ตอนที่ 322 เกี้ยวพากันจนจะสามารถร้องเพลงได้อยู่แล้ว

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 322 เกี้ยวพากันจนจะสามารถร้องเพลงได้อยู่แล้ว

“เจ้าก็รู้ตัวดี ! ” เจียงโม่หานอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มตรงมุมปาก “ถ้าเจ้าเป็นคนเช่นนั้น เหตุใดข้ายังต้องสู่ขอเจ้าจากท่านป้า ? หรือข้าอยากรนหาที่เอง ? ”

หลินเว่ยเว่ยยิ้มอย่างโง่งมยิ่งกว่าเดิม ที่เขากับนางหมั้นหมายกัน ไม่ได้เป็นนางที่ขอร้องหรือว่าเขาทำเพื่อตอบแทนบุญคุณนางหรอก แท้จริงแล้วเขาเองก็ชอบนางใช่หรือไม่ ?

“บัณฑิตน้อย เจ้าชอบสิ่งใดในตัวข้า ! ” หลินเว่ยเว่ยทำสีหน้าเพื่อบ่งบอกว่ารีบชมข้าเร็วสิ ชมข้าเยอะ ๆ เลย

นางเฝิงถูกเด็กน้อยสองคนทำให้มีความสุข “ข้าคิดว่าถ้อยคำเกี้ยวพากันของพวกเจ้า อย่าเอามาพูดกลางโต๊ะอาหารได้หรือไม่ ? ”

“ต้องพูด ต้องพูดตอนนี้เลย ! ” ความจริงแล้วมันไม่ใช่สิ่งที่เด็กสาวขี้อิจฉาจากหมู่บ้านไหนจะทำได้ เพราะนางดึงดันจะตามติดบัณฑิตหนุ่ม เพราะเขาหลงรักนางมาตั้งนานแล้วต่างหาก ฮึฮึฮึฮึ…

เจียงโม่หานรู้สึกว่าผิวหน้าและหัวใจของตนถูกหลอมเป็นเหล็กนานแล้ว ในเมื่อเด็กน้อยมีความสุข เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางมีความสุขถึงที่สุดก็แล้วกัน “ข้าชอบความใจกว้าง ชอบความจิตใจดีงาม ชอบความไร้เดียงสา ชอบความขยัน ชอบความเรียบง่าย ชอบความอบอุ่น ชอบรอยยิ้มที่สดใสและชอบความงดงามของเจ้า การชอบใครคนหนึ่ง แม้นางจะมีข้อเสียแต่ก็ยังเปล่งประกาย…”

“ไอหยา…” คำอุทานนี้หลุดออกจากปากหลินเว่ยเว่ยเป็นร้อยเป็นพันครั้ง นางปิดหน้าตัวเองแล้วกล่าวด้วยสำเนียงไต้หวัน “ข้าไม่ได้ดีถึงเพียงนั้น ! โอ้ว เขินชะมัด~…”

ให้ตายเถิด ! ในเวลาปกติบัณฑิตหนุ่มเป็นเหมือนดอกไม้บนผาหิน ท่าทางเย็นชาจนยากจะเอื้อมถึง คาดไม่ถึงว่าเวลาชมใครขึ้นมาก็จะสามารถทำให้คนฟังหน้าแดง ใจเต้นแรงและอารมณ์พลุ่งพล่านได้ !

คนอื่นที่อยู่ร่วมโต๊ะอาหารก็อ้าปากค้าง แววตาของนางหวงเต็มไปด้วยความชื่นชม ที่แท้หานเอ๋อร์ก็ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไรกับเสี่ยวเว่ย ความกังวลทั้งหมดจึงเป็นสิ่งที่นางคิดขึ้นมาเอง

นางเฝิงจึงกล่าวขึ้นว่า “ไอหยา ไอหยา” ไม่หยุดปาก “เด็กสมัยนี้ กล้าพูดให้คนอื่นได้ยินถึงเพียงนี้แล้วหรือ ? หรือเพราะพวกเราตามเด็กไม่ทันเอง ? ไอหยา ! คาดไม่ถึงเลยว่าหานเอ๋อร์ของพวกเราที่ภายนอกดูเป็นคนเย็นชากลับยังมีหัวใจของชายหนุ่มผู้เร่าร้อนถึงเพียงนี้ ! ”

เผิงหยูเหยี่ยนมองศิษย์น้องด้วยความชื่นชม ศิษย์น้องเจียงไม่เพียงศึกษาตำราเก่ง เขียนบทความได้ดี วาดรูปได้วิจิตร เวลาชมสตรีก็ยัง…คุ้มค่าที่ข้าจะเรียนรู้ไว้ด้วย น้องภรรยาที่ดูเป็นแม่เสือในเวลาปกติ ตอนนี้ดูเชื่องยิ่งกว่าแมวเลี้ยง…เป็นอย่างที่คิดว่าระหว่างสามีภรรยาก็มีอีกศาสตร์หนึ่ง เขาเองต้องศึกษาไว้บ้าง !

หลินจื่อเหยียนอายุยังน้อยจึงก้มหน้าด้วยความเขินอาย…เขายังเป็นเด็กอยู่ มาพลอดรักกันต่อหน้าเช่นนี้ ยังมีมโนธรรมเหลืออยู่หรือไม่ ?

ส่วนเจ้าหนูน้อยพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง เขาเห็นด้วยกับถ้อยคำของพี่โม่หาน เพราะพี่รองเป็นคนที่ยอดเยี่ยมและทำให้ทุกคนชื่นชอบ !

เจ้านกแก้วขนแหว่งก็เอาปีกมาปิดหน้าเพราะไม่อยากมอง !

เจ้าดำก็ส่งเสียง โฮ่ง…

แต่บุตรสาวคนโตกลับขมวดคิ้วและเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “เมื่อครู่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องซื้อหมูหรอกหรือ ? อย่าเปลี่ยนเรื่อง ! จะหาซื้อหมูในเขตเริ่นอันได้หรือ ? ”

หลินเว่ยเว่ยขยิบตาใส่บัณฑิตหนุ่มต่อหน้าทุกคน ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าคิดว่าจะไปลองเสี่ยงดวงแถวหมู่บ้านรอบ ๆ อำเภอจิงหยุน ! ”

เขตเริ่นอันประสบภัยแล้งเช่นนี้ คนกินแม้กระทั่งรากของหญ้าและเปลือกไม้แล้วจะเอาสิ่งใดมาเลี้ยงหมู ? ช่วงนี้ ในตัวอำเภอเป่าชิงก็ไม่มีคนขายหมูแล้ว ราคาก็ขึ้นกว่าปีก่อนถึง 10 เท่า เฮ้อ…ในฤดูหนาวเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะยังมีสักกี่ครอบครัวที่ห่อเกี๊ยวกิน !

นางเฝิงพยักหน้า “ให้หานเอ๋อร์ไปกับเจ้าด้วย จะได้ช่วยเจ้าได้บ้าง”

หลินเว่ยเว่ยหันไปมองเจียงโม่หาน เขาน่ะหรือ ?

เจียงโม่หานคิดว่า สายตาเจ้าหมายความอย่างไร ? เมื่อครู่ข้าพูดไปมากมายถึงเพียงนั้น มันเสียเปล่าหมดแล้ว ! ข้าสามารถเก็บมันคืนมาได้หรือไม่ ?

หลินเว่ยเว่ยรีบฉีกยิ้มให้เขา เอาเถิด เอาเถิด ! เจ้าอยากไปก็ไป อย่างน้อยก็ไปเป็นเพื่อนคุย !

เผิงหยูเหยี่ยนอยากแนะนำว่าไม่ต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้นเพราะบ้านของตนต้องซื้อหมูทุกปี พอถึงเวลานั้นก็ให้พี่ชายและหลานชายซื้อเพิ่มอีกตัว นี่คือปีแรกของการหมั้นหมายจึงเป็นธรรมดาที่ของขวัญวันส่งท้ายปีจะล้ำค่าหน่อย…ทว่าเขายังไม่ได้ปรึกษากับครอบครัวจึงไม่กล้าเอ่ยออกมา…

“ถ้าเช่นนั้น…ให้ข้าตามไปช่วยได้หรือไม่ ? ” เผิงหยูเหยี่ยนเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ

ตระกูลหลินหันไปมองร่างกายที่อวบอ้วนของเขาทันที…เจ้าจะไปทำอะไร ? จะแบกหมูหรือว่าดันเกวียน ?

เฮ้อ…เหมือนจะไม่ได้ทั้งสอง ! แต่ศิษย์น้องเจียงก็เหมือนกับข้าคือเป็นพวกบัณฑิตอ่อนแอ แล้วเหตุใดเขาไปได้ แต่ข้าไปไม่ได้ ?

“อากาศยังหนาวมาก ตามไปก็ลำบาก…แผลของเจ้าก็เพิ่งหายดีได้ไม่ถึงสองวัน เสี่ยวเว่ยกับหานเอ๋อร์ไปก็พอแล้ว เหยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าอย่าไปลำบากด้วยเลย ! ” นางหวงเอ่ยเกลี้ยกล่อม แต่สิ่งที่นางอยากพูดมากกว่านั้นคือ…หนอนหนังสืออย่างเจ้าแค่ยืนอยู่หน้าหมู่บ้านครู่เดียวก็ป่วยได้แล้ว ดังนั้นอย่าตามไปเพิ่มความวุ่นวายเลย !

ตกกลางคืน หลินเว่ยเว่ยนอนหลับฝันดีในมิติน้ำพุวิญญาณ ตอนออกมานางจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับเตียงเตาแล้ว ในมิติน้ำพุวิญญาณที่เหมือนฤดูใบไม้ผลิตลอดเวลาย่อมนอนหลับได้สบายที่สุด !

บนเตียงของนางเต็มไปด้วยลังไม้ที่ปลูกผักกาดกวางตุ้ง ปวยเล้ง ผักกาดหอม ไม่อย่างนั้นฟืนที่ใช้ตอนกลางคืนในห้องนอนนี้ก็จะเสียเปล่า อีกแค่ไม่กี่วันพอผักใบเขียวเหล่านี้เติบโตขึ้นมาแล้วก็จะสามารถช่วยปกปิดผักที่นางขนออกจากมิติน้ำพุวิญญาณได้ !

ในฤดูหนาวมีเพียงผักกาดขาว หัวไชเท้าและมันฝรั่งให้กินเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ซ้ำซากจำเจมากเกินไป นางจึงใช้ความคิดเพื่อที่จะสร้างความอุดมสมบูรณ์บนโต๊ะอาหารของครอบครัว !

มื้อเช้า บุตรสาวคนโตตระกูลหลินได้ทำรอไว้แล้ว คู่หมั้นชอบอาหารฝีมือนางมาก นางจึงดูขยันขึ้นมาทันที ส่วนใหญ่แล้วนางมักจะแย่งเป็นคนทำอาหาร แม้ตอนนี้ฝีมือของนางจะยังห่างชั้นจากหลินเว่ยเว่ยอยู่บ้าง แต่รสชาติอาหารก็ไม่ถือว่าแย่ เจ้าหนูน้อยก็ไม่ได้ต่อต้านอาหารของนางแล้วด้วย !

หลังกินข้าวเช้าเสร็จ หลินเว่ยเว่ยก็ไปเป็นคนขับเกวียนเทียมม้าซึ่งบนเกวียนมีบัณฑิตหนุ่มนั่งอยู่ พวกนางพร้อมออกเดินทางกันแล้ว !

“รอก่อน ! ” นางเฝิงเห็นว่าวันนี้ลมแรง ลมตะวันตกเฉียงเหนือพัดเข้ามาเป็นระลอก นางกลัวว่าเด็ก ๆ จะหนาวจนล้มป่วย จึงถือเสื้อคลุมหนังกระต่ายออกมาให้พวกเขาคลุมไว้บนตัวและยังให้หลินเว่ยเว่ยใส่ถุงมือหนังกระต่ายด้วย “ใส่เสื้อผ้าหนา ๆ หน่อย แล้วก็รีบกลับมากันล่ะ ! ”

“เจ้าค่ะ ! ขอบคุณน้าเฝิง ท่านกับท่านแม่เข้าไปเถิด ข้างนอกลมแรงมาก ! ” เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโส หลินเว่ยเว่ยมักจะทำตัวเป็นเด็กดี แต่เมื่ออยู่กับบัณฑิตน้อย นางก็จะเปลี่ยนเป็นอีกแบบทันที

“อ้า ! เย็นเท้าจังเลย ! ” เป็นอย่างที่คิดว่าเพิ่งออกจากหมู่บ้านได้ไม่นาน นางก็เริ่มทำตัวเป็นปิศาจอีกครั้ง

เจียงโม่หานมองนางด้วยสายตาสงบนิ่ง หลินเว่ยเว่ยเห็นเขาไร้ปฏิกิริยาใด นางจึงยื่นเท้าไปแล้วกล่าวว่า “ไอหยา ! นิ้วเท้าของข้าจะแข็งอยู่แล้ว ! ”

เจียงโม่หานนำเตาไฟขนาดเล็กไปไว้ข้าง ๆ เท้านาง “อย่ายื่นเท้าออกมา เอาไปไว้ข้างเตาไฟทางนั้น ! ”

“ในเวลานี้หากเป็นคู่หมั้นคู่อื่น ฝ่ายชายน่าจะถอดเสื้อคลุมออกแล้วกล่าวว่า มา ข้าจะเพิ่มความอบอุ่นให้…” ไม่มีทางที่คู่หมั้นจากสมัยโบราณจะสามารถทำได้ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน ดังนั้นนางจึงต้องค่อย ๆ สอน…

“เช่นนั้น…เท้าที่หนาวเหน็บของเจ้าคืออยากให้ข้าช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้หรือ ? ” เจียงโม่หานกวาดตามองเท้าน้อย ๆ ของนาง

หลินเว่ยเว่ยออกแรงพยักหน้าและเหยียดเท้าออกไปอีกครั้ง

เจียงโม่หานขมวดคิ้วและผลักออกด้วยสีหน้ารังเกียจ “เหม็นจะตาย ! ”