ตอนที่ 360 ใฝ่สูงแล้วอย่างไร

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 360 ใฝ่สูงแล้วอย่างไร

หลังจากที่ป้าติงจากไป ผู้สมัครรายต่อมาคือครูวัยห้าสิบที่เกษียณแล้ว

หลินม่ายอ่านประวัติส่วนตัวโดยสังเขปที่หล่อนเขียน แล้วโพล่งขึ้นว่า “คุณอายุห้าสิบแล้วนี่คะ คงยังไม่ได้อ่านรายละเอียดในประกาศรับสมัครใช่ไหมคะ? ฉันระบุอายุสูงสุดของผู้สมัครไว้ว่าไม่ควรเกินสี่สิบห้าปี แต่คุณอายุเกิน”

คุณครูวัยเกษียณดูมั่นใจมาก “ฉันอ่านรายละเอียดในประกาศรับสมัครของคุณอย่างครบถ้วนแล้ว แต่ฉันทำงานเป็นครูโรงเรียนประถมศึกษา ประสบการณ์สอนมากกว่าสิบปี แน่นอนว่าต้องมีความอดทนกับบรรดานักเรียนสูงมาก ถ้าโรงเรียนของคุณจ้างงานฉันในตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ ไม่เพียงดูแลโรงเรียนของคุณเป็นอย่างดีเท่านั้น แต่ยังสามารถสอนวิชาภาษาจีนและคณิตศาสตร์ให้เด็ก ๆ ได้ด้วย รับประกันเรื่องคุณภาพการสอนได้เลย แถมยังช่วยคุณประหยัดเงินในการจ้างครูภาษาจีนกับครูคณิตได้อีก”

หลินม่ายยิ้ม “วันพรุ่งนี้ฉันจะติดประกาศรายชื่อของผู้ที่ผ่านการรับสมัครไว้ที่หน้าประตูโรงงาน อย่าลืมมาตรวจสอบนะคะ”

ครูวัยเกษียณตกตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด “ไม่ใช่ว่ารู้ผลการรับสมัครทันทีหรอกเหรอ?”

“เปล่าค่ะ”

คุณครูวัยเกษียณจึงจากไป

หลินม่ายมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายไปด้วยสายตาที่ไร้ซึ่งความอบอุ่น

ระหว่างนั้นก็อดสบถในใจไม่ได้ คุณอวดอ้างว่าตัวเองเคยเป็นครูในโรงเรียนประถมศึกษา พอเหลือบไปเห็นเด็กวิ่งหกล้มกลับไม่ช่วยเขา ไม่มีความเป็นห่วงเป็นใยเขาเหมือนกับป้าติง

เธอไม่มีทางยอมรับคนหน้าซื่อใจคดแบบนี้

การรับสมัครบุคลากรประจำโรงเรียนอนุบาลดำเนินไปถึงเวลาประมาณสิบเอ็ดโมง

หลินม่ายเดินออกไปหานักแสดงรับเชิญที่ตัวเองจ้างมาเพื่อเป็นเครื่องมือทดสอบผู้สมัคร เธอนั่งยอง ๆ อยู่ข้างเขา ยัดลูกอมใส่กระเป๋าเขาจำนวนมากพลางชื่นชมด้วยรอยยิ้ม “เธอทำได้ดีมาก!”

เด็กน้อยยิ้มแหย รอจนหลินม่ายยัดขนมลงในกระเป๋าของเขาเสร็จ ก็รีบวิ่งแจ้นไปหาผู้เป็นพ่อ

เขาเขย่าต้นขาของผู้เป็นพ่อ ชี้นิ้วไปที่หลินม่ายแล้วพูดว่า “คุณน้าคนนั้นให้ขนมผมด้วย!”

พ่อของเด็กชายกำลังสาละวนอยู่กับการทำซีเมนต์ พอได้ยินแบบนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหลินม่าย พูดพลางฉีกยิ้มกว้าง “คุณเกรงใจเกินไปแล้ว!”

หลินม่ายจ่ายค่าตอบแทนให้ลูกชายของเขาก็เพราะเขาทำตามหน้าที่ได้เป็นอย่างดี

เธอตอบกลับยิ้ม ๆ “แค่ลูกอมไม่กี่เม็ดเท่านั้นเอง” จากนั้นก็เดินออกไป แวะไปที่บ้านป้าติงเพื่อแวะรับโต้วโต้วกลับบ้าน

พอเดินผ่านหน้าร้านเซาเข่า เสี่ยวหม่านก็วิ่งพรวดออกมาจากข้างในร้าน วิ่งมาขวางทางเธอไว้แล้วพูดเสียงขรึม “ม่ายจื่อ มีคนมาตามหาเธออีกแล้ว เหมือนจะมาดักรอตั้งแต่เช้าแล้วด้วย”

หลินม่ายถาม “ใครเหรอ?”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เสี่ยวหม่านส่ายหน้า จากนั้นก็โน้มตัวไปกระซิบข้างหูเธอ “ผู้หญิงคนนั้นดูไม่เป็นมิตรเอาซะเลย เธอต้องระวังตัวให้ดีนะ”

หลินม่ายพยักหน้า พาโต้วโต้วเข้าไปในร้านเซาเข่า

เสี่ยวหม่านรีบเดินตามเข้าไปในร้าน ชี้ไปที่หญิงสาวสะสวยแต่ทำหน้าหงิกงอ แล้วพูดว่า “เธอคนนี้ไงที่มาตามหาคุณ”

หลินม่ายขอให้เสี่ยวหม่านช่วยพาโต้วโต้วกลับไปที่บ้าน จากนั้นก็เดินเข้าไปหาสาวสวยที่ปั้นสีหน้าดำคล้ำคนนั้น “ได้ยินว่าคุณตามหาฉันอยู่เหรอคะ?”

หญิงสาวจ้องมองตามหลังโต้วโต้วไป สายตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

หล่อนรู้แค่ว่าหลินม่ายเคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าเธอจะมีลูกสาวที่โตขนาดนี้ด้วย!

ฟางจั๋วหรานตาบอดหรือยังไงกัน อยู่ดีไม่ว่าดีกลับอยากกลายเป็นพ่อเด็กที่ไหนก็ไม่รู้!

พอได้ยินหลินม่ายเดินเข้ามาทักทาย หญิงสาวก็หันขวับกลับมามองเธออย่างไร้ความปรานี สายตาแสดงความเย่อหยิ่งและเหยียดหยาม “เธอใช่หลินม่าย ผู้หญิงม่ายที่มาล่อลวงพี่จั๋วหรานของฉันหรือเปล่า?”

ขณะที่พูดแบบนี้ หล่อนก็จงใจเพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้น ทำให้ลูกค้าที่กำลังกินอาหารอยู่ในร้านต่างหันมองมาทางหลินม่ายทีละคนด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น

หลินม่ายหรี่ตาจ้องกลับอย่างไม่ยอมเช่นกัน “คุณเป็นใคร? ทำไมถึงกล้าเรียกแฟนฉันว่าพี่จั๋วหรานอย่างไม่กระดากปาก ฉันเนี่ยนะล่อลวงจั๋วหราน? สงสัยคุณคงรีบบึ่งมาหาฉันถึงที่นี่แต่เช้าโดยที่ไม่ได้เข้าห้องน้ำก่อนสินะ ถึงได้พ่นของเสียออกมาทางปากแบบนี้?”

คำพูดของเธอทำให้หลายคนต่างหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง

โดยเฉพาะบรรดาพนักงานในร้านเซาเข่า พวกเขาจ้องมองไปที่หญิงสาวพร้อมกับระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง

เห็นหญิงสาวที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเถ้าแก่เนี้ยบุกมาถึงร้านแบบนี้ มีหรือพวกเขาจะอดทนได้

หญิงสาวทั้งโกรธทั้งอับอาย ถึงอย่างนั้นก็ยังทำหน้าเจ้าเล่ห์ เชิดปลายคางแหลมขึ้นแล้วพูดว่า “ฉันเป็นใครน่ะเหรอ? ฉันซูอวี้อิ๋ง เป็นเพื่อนรักวัยเด็กของพี่จั๋วหราน พ่อแม่ของฉันสนิทสนมกันดีกับคุณลุงฟางและคุณป้าหวังที่เป็นพ่อและแม่เลี้ยงของพี่จั๋วหราน ถ้าเธอยังมีความหน้าบางอยู่บ้าง ก็หยุดยุ่งกับพี่จั๋วหรานของฉันซะที”

หลินม่ายอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย “พ่อแม่ของจั๋วหรานคงจับเธอให้เป็นคู่หมั้นคู่หมายของเขาสินะ? ราชวงศ์ชิงล่มสลายไปตั้งไม่รู้กี่ปีแล้ว คุณยังเชื่อฟังคำสั่งของพ่อแม่และเลือกคู่ครองตามแม่สื่อแม่ชักอยู่อีกเหรอ? คุณมีพ่อแม่ของจั๋วหรานคอยให้ท้าย ฉันเองก็มีคุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางคอยให้ท้ายเหมือนกัน! คุณปู่คุณย่าของเขาอนุญาตให้ฉันกับจั๋วหรานหมั้นหมายกันในวันชาติที่ใกล้จะถึงนี้แล้ว แถมยังให้สร้อยข้อมือหยกที่เป็นมรดกตกทอดกับฉันแล้วด้วย คุณต่างหากอย่ามาหาเรื่องฉันที่นี่ นำความอัปยศมาสู่ตัวเองซะเปล่า!”

ซูอวี้อิ๋งโกรธจัดจนแทบจะพองขนเหมือนแม่ไก่ “ฉันกับพี่จั๋วหรานเป็นเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน เขาอยู่สูงส่งเกินกว่าที่เธอจะไขว่คว้าเป็นไหน ๆ!”

หลินม่ายไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับซูอวี้อิ๋งอีกต่อไป ยิ่งปะทะคารมก็ยิ่งน่าเบื่อ

ในที่สุดก็หักห้ามใจไม่ได้ เดินเข้าไปคว้าแขนข้างหนึ่งของอีกฝ่ายแล้วฉุดลากให้ออกไปนอกร้านทันที “ฉันใฝ่สูงแล้วยังไง คนอย่างคุณมีปัญญาทำอะไรฉันได้? ในเมื่อคุณไม่ยอมออกจากร้านฉันไปโดยดี ถ้าอย่างนั้นก็ต้องโดนฉันลากออกไปแบบนี้แหละ”

หลังจากนั้น เธอก็ออกแรงเหวี่ยงซูอวี้อิ๋งซึ่งถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจจนนิสัยเสียตั้งแต่เด็กออกไปนอกร้าน ด้วยความที่ร่างกายหล่อนอ่อนแอราวกับลูกไก่ จึงเซล้มไปอยู่แทบเท้าของฟางจั๋วหราน

เห็นได้ชัดว่าฟางจั๋วหรานมาที่นี่ด้วยความรีบร้อน ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง หอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน ดูหล่อเหลาไปอีกแบบหนึ่ง

หลินม่ายแปลกใจมาก “จั๋วหราน ทำไมถึงออกมาได้คะ?”

พอนึกถึงผลการตรวจร่างกายเมื่อเช้า เธอก็ถามขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก “หรือว่าผลการวินิจฉัยออกมาแย่?”

ฟางจั๋วหรานไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี ยกมือขึ้นปัดผมที่ตกลงมาปรกหน้าผาก “สมองน้อย ๆ ของคุณชักจะวิตกกังวลเกินไปแล้ว ต้องใช้เวลาสามวันกว่าจะรู้ผลไม่ใช่หรือไง”

หลินม่ายเดินไปแตะหน้าผากเขา แล้วถามด้วยความสับสน “แล้วทำไมคุณถึงออกมาหาฉันทั้ง ๆ ที่ยังไม่ใช่เวลาเลิกงาน?”

ขณะนั้นเอง ซูอวี้อิ๋งที่พยายามหยัดลุกขึ้นจากพื้นด้วยความลำบากก็หันไปชี้หน้าหลินม่าย พูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “พี่จั๋วหราน ฉันถูกนังแม่ม่ายลูกติดคนนี้รังแก!”

ท่าทางของฟางจั๋วหรานแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที “คุณกินไม่เลือกได้ แต่อย่าได้พูดพล่อย ๆ ไร้สาระแบบนี้ ใครคือพี่จั๋วหรานของคุณกัน? หยุดแผดเสียงร้องน่ารังเกียจซะทีเถอะ อย่าคิดว่าผมไม่รู้ว่าคุณมารังควานแฟนผมถึงร้านอย่างไร้เหตุผล นึกไม่ถึงเลยว่าคุณจะเป็นคนร้ายกาจแบบนี้ พ่อแม่คุณรู้หรือเปล่าว่าลูกสาวตัวเองหน้าด้านขนาดไหน?”

ซูอวี้อิ๋งตัวแข็งทื่อ ถึงอย่างนั้นก็ยังยืนกรานแน่วแน่ “ฉันเปล่านะ!”

ถึงอย่างไรฟางจั๋วหรานก็ไม่ได้มาเห็นกับตาหรือได้ยินเองกับหู ตราบใดที่หล่อนปฏิเสธไม่ยอมรับ ต่อให้ทุกคนร่วมกันเป็นพยาน หล่อนก็ยังหาข้ออ้างได้ว่าหลินม่ายกับคนอื่น ๆ รวมหัวกันกลั่นแกล้ง

ฟางจั๋วหรานลากหล่อนเข้าไปตรงเคาน์เตอร์ชำระเงินในร้านเซาเข่า ชี้ไปที่โทรศัพท์แล้วพูดว่า “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในร้านเมื่อกี้ถูกส่งตรงถึงหูผมผ่านโทรศัพท์เครื่องนี้ คุณยังมีอะไรจะโต้แย้งอีกไหม?”

ซูอวี้อิ๋งตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็นึกอะไรออก

ตอนที่หล่อนกับหลินม่ายกำลังโต้เถียงกันอยู่ คงมีใครสักคนใช้โทรศัพท์โทรเข้าไปที่ห้องทำงานของฟางจั๋วหราน ทำให้เขาได้ยินเนื้อหาทั้งหมดว่าหล่อนทะเลาะกับหลินม่ายยังไงบ้าง

สีหน้าหล่อนซีดเผือดทันที

ฟางจั๋วหรานไม่สนใจหล่อนเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้นิสัยอีกด้านที่เต็มไปด้วยความร้ายกาจและไร้เหตุผลของหล่อนถูกเปิดโปงต่อหน้าเขาอย่างไม่เหลือชิ้นดี เขาอาจรังเกียจหล่อนเข้าแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ปฏิบัติต่อหล่อนด้วยทัศนคติที่แย่แบบนี้

ซูอวี้อิ๋งตาแดงก่ำ จ้องเขม็งไปทางหลินม่าย นึกอยากกระโจนเข้าใส่และขย้ำให้เธอตายคามือ “ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะร้ายกาจขนาดนี้ ถึงกับสั่งสอนให้พนักงานร่วมหัวกันวางแผนเปิดโปงฉัน!”

หลินม่ายไม่ได้สั่งให้พนักงานคนไหนในร้านยกหูโทรไปที่ห้องทำงานของฟางจั๋วหรานเสียหน่อย มิน่าล่ะเขาถึงได้มาปรากฏตัวที่นี่ประจวบเหมาะพอดีกับตอนที่ซูอวี้อิ๋งมาสร้างปัญหา

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไม่ว่าใครจะเป็นคนทำแบบนี้ คนคนนั้นคงมีเจตนาอยากช่วย ดังนั้นเธอจะปล่อยให้ผู้หวังดีคนนั้นแบกรับข้อกล่าวหาที่เต็มไปด้วยความโกรธของซูอวี้อิ๋งไม่ได้

เธอพูดอย่างตรงไปตรงมา “การเปิดโปงธาตุแท้ของคุณถือว่าร้ายกาจเหรอ? งั้นฉันยอมเป็นคนร้ายกาจก็ได้!”

เสี่ยวหม่านยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “อย่าโทษเถ้าแก่เนี้ยของฉันเลย ฉันเป็นคนต้นคิดเอง! เถ้าแก่เนี้ยของฉันไม่ใช่คนที่ชอบเล่นตุกติกกับใคร!”

ฟางจั๋วหรานมองไปทางซูอวี้อิ๋งด้วยสายตาเย็นชา “คิดจะเก็บซ่อนธาตุแท้อันร้ายกาจของตัวเองไปถึงเมื่อไหร่? คุณนี่มันหน้าไม่อายจริง ๆ! ตัวเองกลั่นแกล้งคนอื่นได้ฝ่ายเดียว พอคนอื่นโต้กลับบ้างกลับยอมรับไม่ได้ ที่คุณถูกกระชากหน้ากากก็เป็นเพราะคุณทำตัวของคุณเองทั้งนั้น”

หลินม่ายไม่อยากให้ฟางจั๋วหรานกลับไปเข้างานสายเพราะตัวเอง จึงออกแรงผลักเขาเล็กน้อย “คุณรีบกลับไปทำงานต่อเถอะค่ะ ถึงยังไงงานก็สำคัญกว่า”

ฟางจั๋วหรานไม่ยอมขยับเขยื้อน ชำเลืองมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่แขวนอยู่บนผนัง “อีกไม่กี่นาทีก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว ผมไม่จำเป็นต้องรีบกลับ”

จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับซูอวี้อิ๋ง “เอาล่ะ กลับไปได้แล้ว อย่าคิดกลับมาเหยียบที่นี่อีก ถ้ายังมีครั้งหน้า ก็อย่าได้กล่าวหาว่าผมหยาบคาย!”

ซูอวี้อิ๋งพูดตัดพ้อ “ฉันทำแบบนี้ก็เพราะต้องการปกป้องผลประโยชน์ของคุณ ไม่อยากให้คุณโดนใครหลอก”

ว่าแล้วก็ชำเลืองมองไปทางหลินม่าย แสดงสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม “ผู้หญิงชั้นต่ำบางประเภทเจ้าเล่ห์เกินไป พวกหล่อนถนัดจับผู้ชายยิ่งกว่าอะไรดี คุณป้าหวังกับคุณลุงฟางกลัวว่าคุณจะตกที่นั่งลำบาก เลยขอให้ฉันเข้ามาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”

ฟางจั๋วหรานแค่นเสียงเย้ยหยัน “คุณคิดว่าตัวเองหยิบยกชื่อหวังเหวินฟางกับสามีของหล่อนมาอ้างแล้วจะทำให้ผมยอมรับในตัวคุณมากขึ้นหรือไง? ฝันไปเถอะ!”

ซูอวี้อิ๋งกัดฟันกรอด ก่อนจะพูดว่า “แต่เราสองคนเหมาะสมกันที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นภูมิหลังทางครอบครัวหรือหน้าตา เราต่างก็มีทุกอย่างทัดเทียมกัน คุณป้าหวังกับคุณลุงฟางต่างก็ชอบฉัน แถมยังบอกด้วยว่าฉันเป็นว่าที่สะใภ้เบอร์หนึ่งสำหรับพวกเขา…”

“ใครสักคนอาจจะชอบคุณ คุณก็ไปแต่งงานกับคนคนนั้นซะเถอะ แต่ผมไม่ชอบคุณ ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่มีทางแต่งงานกับคุณแน่ ต่อให้คุณพูดพล่ามสาธยายไปก็ไม่มีประโยชน์ อย่ามัวทำตัวน่าขายหน้าอยู่ที่นี่อีกเลย อย่างน้อยก็เห็นแก่หน้าของตระกูลซูบ้าง!”

ซูอวี้อิ๋งเห็นว่าฟางจั๋วหรานเอาแต่ปฏิเสธหล่อนครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังพยายามปกป้องหลินม่ายไม่ได้ห่าง

การเสียหน้านานเข้านำไปสู่การเสียสติ หล่อนทนไม่ได้อีกต่อไป อึดอัดคับข้องจนน้ำตาไหลริน ยกมือขึ้นปิดหน้าแล้ววิ่งหนีไปทันที

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

จบแบบไม่ได้ผุดได้เกิดแล้วยัยคุณหนูเอ๊ย พี่หมอเขาเห็นธาตุแท้แล้ว รีบกลับบ้านไปรักษาหน้าตัวเองก่อนเถอะ แตกยับชนิดไม่มีหมอคนไหนเย็บได้ซะขนาดนั้น

ไหหม่า(海馬)