ตอนที่ 125-2 รักษา หมิงซิวลืมตาตื่น
พวกเขาไม่ได้ทำงานเต็มเดือน แต่เฉียวเวยก็คิดเป็นหนึ่งเดือน
“ปี้เอ๋อร์ นี่ของเจ้า” เฉียวเวยส่งถุงน้อยใบหนึ่งให้แก่ปี้เอ๋อร์ แล้วหยิบมาอีกใบหนึ่ง “เสี่ยวเว่ย นี่ของเจ้า”
ทั้งสองคนมิทราบว่าเฉียวเวยจ่ายค่าจ้างให้พวกเขาเต็มเดือน ตอนกินข้าวยังแอบนับกันอยู่ว่าพวกเขาทำงานไปกี่วัน แล้วจะได้เงินค่าจ้างเท่าใด แต่เมื่อเปิดถุงออกดูกลับพบว่าเป็นเงินหนึ่งตำลึง ทั้งคู่ต่างงุนงง
หลังจากนั้นก็เป็นของอากุ้ยกับชีเหนียง
ทั้งสองคนทราบว่าค่าจ้างของตนสูงกว่าเสี่ยวเว่ยกับปี้เอ๋อร์จึงมิได้เปิดดูต่อหน้าทั้งสองคน แต่รอกลับไปถึงห้องแล้วจึงเปิดถุงดู เมื่อนับอย่างถี่ถ้วนเสร็จ อากุ้ยก็งุนงง เขาได้สองตำลึงสองร้อยอีแปะ แต่ชีเหนียงได้สองตำลึงสามร้อยอีแปะ เหตุไฉนเป็นเช่นนี้เล่า
อากุ้ยกลับไปหาเฉียวเวยที่คฤหาสน์ “ฮูหยิน ท่านมอบค่าจ้างให้ข้าสลับกับชีเหนียงหรือไม่ ถุงใบนี้เป็นของชีเหนียงใช่หรือไม่”
เฉียวเวยมองถุงที่ผูกเชือกสีฟ้า “ใบนี้ของเจ้า”
อากุ้ยไม่พอใจมาก “เหตุใดข้าจึงได้น้อยกว่าชีเหนียง”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “เงินเดือนเท่ากัน แต่เงินรางวัลไม่เท่ากัน”
“ข้ากับนางทำงานเหมือนกัน เหตุใดเงินรางวัลจึงไม่เท่ากันเล่า”
อากุ้ยขัดแย้งกับชีเหนียงเสียแล้ว หากไม่นับเรื่องเงินค่าจ้าง อากุ้ยรักชีเหนียงยิ่งนัก แต่เขารับไม่ได้ที่สตรีนางหนึ่งได้ค่าจ้างสูงกว่าเขาที่เป็นบุรุษ ตอนแรกที่ฮูหยินให้เบี้ยรายเดือนเท่ากัน เขาก็ติดใจอยู่นิดหน่อยแล้ว แต่ตอนนี้เท่ากันก็ไม่ใช่ ชีเหนียงได้มากกว่าเขาอีก!
เรื่องนี้ทำให้ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายของเขาถูกท้าทายอย่างรุนแรง
เฉียวเวยนับนิ้ว “เจ้าแน่ใจหรือว่าทำงานเท่ากับนาง ผู้ใดเป็นคนทำอาหาร ผู้ใดเป็นคนปัดกวาด ผู้ใดเป็นคนถางหญ้าในสวน ชีเหนียงคนเดียวทำงานของตั้งกี่คน ย่อมได้เงินรางวัลมากกว่าเจ้า”
อากุ้ยหน้าแดง “ปัดกวาดทำอาหาร แต่เดิมก็เป็นงานที่สตรีสมควรทำ”
เฉียวเวยสีหน้าเรียบเฉย “การปัดกวาดทำอาหารในบ้านเจ้า ข้าย่อมมิยุ่ง แต่งานในโรงงาน นั่นถือเป็นงานส่วนรวม ชีเหนียงทำงานแต่คนอื่นมิได้ทำ นางก็สมควรได้ค่าตอบแทนที่ผู้อื่นมิได้รับ แล้วอีกอย่าง พูดถึงงานส่วนรวมแล้ว ข้าต้องเอ่ยถึงสักหน่อย ตอนเจ้าทำไข่เยี่ยวม้าทำไข่เป็ดแตกไปทั้งหมดยี่สิบห้าฟอง ส่วนชีเหนียงไม่ทำแตกสักฟอง ดังนั้นดูจากความเสียหายแล้ว ชีเหนียงประหยัดต้นทุนให้บริษัท จะได้เงินรางวัลย่อมสมควรแล้ว”
อากุ้ยยอมรับไม่ได้ ประการแรกเขาเป็นบุรุษ เพียงข้อนี้ ค่าตอบแทนของเขาก็สมควรมากกว่าสตรี ประการที่สองเขาพละกำลังมากกว่า เขาขนข้าวของ ต่อให้ทำไข่เป็ดแตกไปสองสามฟอง แต่นั่นมิได้หมายความว่าเขาทำประโยชน์ให้น้อยกว่าชีเหนียง
เขารู้สึกว่าฮูหยินจงใจ เพราะตัวนางเป็นสตรี ดังนั้นจึงลำเอียงเข้าข้างสตรีเสียทุกเรื่อง
ชีเหนียงได้เงินมาก็เบิกบานใจยิ่งนัก ตอนอยู่ในตระกูลขุนนาง แต่ละเดือนนางได้รับเบี้ยรายเดือนเช่นกัน แต่เงินประเภทนั้นต้องคอยดูสีหน้าของผู้อื่นเพื่อให้ได้มา ไม่มีความสบายใจ แต่เงินในถุงใบนี้ นางใช้น้ำพักน้ำแรงแลกมา
รองเท้าของอากุ้ยกับจงเกอร์ขาดหมดแล้ว ได้ซื้อรองเท้าใหม่สองคู่ให้พวกเขาพอดี
ชีเหนียงกำลังวางแผนว่าจะใช้จ่ายเงินค่าจ้างก้อนแรกของตนอย่างไรดี อากุ้ยก็เดินหน้าทะมึนเข้ามาในห้อง
“อากุ้ย” ชีเหนียงยิ้มแย้มเอ่ยเรียกเขา แต่เมื่อเห็นสีหน้าเขาผิดปกติจึงหุบรอยยิ้ม แล้วถามเสียงเบา “ฮูหยินว่าอย่างไร ให้ผิดใช่หรือไม่”
อากุ้ยสีหน้าเรียบเฉยตอบว่า “เปล่า เจ้าได้มากกว่าข้า”
“อ๋า…” ชีเหนียงแปลกใจ
อากุ้ยเอ่ยอย่างหงุดหงิด “นางเป็นสตรี เจ้าก็เป็นสตรี นางย่อมเข้าข้างเจ้า นอนเถิด พรุ่งนี้เช้ายังต้องเร่งทำงานอีก”
ชีเหนียงถามอย่างระมัดระวัง “อากุ้ย เจ้าไม่พอใจหรือ”
ภรรยาของตนหาเงินได้มากกว่าตน บุรุษคนใดจะเบิกบานใจได้เล่า
อากุ้ยหน้าบึ้งมิพูดจา
ชีเหนียงเอ่ยเสียงอ่อน “อากุ้ย หากเจ้าตั้งใจทำงาน ต้องได้มากกว่าข้าแน่”
อากุ้ยตอบอย่างอารมณ์เสีย “ข้าทำอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ นางเอาแต่จะลำเอียงเข้าข้างสตรี”
“อากุ้ย เริ่มแรกพวกเราคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าจะได้เงินมากมายเช่นนี้มิใช่หรือ ตอนนี้ได้มากกว่าที่เคยคิดไว้มากแล้ว เจ้าสมควรดีใจจึงจะถูก เจ้าไม่ได้บอกว่าจะสะสมเงินไว้ไถ่ตัวหรอกหรือ เจ้าหาได้หรือข้าหาได้ มีสิ่งใดแตกต่างกันเล่า ยิ่งมากก็ยิ่งดีเท่านั้น” ชีเหนียงวางถุงเงินของตนลงบนมือของเขา “ให้เจ้าเก็บไว้”
อากุ้ยวางถุงเงินกลับไปไว้ในมือของนาง พร้อมกับถุงเงินของตนเอง “ข้าเคยบอกแล้วว่าเงินที่หามาได้ล้วนให้เจ้าดูแล ข้าไม่เอา เจ้าเอาไปใช้เถิด”
ชีเหนียงยิ้มหวาน “อากุ้ย”
…
สิ้นเดือน จวนกั๋วกงก็แจกจ่ายเบี้ยรายเดือนเช่นกัน
จีหว่านเป็นซื่อจื่อฮูหยิน เบี้ยรายเดือนสี่สิบตำลึง หลีซื่อเป็นลูกสะใภ้คนรอง เบี้ยรายเดือนยี่สิบตำลึง แต่หลีซื่อมีบุตรสี่คน เงินเพิ่มเติมก้อนใหญ่ก้อนน้อยรวมเข้าด้วยกันก็เกือบห้าสิบตำลึง มากเท่ากับกั๋วกงฮูหยิน
“ให้เจ้า” หลินซูเยี่ยนมอบเบี้ยรายเดือนของตนให้จีหว่านอย่างไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
หลินซูเยี่ยนเป็นซื่อจื่อ เบี้ยรายเดือนห้าสิบตำลึง ส่วนเบี้ยรายเดือนของนายท่านรองเพิ่งจะสามสิบตำลึง เมื่อนับรวมกัน เงินของหลีซื่อจึงน้อยกว่าจีหว่านแล้ว
หลีซื่อมองถุงเงินในมือของจีหว่านอย่างอิจฉาแล้วส่งสายตาให้สามีของตนเอง
หลินซูจวิ้นแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แล้วเอ่ยล้อเล่นว่าเขายังมีคนงามอีกหลายคนต้องมอบรางวัลให้ ไหนเลยจะยกทั้งหมดให้ ‘หลวง’ ได้
จีหว่านรับเบี้ยรายเดือนจวนกั๋วกงของหลินซูเยี่ยนไปแล้วก็ยังไม่พอ ยื่นมือเรียวงามดั่งหยกออกมาอีกหน
หลินซูเยี่ยนส่งเบี้ยหวัดของศาลต้าหลี่ให้ท่านภรรยาอย่างเชื่อฟังยิ่ง
เบี้ยหวัดของศาลต้าหลี่น้อยจนไม่ถึงครึ่งของเบี้ยรายเดือนในจวน แต่ยุงตัวเล็กอีกเท่าใดก็มีเนื้อ จีหว่านไม่นึกรังเกียจรังงอน
หลีซื่อมองไปทางสามีอีกหน หนนี้นางแน่ใจว่าสายตาของตนมีพลังทิ่มแทงมากยิ่งนัก
แต่หลินซูจวิ้นก็ยังคงแสร้งมิรู้เรื่อง เขาแพ้พนันติดเงินผู้อื่นไว้จึงหวังจะนำเงินที่ได้มาเพิ่มไปคืนอยู่
หลินฮูหยินชิงชังนักที่บุตรทั้งหลายไม่เป็นดั่งใจ บุตรชายคนรองไม่รักใคร่ไยดีลูกสะใภ้เกินไป ลูกสะใภ้ให้กำเนิดบุตรสี่คน เจ้าให้เงินนางใช้จ่ายหน่อยจะเป็นอะไรไป หากเงินของตัวเจ้าเองหมด ข้าไม่มีเงินให้เจ้าหรือ ขาดเท่าใดก็คอยแอบเติมให้เจ้ามิใช่หรือไร
แล้วหันไปมองบุตรชายคนโต คนนี้ก็เอาอกเอาใจภรรยาเกินไปแล้ว มีอย่างที่ไหนในมือบุรุษไม่มีเงินเก็บไว้สักอีแปะ หากออกไปข้างนอกคบค้าสมาคมกับผู้อื่น ไม่มีเงินให้ควักออกมา ไฉนมิขายหน้าผู้อื่นเล่า
ในใจหลินฮูหยินอัดอั้นตันใจยิ่งนัก อยากจะจับบุตรชายทั้งสองคนแขวนแล้วฟาดให้น่วม!
หลินฮูหยินเห็นบุตรชายคนโตกับจีหว่านรักใคร่หวานชื่น ส่วนลูกสใภ้คนรองหน้าดำทะมึนเหมือนถ่านก็กวักมือเรียกหลีซื่อ “หมิ่นซู เจ้ามานี่”
หลีซื่อเดินเข้าไปหาแล้วเอ่ยด้วยท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจ “ท่านแม่”
หลินฮูหยินยกถุงเงินของตนเองให้นาง “พวกเด็กๆ อายุไม่น้อยแล้ว สมควรหาอาจารย์มาสอน เจ้าหาเวลาว่างไปถามดู หากอาจารย์บ้านไหนดีก็เชิญมาที่จวน นี่เงินค่ากราบอาจารย์”
กราบอาจารย์ ผู้ใดใช้เงินถึงห้าสิบตำลึงบ้าง
ช่วยรักษาหน้าให้หลีหมิ่นซูเก่งจริงนะ
จีหว่านแค่นเสียงดังเหอะ
ลึกลงไปในดวงตาของหลีหมิ่นซูมีประกายลำพองจางๆ นางรู้อยู่แล้วว่าแม่สามีรักนาง!
หลินซูเยี่ยนเขยิบเข้ามากระซิบริมหูจีหว่าน “กลับไปข้าจะมอบเงินพิเศษให้เจ้า หนึ่งร้อยตำลึง”
จีหว่านถูกเขากระซิบจนจั๊กจี้ใบหู นางขยับหลบแล้วเอ่ยอย่างใจแคบ “ข้าไม่ต้องการเงิน”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องการสิ่งใด”
“เอาตัวท่านใส่ห่อมาให้ข้า”
“ได้สิ!” สามีแซ่หลินตอบอย่างสุขสันต์!
หลีหมิ่นซูกลับไปนั่งเก้าอี้ของตนเอง ระหว่างที่เดินผ่านทั้งสองคนก็บังเอิญได้ยินประโยคที่ว่า ‘เอาตัวท่านใส่ห่อมาให้ข้า’ ประโยคนั้นพอดี นางเกือบจะสะดุดหัวทิ่ม!
พี่สะใภ้ใหญ่คนนี้ ปกติยั่วยวนพี่ใหญ่เช่นนี้หรอกหรือ หน้าไม่อายเหลือเกิน!
เสียทีนางเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่โต เหตุไฉนจึงปากไม่มีหูรูดเช่นนี้ ไม่ต่างจากพวกอนุภรรยาไร้เกียรติพวกนั้น
หลินซูเยี่ยนถูกหยอกคำเดียวก็กระสับกระส่ายทนไม่ไหว ดึงข้อมือจีหว่านแล้วลุกขึ้น “ท่านแม่ ข้ามีธุระ ขอตัวก่อน!”
เจ้ามีธุระเจ้าก็ไปสิ ลากภรรยาไปด้วยนี่มันอย่างไรกัน มารดายังพูดไม่จบเลยนะ!
หลินฮูหยินมุมปากกระตุก อีกด้านหนึ่งหลินซูเยี่ยน ‘ลาก’ จีหว่านออกมาจากเรือนเหอเฟิงของหลินฮูหยินแล้ว
ใช้นิ้วหัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่าเจ้าเด็กคนนี้จะทำอะไร แต่งงานกันมาแปดปีแล้ว เห็นแต่หน้าเดิมๆ ทุกวัน เขาไม่เบื่อบ้างหรือ ยังจะทำตัวเหมือนหนุ่มน้อยไม่เคยลิ้มลองเนื้อสาวอีก!
หลินฮูหยินมองเรือนรองอย่างขุ่นเคืองและจนปัญญา “เอาล่ะๆ พวกเจ้าก็ไปเถิด รีบพักผ่อนสักหน่อย”
หลินซูจวิ้นคำนับ “ขอรับ ท่านแม่”
คืนนี้หงเอ๋อร์จะมาปรนนิบัติ เขารอแทบไม่ไหวแล้ว
“ไปดูลูกที่ห้องหมิ่นซู” หลินฮูหยินกำชับเสียงเข้ม
น้ำเย็นกะละมังหนึ่งราดลงมา หลินซูจวิ้นก็ห่อเหี่ยว เขารู้สึกว่าคืนนี้ขุนศึกน้อยของเขาก็คงเหี่ยวเหมือนกัน
เรือนรองกับเรือนใหญ่อยู่ห่างกันไม่ไกล ทางเดินก็คือทางเส้นเดียวกัน
หลินซูจวิ้นก้าวพรวดพราดดุจดาวตกอยู่ด้านหน้า หลีซื่อซอยเท้าก้าวเล็กๆ ไล่ตามมาอย่างเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก “ท่านพี่ รอข้าด้วย”
หลินซูจวิ้นหยุดฝีเท้าอย่างรำคาญ
หลีซื่อหอบแฮ่กไล่ตามมา เมื่อเห็นว่ารอบด้านไม่มีผู้ใดจึงทำใจกล้าจับมือเขา
หลินซูจวิ้นเอ็ด “รู้จักมียางอายบ้าง!”
หลีซื่อตกใจจนปล่อยมือ
ในเวลาเดียวกัน เสียงแปลกประหลาดก็ดังออกมาจากภูเขาจำลอง เริ่มแรกเป็นเสียงดูดดังต่อกัน หลังจากนั้นก็ค่อยๆ มีเสียงหอบหายใจ
ใบหน้าของหลีซื่อแดงก่ำทันควัน
“อย่าสิ นี่ข้างนอกนะ”
“หวานหว่าน ข้ารอไม่ไหวแล้ว ให้ข้าเถิด”
นั่น นั่นพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่หรือ!
หลีซื่อเหมือนถูกอสนีบาตผ่าเข้าอย่างจัง ทั้งตัวแข็งเป็นหินในพริบตา
หลินซูจวิ้นก็ได้ยินเสียงด้านในนั้นแล้ว เขากระอักกระอ่วนยิ่งนัก
จีหว่านเห็นเงาที่ทอดอยู่บนพื้น “ซูเยี่ยน มีคน”
หลินซูเยี่ยนโผล่ศีรษะออกมาจากด้านหลังภูเขาจำลอง เมื่อเห็นหลินซูจวิ้นกับหลีซื่อที่กระดากอายจนอยากจะฝังตัวเองลงในผืนดิน เขาก็ส่งเสียง ‘อ้อ’ ออกมาคำหนึ่งอย่างไม่สะทกสะท้าน “น้องรองกับน้องสะใภ้เองหรือ หลบออกไปหน่อยได้หรือไม่ หวานหว่านอาย ไม่อยากให้ผู้อื่นฟัง”
ขอทีเถอะ!
คนที่ควรหลบไปคือผู้ใดกันแน่
พี่ใหญ่ท่านหน้าไม่อายเช่นนี้จะดีจริงหรือ
มโนธรรมของท่านไม่เจ็บปวดบ้างหรือไร
ข้าไม่ไป! ข้าจะดู ท่านจะทำอย่างไร!
“หวานหว่าน รีบถอดกางเกงข้าเร็วสิ…”
หลินซูจวิ้นสะดุ้งโหยง แผ่นแน่บปานสายฟ้าแลบ!
หลีซื่อก็เปิดแน่บเช่นกัน ระหว่างวิ่งกลับเรือน จมูกก็มีเลือดกำเดาไหล นางคิดถึงนายท่านรอง ต้องการเขามากยิ่งนัก
แต่นายท่านรองเบื่อใบหน้านี้ของนางแล้ว ไม่อาจสวมเกราะลงสนามรบได้แล้วจริงๆ นางจึงกอดบุตรทั้งสี่คนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงแล้วนอนหลับไป
…
ณ คฤหาสน์กลางภูเขา สายฝนตกดังเปาะแปะ
ในห้องครัว พ่อครัวทำอาหารโอชาเต็มโต๊ะใหญ่ บ่าวรับใช้ทั้งหลายนั่งอยู่ด้วยกัน กินเนื้อปลาเนื้อหมูอย่างอิ่มหมีพีมัน
หลายวันนี้เจ้าของคฤหาสน์ยุ่งอยู่กับการดูแลแขกของเขา ไม่มีเวลาสนใจเรื่องในคฤหาสน์ แม้แต่เงินค่าจ้างก็ลืมแจกจ่าย
แต่ทุกคนไม่เสียใจ เพราะทุกครั้งที่นายท่านลืม เขาจะให้เงินชดเชยเพิ่มอีกเท่าหนึ่งเสมอ
ตึงๆ !
ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ข้าไปเปิดเอง!” ลุงจูคนเฝ้าประตูเอ่ยขึ้นมา
ทุกคนกินอาหารร่ำสุรากันต่อ ลุงจูกางร่มเดินมาถึงประตูแล้วถามว่า “ผู้ใด”
สุ้มเสียงน่าฟังเสียงหนึ่งดังขึ้น “ข้าเดินทางผ่านมา อยากเข้าไปขอสุราสักจอก ข้ามีสมุนไพรที่เก็บมาจากบนเขา หากพวกท่านยินดี ข้าขอใช้สมุนไพรแลกเปลี่ยนกับพวกท่าน”
ลุงจูฟังเสียงแล้วคิดว่าไม่เหมือนคนร้ายจึงเปิดประตูหลังให้เขา เขาเป็นบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งที่กางร่มอยู่ ด้านหลังสะพายตะกร้าหนึ่งใบ ด้านหน้าผูกห่อผ้าหนึ่งห่อ หน้าตาหล่อเหลา กิริยาท่าทางไม่ธรรมดา เพียงแต่เสื้อผ้าธรรมดาอยู่เล็กน้อย ถึงกระนั้นก็ไม่ชวนให้คนรังเกียจ
แววตาของเขามีร่องรอยของผู้ที่ผ่านชีวิตมาแล้ว แต่ยังคงไม่สูญเสียความอบอุ่นและเมตตา เมื่อสายตาจับบนร่างของลุงจู กลับทำให้ลุงจูรู้สึกเหมือนถูกรัศมีของพระโพธิสัตว์ฉายส่อง
ลุงจูเรียกสติกลับมา “พวกเราไม่ขาดแคลนสมุนไพร”
นายท่านของเขาก็เป็นหมอ สมุนไพรในคฤหาสน์มีมากจนเปิดร้านยาแห่งหนึ่งได้
“ข้าไม่มีเงิน” หมอพเนจรกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ลุงจูใจอ่อน เห็นสภาพเขาน่าเวทนาเช่นนี้จึงเกิดสงสารอย่างหักห้ามมิได้ “เข้ามาดื่มสุราสักคำเถิด กำลังทานอาหารกันอยู่เลย”
“หยิบออกมาให้ข้าได้หรือไม่ ข้ากำลังรีบเดินทาง” หมอพเนจรถาม
หากเป็นผู้อื่นคงโมโหแล้ว แต่ลุงจูเป็นคนที่อารมณ์เย็นที่สุดคนหนึ่งในคฤหาสน์กลางเขาแห่งนี้ ลุงจูเชิญเขาเข้ามา “เจ้ารอสักประเดี๋ยว ข้าจะไปหยิบมาให้เจ้า”
หมอพเนจรประสานมือคำนับ แล้วส่งถุงสุราให้เขา “ขอบคุณพี่ชาย มีสุรานารีแดงหรือไม่”
ยังจะเลือกเอาสุรานารีแดงด้วย ถึงอย่างนั้นลุงจูก็ไม่โมโห ยิ้มแย้มตอบว่า “มีๆ เจ้ารอก่อน”
เห็นแก่ที่กำลังจะได้เงินค่าจ้างสองเท่า จะเอาสุรานารีแดงให้เจ้าก็แล้วกัน
ลุงจูอารมณ์ดีไม่เลวจึงถือถุงสุราเข้าไปในห้องเก็บสุรา
“ผู้ใดหรือ ลุงจู” มีคนหนึ่งในห้องครัวถาม
ลุงจูตะเบ็งเสียงตอบ “คนผ่านทาง มาขอสุราดื่มสักคำ! พวกเจ้ากินกันไปก่อน!”
หมอพเนจรยืนอยู่ใต้ชายคาของห้องแห่งหนึ่ง เขาหุบร่ม น้ำฝนกระทบเกรียวกราวบนหลังคา หนวกหูจนจูเอ๋อร์ที่อยู่ในตะกร้าตื่นขึ้นมา
จูเอ๋อร์โผล่หัวเล็กๆ สีดำสนิทออกมาจากใต้ผืนผ้า ดวงตาโตกลอกอย่างฉับไว จากนั้นก็สะบัดผ้าฝ้ายที่คลุมหัวออกแล้วกระโดดออกมาจากตะกร้า!
“จูเอ๋อร์ อย่าซน”
จูเอ๋อร์แลบลิ้น แล้ววิ่งฉิวเข้าไปในเรือน
หมอพนเจรไล่ตาม ตามไปจนถึงห้องศิลาอันหนาวเย็นแห่งหนึ่ง กลางห้องศิลามีบุรุษคนหนึ่งนอนอยู่ เขาจำหน้ากากนั่นได้ เขาคือบิดาของเด็กคนนั้น
ดูเหมือนเขาจะป่วย ริมฝีปากเป็นสีม่วง ใบหน้าซีดเผือด ลมหายใจถี่กระชั้น
หมอเทวดายื่นนิ้วออกมาแตะบนชีพจรตรงข้อมือของเขา…
…
ภายในห้องสมุนไพร จีอู๋ซวงกำลังผสมยา เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินไปเดินมาอยู่ข้างตัวเขา
“หลบไป!” จีอู๋ซวงตวาด
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหลบไปด้านข้างก้าวเล็กๆ อย่างมิใคร่จะยินดี “ไก่เฒ่า นายน้อยจะไม่ตื่นขึ้นมาแล้วจริงหรือ นี่สิบกว่าวันแล้ว”
จีอู๋ซวงหัวเราะ “สิบกว่าวัน นายท่านเยี่ยนเริ่มนับวันเป็นตั้งแต่เมื่อใด ครั้งก่อนข้าก็บอกกับเจ้าแล้วว่าจะประมาทมิได้อีก ประมาทมิได้อีก ตอนนี้เจ้ารู้ว่าข้าไม่ได้ขู่เจ้าแล้วสิ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลูบจมูก “ข้า…เรื่องนั้นข้าไม่ได้…ไม่ได้…จริงๆ เลย…ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา” เขากัดฟันพึมพำคำสุดท้ายออกมา
จีอู๋ซวงผลักเขาออก แล้วคว้าสมุนไพรกำหนึ่งในลิ้นชักน้อยโยนเข้าไปในหม้อ “ข้าเขียนคำสั่งเสียไว้เรียบร้อย เจ้าก็เอาเวลาว่างไปเขียนไว้สักใบเถอะ! หากนายน้อยจู่ๆ สิ้นใจไป เจ้าจะไม่มีแม้แต่โอกาสเขียนคำสั่งเสีย!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถูกดุจนไม่มีแรงจะโต้กลับสักนิด
จีอู๋ซวงถือยาที่ปรุงเสร็จแล้วเดินไปยังห้องศิลา ทว่ากลับเห็นว่าคนบนเตียงหยกเหมันต์หายไปแล้ว จีอู๋ซวงหน้าถอดสีทันที “เยี่ยนเฟยเจวี๋ย! เยี่ยนเฟยเจวี๋ย! นายน้อยหายไปแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้นๆ” เยี่ยนเฟยเจวี่ยพุ่งเข้ามาอย่างลนลาน
“หนวกหูอะไรกัน” จีหมิงซิวเดินออกมาจากห้องเล็ก สีหน้ายังคงซีดเผือดอยู่เล็กน้อย แววตาเย็นยะเยือก “ข้าแค่ไปเข้าส้วมเท่านั้น”
ทั้งสองคนนิ่งอึ้ง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยชี้นายน้อย แล้วมองไปหาจีอู๋ซวงอย่างสับสนมึนงง เจ้าไม่ได้บอกว่านายน้อยจะไม่ตื่นขึ้นมาแล้วหรือไร
จีอู๋ซวงก็งงเช่นกัน สองเค่อก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจับชีพจรให้นายน้อย นายน้อยไม่มีวี่แววว่าจะได้สติสักนิด เหตุไฉนระหว่างที่เขาไปปรุงยาที่ห้องยา นายน้อยกลับลุกจากเตียงลงมาเดินได้แล้วเล่า
…
“น้องชาย นี่คือสุรานารีแดงชั้นดี เก็บให้ดี” ลุงจูส่งถุงสุราให้ถึงมือหมอพเนจร
หมอพเนจรยิ้มอย่างอ่อนโยน “ขอบคุณพี่ชายมาก”
ลุงจูมองท้องฟ้า “ฝนตกหนักเช่นนี้ ชั่วครู่ชั่วยามคงไม่หยุดง่ายๆ ข้าว่าคงจะตกตลอดทั้งคืน มิสู้เจ้าอย่าเพิ่งไปเลย ค้างที่นี่สักคืนเถิด ห้องพักบ่าวรับใช้ด้วยกันเองไม่เรื่องมาก”
หมอพเนจรกล่าวตอบ “ขอบคุณความหวังดีของพี่ชาย แต่ข้ายังต้องรีบเดินทาง”