บทที่ 321 ความจริงแท้จริงเป็นเช่นนี้

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 321 ความจริงแท้จริงเป็นเช่นนี้

บทที่ 321 ความจริงแท้จริงเป็นเช่นนี้

ตู้ถงเหอนิ่งเงียบ ความคิดถูกดึงกลับไปเมื่อหลายปีก่อน

จำได้ว่าเมื่อสามสิบปีที่แล้ว ลูกชายที่รับราชการทหารมาสามปีเขียนจดหมายส่งกลับมาถึงบ้าน เนื้อความด้านในเขียนบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บและกำลังพักฟื้นที่บ้านหลังหนึ่งของชาวบ้าน

ลูกชายใช้พู่กันเขียนบรรยายลักษณะของชาวบ้านคนนั้น โดยเฉพาะเรื่องสมาชิกในบ้าน

ครั้งหนึ่งเขาเคยบอกว่าบ้านนั้นมีเด็กเล็กอายุสี่ขวบ เป็นเด็กหัวเสือ*[1] น่ารักน่าเอ็นดู ดังนั้นเขาจึงมีชื่อเล่นว่า เจ้าเสือน้อย

ส่วนชื่อที่เขาตั้งให้เด็กคนนั้นคือ ฮั่วซิวเฉิง

ในจดหมายยังบอกอีกว่า ถ้าเขารบชนะเมื่อไร จะกลับบ้านไปแต่งงานและมีลูกที่น่ารักเหมือนกับฮั่วซิวเฉิงด้วย

จดหมายฉบับนั้นเขียนถึงอาการบาดเจ็บของตนเอง และเพราะตู้ถงเหอกลัวว่าภรรยาจะเป็นห่วงเลยไม่ให้เธออ่านจดหมายฉบับนี้

แต่ไม่คิดเลยว่าการเขียนจดหมายมาครั้งนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายของเขา

นับตั้งแต่นั้นมา เขาไม่เคยได้รับจดหมายจากลูกชายอีกเลย

หลังจากนั้น หัวหน้าของลูกชายก็มาแจ้งข่าวร้ายที่บ้าน ถึงได้รู้ว่าไม่สามารถรอเขากลับมาได้อีกแล้ว

ชีวิตวัยเยาว์ในวัยยี่สิบปีของลูกชายคงอยู่ที่ภูเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ตลอดกาล

แม้จะผ่านมาหลายปี เขาก็ไม่เคยกลับมาบ้านเลย แม้แต่ในห้วงแห่งความฝัน

หลังจากทราบข่าวการเสียชีวิตของลูกชาย ภรรยาก็ป่วย เขาเลยไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย

จนกระทั่งได้พบกับฮั่วซิวเฉิง เขารู้สึกว่าเด็กคนนี้อาจเป็นคนที่ลูกชายเคยพบมาก่อนที่ลูกชายจะเสียชีวิต เลยเป็นฝ่ายเชิญเข้าบ้านเพื่อให้มั่นใจ

“สหายฮั่ว คุณจำเหตุการณ์เมื่อสามสิบปีที่แล้วได้ไหม?”

ตอนเขาเอ่ยถามขึ้นมาน้ำเสียงนั้นสั่นเครือ ไม่กล้ามองอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ

เขาไม่รู้ว่าตนเองหวังให้ชายหนุ่มตรงหน้าคือเจ้าเสือน้อยคนนั้น หรือหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ใช้เจ้าเสือน้อยคนนั้น

มันค่อนข้างโหดร้ายสำหรับพ่อเฒ่าคนหนึ่งที่ได้ยินเรื่องการเสียสละของลูกชาย

ฮั่วซิวเฉิงตอบ “เรื่องเมื่อสามสิบปีที่แล้ว ผมเพิ่งอายุสี่ขวบเองครับ จำเรื่องในตอนนั้นไม่ได้เลย!”

ผิดหวัง…

ตู้ถงเหอดูแก่ลงถนัดตา

แม้กระทั่งคำสั่งเสียสุดท้ายของลูกชาย เขาถูกกำหนดไว้ว่าจะไม่ได้ยินอีกแล้วใช่ไหม?

ชายวัยชราอายุเกือบเจ็ดสิบปี ยังมีอะไรที่น่าสมเพชไปกว่านี้อีกไหม?

“ถึงผมจะจำไม่ได้ แต่พ่อแม่เล่าเรื่องผมในตอนเด็กให้ฟังอยู่นะครับ!”

พอเห็นร่างกายสั่นเทาของชายชรา ฮั่วซิวเฉิงก็รีบก้าวเข้าไปประคองไว้

“แล้วคุณเคยได้ยินชื่อตู้ฝูหลินบ้างไหม?” ชายชราถามอย่างมีความหวังอีกครั้ง

แต่ฮั่วซิวเฉิงส่ายหน้าอีกครั้ง

ตู้ถงเหอยิ้มอย่างขมขื่น เขาคาดหวังอะไรกันอยู่นะ

ไอ้ความบังเอิญแบบนี้มันจะไปมีได้อย่างไร?

พบคนคนหนึ่งบนท้องถนนโดยบังเอิญนะ เราจะไปเป็นคนที่เขาตามหาได้อย่างไร?

“แม่ผมบอกว่า ตอนที่ผมยังเด็ก มีลุงคนหนึ่งชื่อตู้เสิ้งลี่มาอาศัยอยู่ที่บ้านผม แถมยังบอกอีกว่าชื่อฮั่วซิวเฉิงก็ได้ลุงตู้คนนั้นตั้งให้”

ฮั่วซิวเฉิงกลัวว่าถ้าพูดช้าจะยิ่งทิ่มแทงตู้ถงเหอมากยิ่งขึ้น จึงรีบพูดออกไปรวดเดียว

ตู้เสิ้งลี่?

ตู้ถงเหอนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง

ทันใดนั้น เขาก็จำขึ้นได้ว่า ลูกชายเคยบอกว่าตนเปลี่ยนชื่อเพื่อเฉลิมฉลองกับชัยชนะ เลยเปลี่ยนเป็นชื่อ เสิ้งลี่ ที่แปลว่าชัยชนะ

“งั้นเธอก็คือเจ้าเสือน้อยจริง ๆ สินะ?”

ตู้ถงเหอจับแขนของฮั่วซิวเฉิงไว้แน่น ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน

ตอนนั้นอวี่รุ่ยหยวนเดินออกมาพอดี เลยบังเอิญได้ยินเข้ากับประโยคนี้

เจ้าเสื้อน้อย ชื่อของเด็กคนนี้หรือ?

เป็นอย่างที่คิด สามีกับเด็กคนนี้รู้จักกันใช่ไหม?

สิ่งที่เธอคาดเดาคือเรื่องจริงใช่ไหม?

เธอเอื้อมมือไปจับกรอบประตูข้างตัว

แต่หลังจากนั้นก็ได้ยินคำพูดของฮั่วซิวเฉิง

“คุณคือครอบครัวของคุณลุงตู้ใช่ไหมครับ?”

อันที่จริงชายหนุ่มไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้

การพบกันโดยบังเอิญจะทำให้เขาได้พบกับครอบครัวของลุงตู้จริงหรือ?

หลายปีมานี้ เขาตามหาคนบ้านนี้จากที่อยู่ที่คุณลุงตู้ทิ้งไว้ให้ แต่ไม่เคยหาพบเลย

“เป็นฉันเอง ฉันเอง ตอนนั้นลูกชายพักฟื้นอยู่ที่บ้านของพวกเธอใช่ไหม?” ตู้ถงเหอถามอย่างกังวลใจ

“ใช่ครับ ๆ เขากำลังพักฟื้นอยู่ที่บ้านของผม คุณปู่ไม่ต้องตื่นเต้นครับ นั่งลงค่อย ๆ ฟังผมพูดก็ได้ครับ!”

อวี่รุ่ยหยวนกระตือรือร้นขึ้นมา ชายหนุ่มตรงหน้าน่าจะมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับลูกชายของเธอแน่นอน

ในที่สุดเธอก็ก้าวออกไป

“ถงเหอ สรุปแล้วสหายฮั่วเป็นใครกัน”

“รุ่ยหยวน ก่อนที่ลูกชายของเราจะเสียชีวิต เขาอาศัยอยู่ที่บ้านของเด็กคนนี้มาช่วงหนึ่ง!” ตู้ถงเหอตื่นเต้นมาก

อวี่รุ่ยหยวนไม่คิดเลยว่าความจริงจะเป็นเช่นนั้น

เธอสงสัยมาก แต่สิ่งเดียวที่เธอไม่เคยคิดคือ ชายคนนี้จะเคยติดต่อกับลูกชายอยู่ช่วงหนึ่ง

“คุณปู่ คุณย่า คุณลุงยังทิ้งของบางส่วนไว้ที่บ้านเราด้วย”

ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างไม่อยากเชื่อ

ตอนที่ลูกชายเสียชีวิต พวกเขาได้รับเพียงแค่ใบรับรองและเงินบำรุงขวัญเท่านั้น ส่วนข้าวของอื่น ๆ ไม่ได้คืนกลับมาเลย

แต่ไม่คิดเลยว่าอีกสามสิบปีต่อมา จะได้ยินเรื่องข้าวของที่ลูกชายทิ้งไว้

“คุณปู่คุณย่า หลายปีมานี้ของพวกนั้นมีพ่อแม่ผมคอยดูแลรักษาอย่างดีมาตลอดเลยครับ”

พอเห็นหยาดน้ำในดวงตาของผู้อาวุโสทั้งสอง ฮั่วซิวเฉิงก็รีบพูดอีกประโยคหนึ่ง

“ดีจริง ๆ เลย อย่างน้อยก็เป็นความคิดถึงสุดท้ายของพวกเรา”

ลูกชายถูกฝังอยู่ต่างถิ่น พวกเขาอยากจะพากลับ แต่ว่า…

ตอนนี้พวกเขาทำตามความปรารถนาได้สำเร็จแล้ว หลังจากนั้นจะได้ถูกฝังไปพร้อมกับข้าวของลูกชายและอยู่ด้วยกันในที่สุด

“แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้เอามาด้วย กลับไปจะเขียนจดหมายบอกพ่อแม่ให้เอามาส่งให้นะครับ”

“ไอ้หนุ่ม ขอบคุณเธอมาก ครอบครัวเธอคือผู้มีพระคุณของเราสองคนตายายเลย!” ตู้ถงเหอกล่าวอย่างซาบซึ้ง

อวี่รุ่ยหยวนรู้สึกขอบคุณมากเช่นกัน หลังจากร้องไห้และพูดคุยกันสักพัก เธอก็จำได้ว่าเด็กคนอื่น ๆ กำลังทำอาหารอยู่

“ฉันจะมาเรียกพวกคุณไปกินข้าว ดูซิลืมหมดแล้ว!” อวี่รุ่ยหยวนรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อได้รับข้อความสุดท้ายจากลูกชาย

“โอ๊ะ คุณย่าครับ ผมทำอาหารไม่เป็น แต่ว่ายังพอช่วยได้นะ” ฮั่วซิ่วเฉิงพูดด้วยรอยยิ้ม

เขาตัดสินใจว่า เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาส เขาจะพาพ่อแม่ไปเยี่ยมผู้อาวุโสตู้ทั้งสอง และเล่าเรื่องชีวิตของคุณลุงตู้ให้ฟัง

การได้เจอพวกท่านแบบนี้ทำให้เขารู้สึกขมขื่น

คนอื่นจะมองไปที่ความรุ่งโรจน์ แต่มีแค่พ่อแม่ของวีรบุรุษเท่านั้นที่เข้าใจความเจ็บปวดและยากลำบาก

โชคดีที่หลานบ้านซูเป็นคนดี และมีความสัมพันธ์อันดีต่อคนทั้งสอง เหมือนจะเข้ากันได้ดีมากเหมือนญาติกันเลย

การมีเด็กพวกนี้คอยดูแล จากนี้ไปชีวิตของพวกเขาทั้งสองไม่ต้องพบเจอกับความขมขื่นแล้ว

แต่เรื่องครอบครัวของตู้เทียนเหอ เราต้องคิดหาวิธี จะมาปล่อยให้พวกเขารังแกพ่อแม่ของวีรบุรุษแบบนี้ไม่ได้

พวกเสี่ยวเถียนที่ได้ยินเรื่องนี้ก็รู้สึกประหลากใจมาก

พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าคนคนนี้ที่อายุดูเหมือนวัยยี่สิบปี แท้จริงแล้วจะอายุสามสิบสี่ปี

นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์กับตระกูลตู้ด้วย

ซูเสี่ยวเถียน เสี่ยวซื่อ และคนอื่น ๆ มองฮั่วซิวเฉิงด้วยสายตาที่ต่างออกไป

ชายหนุ่มที่ทำตัวตะกละมาตลอดทางเป็นทหารจริง ๆ หรือ?

“คุณดูไม่เหมือนทหารเลย!” เสี่ยวซื่อถามอย่างไม่ใส่ใจ

“แล้วเธอคิดว่าทหารควรมีหน้าตาเป็นยังไงล่ะ? หน้าตาถมึงทึงไหม?” ฮั่วซิวเฉิงพูดพร้อมกับทำท่าทางเคร่งขรึม

เด็ก ๆ ส่งเสียงหัวเราะลั่น

พอได้ฟังเสียงหัวเราะที่มีชีวิตชีวา สองสามีภรรยาตู้ก็รู้สึกดีขึ้นมาก

ตอนนั้นลูกชายไปเป็นทหารเพื่ออะไรล่ะ? ไม่ใช่เพื่อให้มีชีวิตเป็นสุขอย่างตอนนี้หรอกหรือ?

ความปรารถนาของลูกชายเป็นจริงแล้ว และพวกเขาควรจะพอใจกับการตัดสินใจของเขาด้วย

*[1] เปรียบว่า ท่าทางกำยำน่าเอ็นดู