งานเลี้ยงชมดอกเหมยถูกกำหนดเป็นวันที่สิบแปดเดือนหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดอกเหมยจะบานสะพรั่งที่สุด
เสียนเฟยครุ่นคิดอยู่นาน เมื่อร่างรายชื่อเสร็จแล้ว จึงให้นางในนำส่งไปยังกรมวัง
งานเลี้ยงชมดอกเหมยนี้จัดขึ้นร่วมกันโดยเสียนเฟยกับจวงเฟย ซึ่งโดยปกติสองคนนี้ไม่เล่นงานกันและกัน แน่นอนว่าก็ไม่มีการปรึกษาหารือกันแน่นอน เมื่อต่างคนต่างร่างรายชื่อเสร็จแล้ว ต่างคนต่างก็ส่งรายชื่อให้กงกงผู้ควบคุมงานโดยเฉพาะเพื่อจะได้นำไปดำเนินการต่อ
หลังจากที่ส่งรายชื่อไปแล้ว เสียนเฟยรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ปลอกเล็บประดับมุกอันเรียวยาวยื่นมาถึงโถหมากล้อม นางหยิบหมากสีดำหนึ่งเม็ดขึ้นมากำเล่นในฝ่ามือพร้อมกับกล่าวงึมงำ “ไม่รู้ว่าจวงเฟยเชิญใครมาบ้าง”
รายชื่อสตรีชั้นสูงที่นางร่างไว้ ล้วนแต่เป็นหญิงสาวตระกูลระดับปานกลาง ไม่น่าสะดุดตา ไม่มีความโดดเด่น หรือว่ามีครอบครัวที่เข้มงวดเกินไป หรือว่าเป็นหญิงสาวที่มีชื่อเสียงในด้านความอ่อนน้อมเชื่อฟัง แต่เพื่อรักษาหน้าเอาไว้ นางได้เชิญหญิงที่มีชาติตระกูลดีหลายคนมาร่วมงานด้วย แต่พวกนางไม่ได้อยู่ในขอบเขตการพิจารณาของนาง
รายชื่อเช่นนี้ เกรงว่าคงไปซ้ำกับจวงเฟยไม่มาก
เสียนเฟยเป็นคนที่รักในหน้าตามาก ด้วยเหตุผลประการที่หนึ่ง นางไม่ได้ต้องการให้บุตรคนเล็กที่ไม่สนิทสนมมาก ได้หญิงชั้นสูงมาเป็นภรรยา และอีกประการหนึ่ง นางไม่อยากให้จวงเฟยมองออกถึงความคิดนี้ของนาง
หมัวมัวคนรู้ใจเข้าใจถึงเหตุผลของความคิดของเสียนเฟยเป็นอย่างดี จึงเอ่ยปลอบ “คนที่เหนียงเหนียงเลือก ต้องเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดอยู่แล้วเพคะ”
เสียนเฟยโยนหมากลงในโถแล้วลุกขึ้นเดินไปยังหน้าต่าง นางถอนหายใจและกล่าว “ช่างเถอะ ตามนี้แล้วกัน”
อากาศภายในห้องร้อนระอุ จึงมีการเปิดหน้าต่างออกครึ่งหนึ่งเพื่อระบายอากาศ ด้านนอกหน้าต่างสามารถเห็นท้องฟ้าเพียงฝ่ามือกับก้อนเมฆที่เปลี่ยนรูปร่างตลอดเวลาเท่านั้น
ก้อนเมฆที่ยากจะควบคุมก็เหมือนกับบุตรชายคนเล็กของนางที่มีนิสัยไม่แน่นอน
ช่วงระยะนี้ เสียนเฟยอยากเรียกอวี้จิ่นเข้ามาคุย เพื่อดูว่าเขามีความคิดเห็นอย่างไรอยู่หลายครั้ง แต่ก็ถูกฝ่ายตรงข้ามใช้ข้ออ้างสารพัดปฏิเสธกลับมาทุกครั้ง
เสียนเฟยเพียงแค่นึกถึง ก็รู้สึกหงุดหงิด
ไม่ว่าสองแม่ลูกเคยใช้เวลาร่วมกันหรือไม่ อย่างน้อยเขาก็เป็นลูกชายที่ตนตั้งครรภ์มาร่วมสิบเดือน แต่นี่กลับไม่เคยถามไถ่แม่แท้ๆ ของตนเลย!
บางครั้ง เสียนเฟยก็รู้สึกไม่สบายใจ เจ้าเจ็ดเย็นชากับข้าถึงเพียงนี้ แล้วเขายินดีที่จะช่วยเหลือเจ้าสี่ในภายหลังจริงๆ หรือ
ความคิดนี้จึงมีส่วนที่นางให้ความสำคัญกับงานเลี้ยงชมดอกเหมยเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกัน นางก็รู้สึกสับสนงงงวยไร้จุดหมายปลายทาง กลัวว่าจะเกิดความผิดพลาด แล้วสุดท้ายคนที่ต้องรับผลนั้นคือตัวเอง
มีเสียงของฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้น แม้เสียงนั้นจะแผ่วเบา แต่เมื่อดังเข้าไปในหูของเสียนเฟยแล้ว ก็เพียงพอที่จะทำให้นางรู้สึกตื่นตัวได้เช่นกัน
นางกำนัลที่อยากมีชีวิตที่ดีเมื่อเข้ามาอยู่ภายในพระราชวังนั้น การเก็บอารมณ์เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเรียนรู้ แต่การที่เดินมาอย่างเร่งรีบขนาดนี้นั้น…หรือว่าเกิดเรื่องใหญ่?
ไม่นานนัก นางกำนัลนางหนึ่งก็เดินเข้ามา “เหนียงเหนียงเพคะ เยี่ยนอ๋องมาพบเพคะ”
เสียนเฟยหันตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว “เยี่ยนอ๋องมารึ”
เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายั้งกิริยาไม่อยู่ เสียนเฟยจึงยกมือขึ้นจัดเกศา และสวมใส่ปลอกเล็บประดับมุกอันแวววาวชวนให้แสบตาทันใด
“เพคะ ท่านอ๋องรออยู่ด้านนอก เหนียงเหนียงจะพบหรือไม่พบ…”
“เชิญเยี่ยนอ๋องเข้ามา” เสียนเฟยพูดขัดนางกำนัลพร้อมกับก้าวเท้าไปยังพระที่นั่งกุ้ยเฟยและนั่งรอ
ตอนที่อวี้จิ่นเดินเข้ามา เขาเห็นสตรีในวังนางหนึ่งนั่งตัวตรงอยู่บนพระที่นั่งกุ้ยเฟย บุคลิกนั้นงามสง่า ช่างแตกต่างจากพวกเหม่ยเหรินที่เอื่อยเฉื่อยรักสบาย
พระมารดาของเขาท่านนี้ ช่างมีความน่าสนใจยิ่ง
อวี้จิ่นหรี่ตาลง เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่ผิดคนแน่ จึงถวายบังคม “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”
เสียนเฟยมองบุตรชายคนเล็กคำนับให้นาง ก็เกิดความรู้สึกยิ่งมองยิ่งไม่ชอบใจ
ดูความขี้เกียจของเขานั่นสิ ช่างไร้มารยาทเสียจริง สู้เจ้าสี่ไม่ได้เลยสักนิด
เสียนเฟยไม่พอใจอยู่ภายในใจ แต่ภายนอกยังคงรักษาความสง่าเอาไว้ “เข้ามาใกล้ๆ ให้แม่ดูหน่อย”
อวี้จิ่นเดินเข้าไปใกล้จนเห็นถึงริ้วรอยจางๆ ตรงหางตาของเสียนเฟย
วันเวลานั้นยุติธรรม ไม่ว่าสตรีจะงดงามเพียงใด สุดท้ายก็ย่อมทิ้งร่องรอยเอาไว้อยู่ดี
อวี้จิ่นกระดกมุมปากขึ้นมาช้าๆ
หากให้พูด เขามีชีวิตมาแล้วสิบเก้าปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ใกล้ชิดกับมารดามากที่สุดนับตั้งแต่จำความได้
ช่างรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิด
เสียนเฟยรู้สึกประหลาดใจกับการมาหาของอวี้จิ่น
ตั้งแต่บุตรชายคนนี้กลับมาถึงเมืองหลวง นางเรียกให้มาหาถึงหลายครั้ง แต่ไม่เคยเรียกมาได้สำเร็จสักครั้ง การที่เจ้าเจ็ดมาหาตนในวันนี้ คงไม่ได้มาแค่น้อมทักทายหรอกกระมัง
เสียนเฟยมิได้เอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยทันที แต่นางมองบุตรชายคนเล็กอย่างถี่ถ้วน
มันเป็นความรู้สึกเหมือนคนแปลกหน้า แต่บุคลิกลักษณะนั้นกลับรู้สึกคุ้นเคยมากเป็นพิเศษ
หากดูจากรูปลักษณ์แล้ว เจ้าเจ็ดมีความเหมือนนางมากกว่าเจ้าสี่อีก
ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนางเองนี่
เสียนเฟยพลันรู้สึกทอดถอนใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่เมื่อสีหน้าอ่อนโยนลง นางจึงเอ่ยถามออกไป “วันนี้มาพบแม่ มีธุระใช่หรือไม่”
“ลูกมาถวายบังคมเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”
เสียนเฟยไม่เชื่อ แต่ส่งรอยยิ้มให้ “ขอบใจในน้ำใจของเจ้า แล้วเจ้ามีเรื่องอื่นหรือไม่”
อวี้จิ่นเริ่มหน้าแดง คล้ายว่าลังเลไปครู่หนึ่งแล้วถึงกล่าวตอบ “ลูกได้ยินว่างานชมดอกเหมยกำหนดวันเรียบร้อยแล้ว”
เสียนเฟยมองอวี้จิ่นหนึ่งทีแล้วยิ้มให้ “ใช่ กำหนดเป็นวันที่สิบแปด นี่จิ่นเอ๋อร์กลัวว่าแม่จะจัดการได้ไม่เรียบร้อยหรือ”
คำว่าจิ่นเอ๋อร์ ทำให้อวี้จิ่นแทบจะยกมือขึ้นสะบัดขนที่ลุกขึ้นมาทั้งตัวออกไป โชคดีที่สีหน้ายังแบกรับไหว เขาจึงกล่าวต่ออย่างหน้าแดง “เรื่องนี้ลูกไม่กังวลอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ว่าลูกอยู่หนานเจียงเป็นเวลานาน ไม่มีความเข้าใจในหญิงชั้นสูงของเมืองเหลวงเลย แต่ลูกอยากมีชีวิตอย่างฉันสามีภรรยาแล้ว ดังนั้นลูกจะมีภรรยาที่ถูกอกถูกใจ และจะมีความสุขสมหวังหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเสด็จแม่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เสียนเฟยยังคงมองอวี้จิ่นอยู่อย่างนั้น นางเห็นเขายิ่งพูดหน้ายิ่งแดง สุดท้ายเริ่มหมดหนทาง ริมฝีปากที่โค้งงอก็เผยรอยยิ้มออกมา
ก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่าเจ้าเจ็ดกับองค์ชายอีกหลายคนชกต่อยกันเป็นหมู่ นางนึกว่าลูกคนนี้มีนิสัยไม่สนใจใยดีต่อสิ่งใด แต่พอเห็นตอนนี้ ถึงจะใช้ชีวิตข้างนอกจนป่าเถื่อน แต่เขาก็ยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง และโหยหาภรรยาในอนาคตเป็นอย่างมาก
สำหรับในด้านนี้ เจ้าเจ็ดใสซื่อมากกว่าเหล่าองค์ชายที่เติบโตในพระราชวังเสียอีก
เสียนเฟยไม่คิดว่าสิ่งนี้คือข้อดี แต่หากมองจากความรู้สึกล้วนๆ นั่นหมายความว่าเพียงแค่ได้ภรรยาที่ตรงใจ คนๆ นั้นก็จะกลายเป็นคนหูเบา เชื่อฟังคำพูดของคนข้างหมอน หากเป็นเช่นนี้ นางเพียงแค่จับลูกสะใภ้ให้อยู่หมัด ก็เท่ากับได้จับลูกชายให้อยู่หมัดแล้วเช่นกัน
เสียนเฟยมองดวงตาของลูกชายที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง นางยิ้มกลับให้อย่างแผ่วเบา “เจ้าวางใจได้ แม่จะเลือกลูกสะใภ้ที่ตรงใจให้กับเจ้าอย่างแน่นอน”
เอาเถอะ ในงานเลี้ยงชมดอกเหมย หากว่าเจ้าเจ็ดถูกใจคนไหน นางเพียงแค่ตอบรับก็พอแล้ว ความสัมพันธ์ที่จืดจางมาตั้งแต่แรก ถือว่าใช้โอกาสนี้สานสัมพันธ์เสียหน่อยก็แล้วกัน หากเป็นเช่นนี้จริง ในอนาคตเจ้าเจ็ดจะได้ช่วยเหลือเจ้าสี่ได้อย่างสุดใจ
“งั้นลูกทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นกลับคืนสู่หน้าเย็นชาทันทีที่ออกจากพระตำหนักของเสียนเฟย ราวกับว่าชายหนุ่มที่หน้าแดงต่อหน้ามารดาเมื่อสักครู่นี้ไม่เคยมีอยู่จริง
เดิมทีก็ไม่เคยมีตัวตนอยู่แล้ว
อวี้จิ่นยิ้มอย่างเย็นชา เขาเดินผ่านกำแพงที่ก่อเป็นชั้นๆ แล้วเลี้ยวโค้งไปทางหนึ่ง
ขันทีชุดสีเทาคนหนึ่งเดินผ่านอวี้จิ่นโดยผ่อนความเร็วของฝีเท้าลง
“จัดการเรียบร้อยหรือยัง” อวี้จิ่นทอดสายตามองไปข้างหน้าและเอ่ยถามด้วยเสียงเบา
ขันทีตอบกลับอย่างแผ่วเบา “เรียบร้อยขอรับ”
อวี้จิ่นยิ้มแล้วเดินไปยังทางออกของพระราชวัง
หานกงกงผู้ซึ่งเป็นคนในกรมวังที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยเฉพาะ เขากำลังสั่งงานกับนางในหลายคนว่าให้นำรายชื่อที่เหนียงเหนียงสองท่านส่งมา เขียนลงในเทียบเชิญ นางในหนึ่งในนั้นมองรายชื่อหนึ่งที จากนั้นยกพู่กันขึ้นแล้วเริ่มเขียนชื่อของคุณหนูสี่แห่งตงผิงปั๋วลงไป
ข่าวงานเลี้ยงชมดอกเหมยเริ่มแพร่งกระจายออกไปแล้ว ก่อนวันที่สิบแปดเดือนหนึ่งสองวัน เหล่าหญิงสาวชนชั้นสูงต่างๆ ที่ได้รับเทียบเชิญพากันดีใจใหญ่ ส่วนจวนไหนที่มิได้รับบัตรเชิญก็ถอนหายใจเสียดาย
ตำแหน่งพระชายาท่านอ๋อง แม้แต่โอกาสเข้าร่วมก็ยังไม่มี ลอยลับไปเสียแล้ว!
ภายในจวนตงผิวปั๋ว เฝิงเหล่าฮูหยินมองดูเทียบเชิญแกะสลักที่พ่อบ้านนำมาให้ครั้งแล้วครั้งเล่า นางรู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่รู้ตัว