแต่เช้า ตั้งใจว่าจะซื้อซี่โครงหมูไปตุ๋นกับมะระ

แกงจืดมะระซี่โครงหมูเป็นอาหารยอดนิยมช่วงฤดูร้อนที่พบได้ทั่วไปในมณฑลกวางตุ้ง แต่ในเจียงเฉิงมีแค่ไม่กี่คนที่รู้จัก

แกงจืดนี้มีสรรพคุณช่วยขับพิษและล้างพิษได้ดี แถมยังมีคุณค่าทางโภชนาการอีกด้วย

หลินม่ายออกจากบ้านเช้าเกินไป ตลาดสดยังไม่เปิดให้บริการ เฉินเฟิงกำลังสั่งให้พนักงานกลุ่มหนึ่งช่วยกันขนถ่ายสินค้าลงมาจัดเรียง

ถึงแม้ลูกน้องของเขาจะทำท่าทางเงอะงะ แต่งานก็ออกมาเป็นระเบียบเรียบร้อยดี แสดงให้เห็นว่าเขาฝึกฝนพนักงานได้ดี

เฉินเฟิงประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นหลินม่าย “ทำไมวันนี้มาเร็วจัง?”

หลินม่ายตอบ “จั๋วหรานมีอาการร้อนใน ฉันว่าจะซื้อมะระไปตุ๋นกับซี่โครงทำเป็นแกงจืดให้เขา”

เฉินเฟิงได้ยินแล้วก็เข็ดฟันขึ้นมาทันที อดพูดไม่ได้ “ช่วงนี้ฉันก็เป็นร้อนในเหมือนกัน ขอแกงจืดมะระซี่โครงหมูสักชามบ้างได้ไหม?”

หลินม่ายกะพริบตาปริบ ก่อนจะมองเขาด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ “นายไม่มีสิวบนหน้าเลยสักเม็ด จะเป็นร้อนในได้ยังไงกัน?”

“เหงือกฉันบวมต่างหากล่ะ” พูดจบแล้วเฉินเฟิงก็ยิงฟันให้เธอดู

หลินม่ายเอียงคอมองตาม ดู ๆ ไปแล้ว เหมือนว่า… เหงือกเขาจะบวมจริง ๆ ด้วย

เธอพยักหน้า “ไว้ฉันจะตักใส่ชามมาแบ่งให้นายทีหลัง”

เฉินเฟิงฉีกยิ้มกว้างทันที ขอให้ลูกน้องไปหยิบกล้วยมาให้เธอจำนวนหนึ่ง “กล้วยพวกนี้เพิ่งรับซื้อมาเมื่อวาน เธอเอาไปให้แฟนเธอกินเถอะ เผื่อจะช่วยดับร้อนในได้”

หลินม่ายขอบคุณเขา แวะซื้อซี่โครงหมู มะระ ไข่เยี่ยวม้า และผักต่าง ๆ จากนั้นก็เดินกลับบ้าน

ไม่ไกลจากตลาดสด เหลียนเฉียวที่สวมชุดสีแดงเดินออกมาจากหัวมุมถนน

ในมือขวาของหล่อนถือแส้ไว้ ระหว่างที่เดินอาด ๆ ตรงเข้ามาหาหลินม่ายทีละก้าว ก็เคาะปลายแส้ลงในมือซ้ายอย่างเป็นจังหวะ

หัวใจหลินม่ายจุกตื้นขึ้นมาถึงลำคอ

เหลียนเฉียวมักจะตั้งตัวเป็นศัตรูหัวใจกับเธออยู่เสมอ คราวนี้หล่อนคงไม่คิดจะสั่งสอนเธอหรอกนะ?

เทียบกันในแง่ของกำลัง เธอไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายแน่ แทนที่จะงัดสามสิบหกกลยุทธ์ออกมาใช้ สู้หนีไปคงดีเสียกว่า

หลินม่ายหันหลังกลับทันทีตั้งท่าจะวิ่งหนี

แต่เธอวิ่งห่างออกไปได้ไม่ถึงสิบเมตร ก็ถูกเหลียนเฉียวกระชากจากด้านหลัง

ยังไม่ทันที่หลินม่ายจะตะโกนคำว่า ‘ช่วยด้วย’ ออกมา เหลียนเฉียวก็ปิดปากเธอเอาไว้แน่น ทำให้ต้องกลืนสองคำนั้นกลับลงคอไป

หลินม่ายพยายามดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง แต่เธอหรือจะเอาชนะแรงของเหลียนเฉียวที่อยู่บนเส้นทางนักเลงมาตั้งแต่เด็กได้?

ไม่นานหลังจากนั้น เธอก็ถูกลากเข้าไปในตรอกร้าง

ความคิดมากมายผุดขึ้นในใจของหลินม่าย ‘เหลียนเฉียวจะฆ่าฉันทิ้งเพราะความหึงหวงหรือเปล่านะ’

หล่อนไม่ควรอาจหาญถึงขั้นนั้น ถ้าหล่อนพลั้งมือฆ่าเธอจริง ๆ เฉินเฟิงไม่มีวันให้อภัยหล่อนแน่ ๆ

แต่ปัญหานั้นจะหมดไป ตราบใดที่หล่อนจัดการอำพรางศพซะ เฉินเฟิงก็คงไม่รู้ว่าเธอถูกฆ่า

หรือว่าวันนี้จะเป็นวันตายของเธอจริง ๆ?

ขณะที่หลินม่ายกำลังคิดอย่างบ้าคลั่ง ศีรษะด้านหลังของเธอก็ชนเข้ากับกำแพงอย่างแรง

เธอตกใจมากที่รู้ว่านางมารร้ายอย่างเหลียนเฉียวกล้าทำกับเธอถึงขนาดนี้

นอกเหนือจากนั้น หล่อนก็ไม่ทำอะไรนอกจากจ้องเขม็งมองหน้าเธอ สีหน้าอัดแน่นไปด้วยความลังเล สลับกับความอดทนอดกลั้น

หลินม่ายสับสนไม่น้อย สถานการณ์นี้มันอะไรกัน มีใครให้คำตอบกับฉันได้บ้าง?

เป็นไปได้ไหมว่าเหลียนเฉียวตกตะลึงในความสวยของเธอ จากนั้นก็อิจฉาริษยาจนพูดอะไรไม่ออก?

แต่เธอแค่ออกมาซื้อวัตถุดิบไปทำกับข้าวเองนะ?

ในขณะที่หลินม่ายกำลังกระวนกระวาย เหลียนเฉียวก็แค่นเสียงตะคอกอย่างดุเดือด “อย่ามาแก้ตัวเชียวนะว่าคุณดูไม่ออกว่าพี่เฟิงสนใจคุณ”

หลินม่ายพูดอย่างจนปัญญา “เขาจะสนใจฉัน มันก็เรื่องของเขา ฉันบังคับจิตใจใครไม่ได้หรอก”

“แต่คุณสามารถรักษาระยะห่างกับเขาได้นี่ เขาจะได้ไม่คิดเข้าข้างตัวเองว่ายังพอมีความหวัง”

หลินม่ายหวนนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเฉินเฟิงขึ้นในใจอย่างรวดเร็ว

จากนั้นก็เบิกตาโตแล้วโต้เถียงอย่างจริงจัง “ฉันไม่เคยให้ความหวังเขาสักหน่อย!”

เหลียนเฉียวแค่นเสียงเยาะเย้ย สายตาจับจ้องไปที่ตะกร้าผักในมือเธอ “ไม่เคยเลยงั้นเหรอ? แล้วการที่คุณจะแบ่งแกงจืดมะระซี่โครงหมูให้พี่เฟิงนี่มันหมายความว่ายังไง?”

หลินม่ายงุนงง “ก็เขาบอกเองว่าเขาเป็นร้อนใน ถึงยังไงฉันก็ต้มแกงจืดมะระซี่โครงหมูทีละเยอะ ๆ อยู่แล้ว แบ่งให้เขาสักชามหนึ่งจะเป็นไรไป”

“ไม่เป็นไรตรงไหน!”

เหลียนเฉียวโกรธมาก ตะคอกขึ้นเสียงเหมือนมังกรคำราม แม้กระทั่งน้ำลายก็กระเซ็นใส่หน้าหลินม่าย

หลินม่ายตัวสั่นด้วยความกลัว ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าเช็ดมันออก

นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าอายที่สุดนับตั้งแต่เธอได้เกิดใหม่ แถมยังรู้สึกแย่เอามาก ๆ

เหลียนเฉียวยังคงขึ้นเสียงต่อไป “คุณรู้ไหมว่าทุกครั้งที่คุณทำตัวมีน้ำใจกับพี่เฟิง มันทำให้เขาจมจ่อมอยู่กับไมตรีที่คุณมอบให้ขนาดไหน เขานั่งเศร้าก็เพราะคุณ เมาหัวราน้ำก็เพราะคุณ ยอมลดตัวลงมาเป็นลูกน้องของคุณก็เพราะคุณ คุณมันไม่รู้อะไรเอาซะเลย รู้แค่ว่าจะต้องปฏิบัติกับเขาด้วยความเมตตาสงสาร ถ้าอยากแสดงความจริงใจกับเขานัก คุณทำเป็นเมินเขาไปซะยังดีกว่า ปล่อยให้เขาเลิกคาดหวังลม ๆ แล้ง ๆ กับคุณไปทีละนิด นี่คือวิธีที่จะช่วยเขาได้ ไม่งั้นเกรงว่าเขาคงใช้เวลาทั้งหมดที่มีจมดิ่งอยู่กับความเจ็บปวดที่ได้รับจากคุณ จนครองตัวเป็นโสดไปตลอดชีวิต!”

หลินม่ายเงียบไปนาน จากนั้นก็พยักหน้า “เธอพูดถูก ฉันจะกลับไปบอกเฉินเฟิง ว่าคงแบ่งแกงจืดมะระซี่โครงให้เขาไม่ได้แล้ว”

พอเหลียนเฉียวเห็นว่าอีกฝ่ายยังรู้ความผิดของตัวเอง และพยายามจะแก้ไขมันโดยทันที สีหน้าของหล่อนก็อ่อนลงมาก อย่างน้อยก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนตอนแรก

“จะบอกพี่เฟิงยังไงก็เรื่องของคุณ แต่อย่าได้พูดพาดพิงมาถึงฉันเชียว ไม่งั้นฉันได้ถูกเขาส่งตัวไปอยู่ตามแนวชายฝั่งอีกรอบแน่”

ขณะที่พูดแบบนั้น หล่อนก็อารมณ์ขึ้นด้วยความโมโห “คุณรู้ไหมว่าแถบชายฝั่งมันร้อนแค่ไหน! ฉันต้องโดนยุงกัดไปตั้งกี่แผล! มันไม่ใช่ที่ที่ควรให้คนไปอยู่เลย!”

หล่อนพูดอย่างกับว่าในเจียงเฉิงอากาศไม่ร้อนและไม่มียุงสักตัวอย่างนั้นแหละ

หลินม่ายสาบานกับท้องฟ้า “ฉันไม่พูดพาดพิงถึงเธอแน่”

เธอเดินย้อนกลับมาที่ตลาดสดตามลำพัง เฉินเฟิงเห็นว่าเธอวกกลับมาอีกครั้งก็ถามด้วยความแปลกใจ “กลับมาอีกทำไม? ลืมซื้ออะไรหรือเปล่า?”

“เปล่า” หลินม่ายเรียกเขาไปที่มุมห้อง แล้วพูดกับเขาอย่างจริงจัง “แฟนฉันไม่พอใจเมื่อรู้ว่าฉันจะแบ่งแกงจืดมะระซี่โครงให้คุณ เพราะฉะนั้นสัญญาที่ฉันรับปากไว้ว่าจะแบ่งให้ถือว่าขาดกัน”

เฉินเฟิงตกตะลึง ก่อนจะพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “แฟนเธอนี่ขี้เหนียวเกินไปแล้ว แค่แกงจืดชามเดียวเอง!”

หลินม่ายแก้ไขคำพูด “เขาไม่ได้ขี้เหนียว แต่เขาแค่หึง เขาไม่อยากให้ฉันไปทำดีกับผู้ชายคนอื่น”

หลังจากคิดเรื่องนี้อีกครั้งแล้ว เธอก็รวบรวมความกล้าแล้วพูดออกไป “โดยเฉพาะกับคุณ เขาสงสัยว่าคุณอาจจะชอบฉัน ดังนั้นคุณที่ทั้งทำงานเก่ง มีความสามารถ แถมยังหน้าตาดี เลยเป็นเหมือนหนามยอกอกเขา”

เฉินเฟิงชอบเธอก็จริง แต่เขาไม่เคยสารภาพตรง ๆ มาก่อน หลินม่ายจึงไม่สามารถพูดอย่างตรงไปตรงมาได้ขนาดนั้น

เกิดเฉินเฟิงปฏิเสธไม่ยอมรับขึ้นมา เธอก็จะดูเหมือนคนหลงตัวเองอีก

เธอยังต้องการไว้หน้าตัวเองอยู่

ดังนั้นจึงตัดสินใจโยนความผิดทั้งหมดให้กับแฟนหนุ่มรูปหล่อ

อ้างว่าศาสตราจารย์ฟาง ‘สงสัย’ ว่าเฉินเฟิงอาจชอบเธอ ส่วนตัวเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้

เฉินเฟิงหัวเราะเบา ๆ “แฟนเธอนี่ก็สายตาแหลมคมไม่น้อยเลยนะ รู้ด้วยว่าฉันมีดีทั้งความสามารถและหน้าตา!”

หลังจากหัวเราะกลบเกลื่อน เขาก็เปลี่ยนมาทำหน้าจริงจัง “เขาจะหึงฉันมันก็เรื่องของเขา การที่ฉันชอบเธอมันก็เรื่องของฉันเหมือนกัน ฉันไม่ได้ไปขวางทางรักเธอสองคนสักหน่อย นับประสาอะไรกับเรื่อง…”

“นี่แหละที่ฉันจะพูด” หลินม่ายขัดจังหวะอย่างจริงจัง “เรื่องส่วนตัวของคุณมันกำลังทำให้ฉันมีปัญหา คุณควรเลิกชอบฉันซะ แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา(1)หรอก”

หลินม่ายเห็นว่าเฉินเฟิงเอาแต่ยิ้มเหมือนคนโง่ ก็รู้ว่าเขากำลังฟังเธอแบบหูซ้ายทะลุหูขวา

หลินม่ายพูดเสริม “ถ้าคุณยังยืนกรานว่าจะชอบฉันต่อไป ฉันอาจต้องพิจารณายุติสถานการณ์เป็นหุ้นส่วนของเรา สำหรับฉัน ไม่มีเรื่องไหนสำคัญไปกว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับจั๋วหราน กว่าชีวิตฉันจะได้ครอบครัวสมบัติอันล้ำค่าไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะคนรักที่ดี ฉันยินดีทำทุกอย่างเพื่อรักษาเขาไว้”

เฉินเฟิงคลี่ยิ้มอย่างขมขื่น “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนมีคุณธรรม และฉันก็รู้ว่าตัวเองควรทำยังไง”

หลินม่ายพยักหน้า “ดีมาก” จากนั้นก็หันหลังกลับแล้วเดินจากไป

เฉินเฟิงเหลือบมองไปยังมุมหนึ่งในตลาดสด “ไม่ต้องซ่อนแล้ว ออกมา!”

เหลียนเฉียวเดินออกมาอย่างช้า ๆ ตรงเข้าไปหาเฉินเฟิง

เฉินเฟิงเดินนำหล่อนเข้าไปในสำนักงาน “เธอเป็นคนขู่ให้ม่ายจื่อมาบอกฉันใช่ไหม ว่าต่อไปนี้อย่าได้ชอบเธออีก ไม่งั้นจะเธอจะตัดขาดกับฉันซะ?”

เหลียนเฉียวทำหน้าตกใจ

หล่อนแค่ขอให้หลินม่ายเลิกทำตัวมีน้ำใจกับเฉินเฟิงเสียที และอย่าให้ความหวังเขาอีกเท่านั้นเอง

ไม่คิดว่าหลินม่ายจะลงรายละเอียดถึงขนาดนี้ เพื่อไม่ให้มีปัญหากับหล่อน เธอถึงกับไม่ลังเลที่จะตัดขาดกับเขา

“ฉัน… ไม่ได้…” หล่อนพูดจาติดขัด พยายามจะแก้ต่างให้ตัวเอง แต่กลับทำไม่ได้

เฉินเฟิงทำท่าทางเป็นเชิงห้าม “เอาเถอะ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ในเมื่อเธอไม่อยากให้ฉันคิดอะไรกับหลินม่าย งั้นฉันจะตอบรับความต้องการของเธอคนละครึ่งทาง ฉันจะพยายามปล่อยวางจากคนที่ตัวเองแอบรักแต่ครอบครองไม่ได้”

เหลียนเฉียวอ้ำอึ้งเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ท้ายที่สุดจึงไม่ยอมปริปาก

เฉินเฟิงมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบ ๆ

ต้นอู่ถงที่อยู่นอกหน้าต่างกำลังผลิใบเขียวชอุ่ม ท้องฟ้ากระจ่างเปิดโล่ง

เมื่อคิดว่าต่อจากนี้ตัวเองจะไม่สามารถแอบรักหลินม่ายได้อีกแล้ว หัวใจของเขาก็รู้สึกปวดแปลบขึ้นมา

แต่ต่อให้เจ็บแค่ไหนก็ต้องอดทน

เขาได้แต่หวังว่าหลังผ่านความเจ็บปวดนี้ไปได้ จะสามารถลบเลือนหลินม่ายไปจากใจตัวเองได้เสียที

……………………………………………………………………………………………………………….

(1)แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา สื่อความหมายว่า เรื่องระหว่างชายหญิงใช่ว่าจะต้องยึดติดตายตามกันไป คนที่เราจะรักหรือควรค่าที่จะรักยังมีอีกมาก

สารจากผู้แปล

เรื่องความรักมันห้ามกันไม่ได้หรอกน่ะ บางทีก็วางตัวลำบากเหมือนกันนะ

ไหหม่า(海馬)