ตอนที่ 355 ราชันที่โชคชะตาลิขิต

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 355 ราชันที่โชคชะตาลิขิต

สิ่งที่เรียกว่าอำนาจบารมีเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากเรื่องราวเฉพาะบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องม้าศึกที่อยู่ตรงหน้านี้

เมื่อเห็นเฮยหมู่ตานยกหนิวโหย่วเต้ามาพูด สามผู้อาวุโสสบตากันเล็กน้อย ไม่สะดวกจะกล่าวอันใดอีก เพราะสามสำนักก็ถ่ายทอดคำสั่งให้พวกเขาเชื่อฟังการจัดการของหนิวโหย่วเต้าเช่นกัน

แต่ในอีกมุมหนึ่ง ด้วยอิทธิพลที่หนิวโหย่วเต้ามีต่อสามสำนัก พวกเขายากจะขัดขืนได้ แต่สำหรับสตรีอย่างเฮยหมู่ตาน พวกเขาไม่ค่อยเห็นอยู่ในสายตามากนัก ที่ไว้หน้าเฮยหมู่ตานก็เพราะให้เกียรติหนิวโหย่วเต้า

ประวัติของเฮยหมู่ตานพวกเขาก็ทราบชัดเจนดี เป็นผู้บำเพ็ญไร้สำนักที่เคยเร่ร่อนอยู่ในเมืองไจชิงเท่านั้น หากมิใช่เพราะได้ติดตามหนิวโหย่วเต้า นางก็ไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะมายืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาด้วยซ้ำ ซ้ำยังมาพูดข่มขู่ต่อหน้าคนมากมายอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้อีก ทำให้ภายในใจของคนสามสำนักเกิดความไม่พอใจขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย

“สังหารหรือ? เจ้าจะสังหารผู้ใด? เฮยหมู่ตาน หากเป็นคำสั่งของหนิวโหย่วเต้าจริง พวกเราก็ไม่ค้านเช่นกัน ทว่าพวกเราตัดขาดการติดต่อจากโลกภายนอก ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับคำพูดของเจ้า จะใช่คำสั่งของหนิวโหย่วเต้าจริงหรือไม่ พวกเราก็ไม่รู้แน่ชัด เจ้าอย่ามาออกคำสั่งส่งเดชจะดีที่กว่า!” อูเซ่าฮวนเอ่ยเตือนประโยคหนึ่ง

แม้ทราบดีว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะโป้ปด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าศิษย์ในสำนัก เขาก็ต้องคิดหาทางกู้หน้ากลับมาบ้าง

กงซุนปู้รีบกล่าวว่า “ผู้อาวุโสอู ข่าวถูกส่งตรงมาหาข้า ข้ายืนยันได้ว่าเป็นคำสั่งของเต้าเหยี่ยจริงๆ”

เฮยหมู่ตานโมโหเล็กน้อย แต่ยังคงเอ่ยอย่างสุภาพว่า “ทุกท่านได้เห็นเพียงม้าศึกตรงหน้า แต่กลับไม่ได้รู้เลยว่าเต้าเหยี่ยที่อยู่ด้านนอกต้องทุ่มเทไปมากแค่ไหน การคิดหาทางส่งออกม้าศึกจากแคว้นฉี ไหนเลยจะเป็นเรื่องง่ายดายปานนั้น เผลอๆ เต้าเหยี่ยอาจจะต้องเผชิญอันตรายอันใดมาก็เป็นได้ เพียงแต่พวกเราไม่ทราบเท่านั้น การที่เต้าเหยี่ยออกคำสั่งเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลอยู่ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ทุกคนคงไม่อยากให้เกิดความผิดผลาดอันใดขึ้นมาอีก ตัวข้าเองก็ไม่อยากเห็นความอุตสาหะของเต้าเหยี่ยต้องสูญเปล่าไปเช่นกัน หากถ้อยคำของข้ามีส่วนใดที่พูดไม่เข้าหูไป หวังว่าทุกท่านจะช่วยอภัยให้ด้วย เอาไว้พวกเราขนส่งม้าศึกกลับไปถึงตามคำสั่งเต้าเหยี่ยแล้ว หากทุกท่านมีความเห็นใดต่อข้า กลับไปแล้วข้าจะไปขอขมาลาโทษต่อทุกท่านอีกครั้ง ตอนนี้หวังว่าทุกท่านจะช่วยให้ความร่วมมือก่อน!”

นางยอมอ่อนข้อให้แล้ว พวกอูเซ่าฮวนก็หาทางลงได้แล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรอีก

จากนั้นเหล่าศิษย์จากสามสำนักก็จัดสรรหน้าที่กันอย่างรวดเร็ว

กำลังคนฝ่ายพวกเขาไม่ได้มีเพียงเท่าที่เห็นอยู่ในตอนนี้ กำลังคนที่สามสำนักส่งมายังแคว้นฉีส่วนใหญ่ถูกเรียกมารวมตัวกันหมดแล้ว กำลังคนหลายร้อยคนส่วนใหญ่ยังคอยอยู่บนท้องทะเล

เดิมทีกลุ่มเรือสามลำของทางฝั่งลู่หลีจวินเป็นกลุ่มปิดท้ายขบวน แต่พอสลับทิศทางก็กลายเป็นหัวขบวนแทน เหล่าศิษย์จากสามสำนักที่ได้รับจัดสรรหน้าที่ก็กระจายตัวไปตามขบวนเรือที่ตามอยู่ด้านหลัง

…….

ณ คูน้ำสายหนึ่ง หนิวโหย่วเต้าควบม้ากระโจนข้ามไป หลังจากข้ามฝั่งได้ก็วิ่งห้อจนฝุ่นตลบต่อไปข้างหน้า อาชาสี่ตัวที่อยู่ด้านหลังติดตามมาเช่นนี้

จากนภาดาษเดือนดาวจนปรากฏดวงตะวันสาดแสง หลังจากปลอมตัวแล้วทั้งห้าคนก็ควบม้าห้อตะบึงผ่านทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่มาตลอดทางโดยไม่หยุดพัก

นอกจากจะแวะเปลี่ยนพาหนะหรือแวะกินอาหารเป็นครั้งคราวแล้ว ทั้งห้าคนควบม้าวิ่งห้อไปตลอดทาง

หนิวโหย่วเต้ารู้ดี ขอเพียงยังไม่พ้นจากเขตแผ่นดินแคว้นฉีก็ยังมีอันตรายอยู่ แต่ขอเพียงมุ่งหน้าไปถึงท้องทะเลอันกว้างใหญ่ การจะตามหาตัวเขาให้พบก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายแล้ว

ต่อให้หาพบ แต่ตัวเขารู้จักวิชายุทธ์ที่ตนบำเพ็ญเพียรดี ขอเพียงอยู่ในน้ำ ถึงเผชิญภัยอันตรายเขาก็ยังมีโอกาสเอาตัวรอดได้สูง คิดจะฆ่าเขาไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากจั๋วเชาตายเขาก็พอจะเข้าใจถึงสาเหตุแล้ว

ด้วยเหตุนี้จึงเร่งเดินทางไม่หยุดพัก เขาต้องการไปสมทบกับขบวนเรือบนท้องทะเลโดยเร็วที่สุด

“สกปรกจะตายแล้ว หาที่ให้ข้าอาบน้ำทีเถอะ!”

ก่วนฟางอี๋ผู้มีนิสัยรักสะอาดมักจะบ่นออกมาอยู่เนืองๆ ทว่าหนิวโหย่วเต้าไม่สนใจ ยืนกรานจะเร่งเดินทางต่อไป

ด้วยเหตุนี้ ทั้งห้าแทบจะต้องควบม้าข้ามแผ่นดินแคว้นฉีไปกว่าครึ่งแคว้น เดินทางยาวไกล

….

ณ เรือนเมฆาขาว เสียงพิณจากห้องในหอสูงหยุดลงกะทันหัน ซูจ้าวที่นั่งอยู่ข้างพิณเงยหน้าเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “หนิวโหย่วเต้าถูกราชสำนักจับตัวไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”

ฉินเหมียนพยักหน้ารับ “ด้านนอกมีข่าวลือเช่นนี้จริงๆ เจ้าค่ะ บอกว่าเขากับลิ่งหูชิวรวมถึงคนในสวนไม้เลื้อยถูกราชสำนักดำเนินการจับกุมอย่างลับๆ ไปพร้อมกัน”

ซูจ้าวลุกขึ้นมา เอ่ยถามว่า “เรื่องนี้จะเป็นไปได้หรือ?”

ฉินเหมียนตอบว่า “แต่จะตัดความเป็นไปได้นี้ทิ้งก็ไม่ได้เช่นกันเจ้าค่ะ เพราะพวกเขาหายตัวในไปช่วงเวลาเดียวกัน ยังมีอีกนะเจ้าคะ ตามการวิเคราะห์ของเบื้องบน ความเป็นไปได้ที่หนิวโหย่วเต้าจะทราบถึงตัวตนของลิ่งหูชิวนั้นมีไม่มาก มิเช่นนั้นหากรู้ว่ามีตัวอันตรายเช่นนี้อยู่ เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้ลิ่งหูชิวอยู่ข้างกายนานถึงเพียงนี้แน่ อีกทั้งคนในองค์กรที่ทราบถึงตัวตนของลิ่งหูชิวก็มีอยู่น้อยมากจนแทบจะนับนิ้วได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ตัวตนของเขาจะรั่วไหลไปสู่ภายนอก ตลอดเวลาที่ลิ่งหูชิวอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า เขาก็ไม่เคยทำเรื่องใดที่เป็นการเปิดโปงตัวตนออกไปเลย หลังจากได้รับข่าวนี้ เบื้องบนคิดว่ามีเหตุผลที่จะเป็นเช่นนั้นจริง มีโอกาสที่ทางราชสำนักจะจับกุมทั้งสองไปพร้อมกันโดยจริงๆ โดยไม่ทราบสาเหตุเจ้าค่ะ!”

พอได้ยินคำพูดนี้ ซูจ้าวแอบบ่นในใจว่ากระทั่งเซ่าผิงปอยังเดาตัวตนของลิ่งหูชิวออกแต่แรกเลย อีกทั้งเซ่าผิงปอเองก็สันนิษฐานเอาไว้แต่แรกแล้วว่ามีความเป็นไปได้สูงที่หนิวโหย่วเต้าจะทราบถึงตัวตนของลิ่งหูชิวแล้วเช่นกัน ทางนี้กลับคิดว่าหนิวโหย่วเต้าไม่มีทางเก็บอันตรายไว้ใกล้ตัว แต่หนิวโหย่วเต้าดันทำเช่นนี้จริงๆ น่ะสิ!

แต่ซูจ้าวไม่สามารถบอกความจริงออกไปได้ มิเช่นนั้นเบื้องบนต้องกล่าวโทษแน่นอนว่ารู้แต่แรกแล้วไยไม่ยอมพูด?

ตอนนี้นางก็ไม่ทราบเช่นกันว่าสรุปแล้วเรื่องของลิ่งหูชิวเกี่ยวข้องกับงานใหญ่แค่ไหนกันแน่ ยากจะเอ่ยปากออกไปได้จริงๆ

ตอนนี้นางนึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว เสียใจที่ไม่ได้บอกให้เซ่าผิงปอรู้ในทันที ไม่ควรปิดบังทางเซ่าผิงปอไว้เลย การวิเคราะห์ของเบื้องบนอะไรกัน? ตอนนี้นางเพิ่งตระหนักขึ้นมาได้แล้วว่าคนที่สามารถงัดข้อกับหนิวโหย่วเต้าอย่างสมน้ำสมเนื้อได้น่าจะมีเพียงเซ่าผิงปอคนเดียวเท่านั้น หากว่าแจ้งให้เซ่าผิงปอทราบเรื่องทันท่วงที เกรงว่าหนิวโหย่วเต้าคงไม่สามารถหลอกทุกคนได้ง่ายดายปานนี้

“เบื้องบนมีเจตนาใด?” ซูจ้าวถาม

ฉินเหมียนตอบว่า “เจตนาของเบื้องบนคือต้องการให้พวกเราระดมสายสืบในเมืองหลวงแคว้นฉีทันที สืบหาสถานที่คุมขังที่มีความเป็นไปได้ จากนั้นให้รอโอกาสลงมือเจ้าค่ะ!”

ซูจ้าวถาม “กำลังคนส่วนใหญ่ล้วนส่งออกไปสืบหาที่อยู่ของหนิวโหย่วเต้าแล้วมิใช่หรือ?”

ฉินเหมียนเอ่ยว่า “เรื่องสืบเสาะหาสถานที่คุมขังทางเมืองหลวง จะส่งคนที่ทำเป็นแต่ต่อสู้ฆ่าฟันไปก็ไม่ประโยชน์อะไรเจ้าค่ะ แค่ถอนกำลังคนที่มีเกี่ยวข้องกับทางราชการกลับมาก็พอ เช่นนี้ก็ไม่ต้องเรียกกลับมาทั้งหมดแล้ว นับว่าเป็นการเตรียมพร้อมทั้งสองทางเจ้าค่ะ!”

ตอนนี้ซูจ้าวแทบจะแน่ใจแล้วว่าหนิวโหย่วเต้ากำลังใช้เล่ห์กลอยู่แน่นอน อีกอย่างมีความเป็นไปได้สูงว่าจะทราบแล้วว่าหอจันทร์กระจ่างต้องการลงมือกับเขา จึงอดไม่ได้ที่จะด่าในใจว่าไอ้สารเลวแซ่หนิวจอมเจ้าเล่ห์ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายจงใจเจตนาถ่วงกองกำลังไล่ล่าของหอจันทร์กระจ่าง อย่างน้อยๆ ก็คิดจะเบี่ยงเบนความสนใจของหอจันทร์กระจ่างเพื่อฉวยโอกาสรอดให้มากขึ้น!

นางหาเหตุผลมาปรามทันที “หากว่าหนิวโหย่วเต้าหนีไปแล้วจริงๆ เช่นนั้นพวกคนที่สามารถใช้เส้นสายกับทางการเหล่านั้นต่างหากถึงจะตามหาตัวหนิวโหย่วเต้าได้ง่ายกว่า ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดหลับหูหลับตาตามหาในทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ล่ะก็ มันจะไปต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทรเล่า? อีกอย่างเทียวไปเทียวมาเช่นนี้จะเหมาะหรือ?”

ฉินเหมียนกล่าวไปว่า “นายหญิง ท่านกำลังสงสัยในการตัดสินใจของเบื้องบนหรือเจ้าคะ? เรื่องที่ท่านกังวลอยู่ เบื้องบนจะไม่รู้อย่างนั้นหรือเจ้าคะ? ต่อให้เขาหลบหนีไปแล้วจะเป็นอย่างไร เขาจะหนีไปที่ใดได้? เว้นแต่เขาจะไม่โผล่หน้าออกมาอีกชั่วชีวิต! ถึงกลับจังหวัดชิงซานไปแล้วอย่างไร? หากเบื้องบนต้องการจัดการเขา สำนักหยกสวรรค์จะปกป้องเขาได้หรือเจ้าคะ?”

“……” ซูจ้าวพูดไม่ออก

….

ในลานด้านในของร้านเต้าหู กำลังปันเงินกันอยู่!

นักบัญชีของตระกูลฮูเหยียนมาแล้ว กำลังพาคนมาตรวจสอบบัญชีอยู่

ฮูเหยียนเวยย่อมต้องมาด้วยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่เขาไม่สนใจเรื่องเช่นนี้ ถึงเขาจะไม่ได้ส่วนแบ่งก้อนใหญ่ แต่เขาเชื่อว่าทางบ้านคงไม่ลืมเงินปันผลในส่วนของเขาแน่

หยวนกังเองก็ไม่สนใจเรื่องนี้มากนัก เขานั่งมองอยู่ไกลๆ ฮูเหยียนเวยที่อยู่ข้างกายเขาขยับปากพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด อวดอ้างถึงเรื่องไร้สาระบางอย่างที่หยวนกังไม่นึกสนใจ

พูดไปพูดมา ประเด็นสนทนาของฮูเหยียนเวยก็ลากโยงไปถึงตัวหนิวโหย่วเต้า พูดอะไรทำนองว่าตนไม่ใช่คนที่ไม่รักษาคำพูด เดิมทีรับปากไว้แล้วว่าจะพาหนิวโหย่วเต้าไปเที่ยวเล่นที่เรือนเมฆาขาว ผู้ใดจะรู้ว่าหนิวโหย่วเต้ากลับจากไปแล้ว คำสัญญานี้จึงต้องติดค้างไว้ก่อน

ต่อมาก็บ่นอุบอิบอยู่ตรงนั้นอีก พูดทำนองว่าหนิวโหย่วเต้าพาหงเหนียงไปด้วย พูดจาทำนองว่าคนมากมายในเมืองหลวงต่างรู้สึกสะท้อนใจที่บุปผาอย่างหงเหนียงถูกคนเด็ดไปครองแล้ว

จากนั้นฮูเหยียนเวยก็ยกยอตัวเองอีกครั้ง บอกว่าตนยังคงตามีแววนัก เขามองคนไม่ผิดเลยจริงๆ มิเช่นนั้นจะเกี้ยวพาหงเหนียงให้ตามไปด้วยได้อย่างไร

หยวนกังกลับตกอยู่ในภวังค์ความคิด มีบางเรื่องที่เขารู้มากกว่าฮูเหยียนเวย ก่อนที่หนิวโหย่วเต้าจะออกเดินทาง อีกฝ่ายได้ฝากจดหมายผ่านคนงานที่ขายเต้าฮวยอยู่ริมถนนมาให้เขา นับว่าเป็นการบอกลา! แล้วก็นับว่าเป็นการเผื่อไว้สำหรับเหตุไม่คาดฝัน! เกรงว่าเขาจะไปฟังข่าวลือเหลวไหลแล้วเข้าใจผิดไป เป็นการเตือนให้เขารู้โดยเฉพาะ ว่าหากได้ยินข่าวว่าตัวเขาหนิวโหย่วเต้าถูกจับกุมไป ก็อย่าได้หลงคิดว่าเป็นเรื่องจริง

…..

จนกระทั่งทางนี้คำนวณบัญชีเสร็จ ฮูเหยียเวยถึงได้ขอตัวอำลาไป หยวนกังยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่บนม้านั่งหินใต้ชายคา

เต้าเหยี่ยไปจากเมืองหลวงแคว้นฉีแล้วจริงๆ! เขารู้ว่าการจากไปครั้งนี้ของเต้าเหยี่ยมีความหมายอย่างไร มีชีวิตมาสองชาติ มีวาสนาเป็นพี่น้องกันมานานขนาดนี้ ในที่สุดครั้งนี้นับว่าทั้งสองแยกทางกันแล้ว!

เป็นตัวเขาที่ร้องขอแยกทาง เพราะประโยคที่อีกฝ่ายบอกให้เขา ‘ไปอยู่แนวหลัง’

เขารู้ดีว่าเต้าเหยี่ยเป็นคนมีเหตุผล ที่เต้าเหยี่ยพูดแบบนี้ไม่มีอะไรผิดไปเลย อีกฝ่ายทำไปเพราะหวังดีต่อเขา แต่ในใจเขากลับบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร!

เขาเดินออกจากร้านเต้าหู้ ไปยืนอยู่ริมทะเลสาบ แต่ถึงกระนั้นก็ยังสงบใจไม่ลงอยู่ดี

เรือแจวลำหนึ่งพายผ่านหน้าไป หยวนกังพลันยื่นมือออกไปโบกเรียก “นายท้าย!”

เรือเข้าเทียบฝั่ง เขาเดินขึ้นเรือพลางโยนเหรียญเงินให้คนแจวเรือหนึ่งเหรียญ เรือแจวพาเขาเคลื่อนที่ออกไป

……

พอขึ้นฝั่งอีกครั้งก็เป็นช่วงพลบค่ำแล้ว เขามายังประตูทางเข้าด้านหลังของเรือนเมฆาขาว

เรือจากไปได้ไม่นาน ซูจ้าวก็มาแล้ว

พอได้ยินว่าหยวนกังเป็นฝ่ายมาหานางถึงที่ นางค่อนข้างแปลกใจ จึงมาต้อนรับด้วยตัวเอง

ฉินเหมียนไม่ได้โผล่มาด้วย ตอนนี้เป็นช่วงยุ่งง่วนกับการค้าของเรือนเมฆาขาว ฉินเหมียนจำเป็นต้องออกไปรับรองแขกสูงศักดิ์บางส่วน

“ลมอะไรหอบพี่อันมาได้? เชิญด้านในเถอะ!” ซูจ้าวผายแขนเสื้อเชิญเข้ามา

หยวนกังเดินผ่านประตูเข้ามาเงียบๆ ราวกับมาบ้านของตนก็มิปาน เดินไปด้วยตัวเอง เขายังคงจดจำเส้นทางของที่นี่ได้ทั้งหมด

ซูจ้าวเร่งเดินตามหลังไป ไม่ทราบว่าเขาคิดจะทำอะไร

สิ่งที่ทำให้ซูจ้าวสับสนคือหยวนกังเดินตรงมายังห้องส่วนตัวของนาง ผลักประตูเปิดเข้าไปโดยไม่ขอความเห็นชอบจากนางเลย

“กินมื้อเย็นมาหรือยัง? ข้าให้คนไปเตรียมสุราอาหารมาให้ท่านหน่อยดีไหม” ซูจ้าวสังเกตสีหน้าเขาแล้วลองถามดู

หยวนกังยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น

ซูจ้าวลองถามดูอีกครั้ง “ท่านมีเรื่องในใจหรือ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่? หากมีเรื่องไม่สบายใจก็พูดออกมาได้ เดี๋ยวข้าดูว่าพอจะช่วยได้หรือไม่ หากช่วยได้ข้าจะช่วยแน่นอน ไม่ถูกสิ เบื้องหลังท่านมีตระกูลฮูเหยียนอยู่ ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีผู้ใดกล้าไม่ไว้หน้าตระกูลฮูเหยียนกัน…”

นางพูดยังไม่ทันจบก็ตะลึงงัน ก้มหน้ามองมือของตน จู่ๆ หยวนกังที่อยู่ข้างๆ ก็ยื่นมือมากุมมือนาง

นางยังไม่ทันเงยหน้าขึ้น หยวนกังพลันออกแรงดึงเล็กน้อย รั้งตัวนางเข้าสู่อ้อมอกแล้วกอดไว้ในอ้อมแขน

“เถ้าแก่อัน…” ซูจ้าวเงยหน้าขึ้น หยวนกังก้มหน้าลงมา

ซูจ้าวเบิกตากว้าง ตกตะลึงพรึงเพริด!

สองแขนกำยำของชายคนนี้ทรงพลังเหลือเกิน ในหัวนางยังคงลังเลอยู่ว่าจะเผยตัวว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเพื่อลงมือขัดขืนดีหรือไม่

ทว่าเสมือนได้พบพานราชันที่โชคชะตาลิขิตมาแล้ว ลิขิตให้นางต้องยอมจำนน ลิขิตให้เขาพิชิตนางได้!

ฟุบ! …

…………………………………………………………..