บทที่ 391 ฉินเฟิง

บทที่ 391 ฉินเฟิง

เนื่องจากการรับสินบนครั้งนี้มีจำนวนผู้เกี่ยวข้องมากเกินไป จึงต้องใช้เวลากว่าสามวันจึงจับกุมตัวได้หมด คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างหวาดกลัวตัวสั่นงันงก

ขณะเดียวกัน ข่าวคราวกับเกี่ยวกับฮ่องเต้ก็แพร่สะพัดไปอีกครั้ง

“ทรราชกลับมาอีกแล้ว หลงคิดว่าคนผู้นั้นดีขึ้นแล้ว คาดไม่ถึงเลยว่าจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง”

“โชคร้ายยิ่งนักที่พวกเรามีฮ่องเต้เช่นนี้ ครั้งก่อกบฏเขายังทำการสังหารบิดาและพี่น้องของตนเอง ตอนนี้ก็จับกุมขุนนางจำนวนมากในราชสำนัก เกรงว่าคงเห็นต้าเซี่ยเป็นเพียงของเล่น”

“ทรราช โหดเหี้ยมอำมหิต ตอนนี้ขนาดขุนนางถูกจับกุมไปมากมายถึงเพียงนั้น ชีวิตของพวกเราเองก็ไม่ปลอดภัยเช่นกัน!”

“ทรราชก็ยังคงเป็นทรราช ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรถวายความภักดี!”

ภายในเหลาอาหาร เกิดการสนทนาถกเถียงกัน ทว่าทุกเรื่องนั้นล้วนเป็นคำวิจารณ์ที่ไม่ดีต่อฮ่องเต้

เห็นได้ชัดว่าเรื่องเหล่านี้มีผู้อยู่เบื้องหลัง

เสียงเอะอะโวยวายในเรื่องไม่ดีเหล่านี้ล้วนไปถึงหูของเสี่ยวเป่า นางพลันโกรธขึ้นมาทันที!

“คนเหล่านี้ไม่รู้อันใดเลย เห็นได้ชัดว่าคนที่ท่านพ่อจับทั้งหมดล้วนเป็นคนเลว เหตุใดพวกเขาจึงยังว่าร้ายท่านพ่ออยู่อีก!”

ชุนสี่กล่าวให้นางสงบลง “องค์หญิง ชาวบ้านขาดความรู้ พวกเขาไม่อาจเข้าใจทุกสิ่ง เลยถูกพวกตระกูลขุนนางชักจูงให้หลงทางได้ง่าย”

เสี่ยวเป่าโกรธมากจนถอนหญ้าที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมดจนเหี้ยนเตียน

“ไม่ได้ ไม่อาจปล่อยให้ท่านพ่อต้องแบกรับมลทินเหล่านี้ได้!”

เห็นได้ชัดว่าท่านพ่อของนางยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ นางไม่อาจปล่อยให้คนทั้งโลกเข้าใจผิดได้

หัวน้อย ๆ ของเสี่ยวเป่าทำงานอย่างรวดเร็วเพื่อคิดหาหนทาง “ใช่แล้ว”

นางรีบตรงไปหาท่านพ่อทันที

“ท่านพ่อ กระดาษถูกผลิตออกมาแล้วหรือไม่”

หนานกงสือเยวียนยื่นกระดาษสีขาวบนโต๊ะแผ่นหนึ่งให้กับนาง

เสี่ยวเป่าได้เห็นกระดาษแล้วก็พลันมีความสุขอย่างยิ่ง โชคดีที่สามารถผลิตกระดาษออกมาได้แล้ว

“ยังมีเก็บเอาไว้อีกไม่น้อย สามารถนำมาสอบเคอจวี่ได้แล้ว ถือเป็นโอกาสอันดีในการทำความสะอาดราชสำนัก ระบบขุนนางควรได้รับการปรับปรุงเสียใหม่”

เสี่ยวเป่าไม่ได้สนใจในเรื่องนั้น “ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าขอกระดาษสักหน่อย”

หนานกงสือเยวียนมองนาง “ไปหาพี่สามของเจ้า”

เสี่ยวเป่าเต็มไปด้วยความฮึกเหิม “ท่านพ่อรอเสี่ยวเป่าก่อน เดี๋ยวจะช่วยท่านล้างมลทินเอง”

ไม่มีทางที่หนานกงสือเยวียนจะไม่ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นจากภายนอก ทว่าก่อนหน้านี้เขาไม่สนใจเช่นไร ตอนนี้เขาก็ไม่สนใจเช่นนั้น

“ไม่ต้องสนใจเรื่องเหล่านั้น ช่วงนี้ภายในเมืองหลวงมีคลื่นลมแรง เจ้าอย่าได้วิ่งเพ่นพ่านนัก”

“ทราบแล้วเพคะ”

เสี่ยวเป่าถือกระดาษเดินไปยังสำนักศึกษาเพื่อหาราชครูหลี

“หนังสือตี้เป่า?”

ราชครูหลีลูบเคราตนเองด้วยสีหน้างุนงง “สิ่งใดคือหนังสือตี้เป่า”

ใช่แล้ว วิธีของเสี่ยวเป่าคือการจัดทำหนังสือตี้เป่าขึ้นมา เขียนสิ่งที่เหล่าขุนนางกังฉินทำลงไปในหนังสือพิมพ์เพื่อประกาศให้ใต้หล้าได้รับรู้ เช่นนี้แล้วเหล่าชาวบ้านจะได้ไม่เข้าใจท่านพ่อของนางผิด

เสี่ยวเป่าพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่ออธิบายเรื่องนี้ “เป็นการเขียนเรื่องที่คนเลวเหล่านั้นทำและความทุกข์ยากของชาวนาลงบนแผ่นกระดาษ หลังจากนั้นก็ส่งออกไปให้ทุกคนได้อ่าน…”

อย่าว่าแต่เขียนเลย กระทั่งอ่านหนังสือพิมพ์นางยังไม่เคย ดังนั้นจึงทำได้แต่เพียงเสนอแนวคิดแบบคร่าว ๆ เท่านั้น

ทว่าดวงตาของราชครูหลีที่จับจ้องไปทางกระดาษกลับยิ่งเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อย ๆ

ราชครูหลีเป็นขุนนางจากตระกูลยากจน และได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาด้วยมือของหนานกงสือเยวียนเอง อีกทั้งหลังจากได้อยู่ร่วมกับเหล่าองค์ชายและฮ่องเต้มานานถึงเพียงนี้ เขาย่อมต้องรู้ชัดแจ้งว่าฮ่องเต้เป็นคนเช่นไร

ครั้งนี้ฮ่องเต้ทำเพื่อประชาชน ทั้งยังใช้โอกาสนี้จัดการกับเหล่าตระกูลขุนนางที่นับวันยิ่งกำเริบเสิบสาน ทว่าชาวบ้านภายนอกไม่ได้รู้เรื่องราวเหล่านี้ ทั้งยังถูกเหล่าตระกูลขุนนางยุยงปลุกปั่น เขาที่อาศัยอยู่ภายนอกพระราชวังยิ่งสามารถทราบได้เป็นอย่างดีว่าคำพูดเหล่านั้นไม่น่าฟังถึงเพียงใด

สิ่งที่องค์หญิงน้อยกล่าวออกมานั้นเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย ทว่า “ต้นทุนที่ใช้สูงมากเกินไป กระดาษมีราคาแพง ทั้งยังต้องใช้คนเพื่อคัดลอก หากต้องการให้คนจำนวนมากทราบเรื่องราวภายในระยะเวลาอันสั้นย่อมไม่อาจเป็นไปได้”

เมื่อเวลาผ่านไปประสิทธิผลย่อมไม่ดี อีกทั้งไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นในระยะเวลาอันสั้นนี้

“สามารถทำได้”

ดวงตาของเสี่ยวเป่าเปล่งประกายระยิบระยับ “ราชครูหลีคงยังไม่รู้ กระดาษเหล่านี้ราคาถูกเป็นอย่างยิ่ง หากคิดว่าเสี่ยวเป่าพูดไม่จริงก็ไปหาพี่สามได้ ส่วนเรื่องคัดลอกก็ไม่จำเป็นต้องใช้คน พวกเราสามารถพิมพ์มันออกมาได้”

ราชครูหลี : …ยอดเยี่ยมนัก นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

เขามองดูองค์หญิงน้อย ยิ่งรู้สึกว่าองค์หญิงแปลกมากขึ้นทุกวัน ๆ อายุยังน้อยแต่กลับรู้เรื่องมากมาย

เสี่ยวเป่าย่นคอลงอย่างกินปูนร้อนท้องเมื่อเห็นสายตาที่จับจ้องมา

“ราชครูหลีมองข้าอย่างนั้นทำไมหรือ”

ราชครูหลีลูบเคราของตนเองแล้วพูดออกมา “เพียงแค่ประหลาดใจ องค์หญิงช่างรอบรู้ยิ่งนัก หรือว่าจะเป็นเทพธิดาลงมาจุติจากสวรรค์จริง ๆ”

เสี่ยวเป่า : …ข้าพูดมากเกินไปแล้วจริง ๆ

“ช่าง… ช่างมันเถิด” เสี่ยวเป่าตอบเสียงแผ่ว

นางดูเหมือนฉลาดขนาดนั้นเลยหรือ ดูเหมือนจะใช่ สาเหตุหลักเป็นเพราะนางประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ มากมายตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้

ไม่ต้องกล่าวถึงพืชผลที่เป็นความสามารถดั้งเดิมของนาง ของสิ่งอื่นนั้นแตกต่างออกไป สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นของผู้อื่น นางไม่ได้ฉลาดถึงเพียงนั้น แค่นางมีห้องสมุดอยู่ในมือ!

หลีรุ่นที่ได้ยินเสียงแผ่วเบาขององค์หญิงน้อยแทบจะดึงเคราของตัวเองหลุดติดมือ สีหน้าสงบนิ่งพังทลายเล็กน้อย

“หืม?”

ดวงตาทั้งสองสบต้องกัน หลังจากนั้นเสี่ยวเป่าก็เปลี่ยนหัวข้อไปทันที

“การพิมพ์เป็นเช่นนี้….”

เสี่ยวเป่าใช้ตราประทับมาเป็นตัวอย่างอธิบายให้เขาฟัง ยิ่งราชครูหลีฟังมากเท่าใดดวงตาก็ยิ่งเปล่งประกายมากเท่านั้น สุดท้ายถึงกับดึงเคราตัวเองหลุดออกมาหย่อมหนึ่ง

ทว่าเขากลับไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย บนใบหน้ามีรอยยิ้มผ่อนคลายอยู่

“เช่นนี้ ด้วยวิธีที่องค์หญิงกล่าวออกมาย่อมเป็นไปได้”

เสี่ยวเป่ารีบเร่งเร้าทันที “ถ้าเช่นนั้นพวกเรารีบลงมือทำกันเถิด เวลาไม่รอผู้ใด”

หากผ่านไปหนึ่งวันท่านพ่อของนางก็จะโดนว่าร้ายเพิ่มอีกหนึ่งวัน นั่นช่างไม่เป็นธรรมเลยสักนิด

ส่วนเรื่องจะจัดเรียงพิมพ์หนังสือตี้เป่าเช่นไร ภายในใจของหลีรุ่นคิดไว้แล้ว

ทว่าเขาไม่อาจทำคนเดียวได้อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงต้องหาคนมาช่วยเหลือ

เพียงไม่ช้าก็มีคนมาพบ

“ท่านราชครู”

เสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่งดังขึ้นมา ทำให้เสี่ยวเป่าที่กำลังเคี้ยวขนมจนแก้มตุ่ยพลันรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา

เมื่อเดินออกมาจากห้อง จึงพบว่าไม่ใช่เสียงเท่านั้นที่คุ้นหู แต่คนยังคุ้นตาอีกด้วย

“เป็นเจ้า!”

เสี่ยวเป่าแย้มยิ้มจนคิ้วเลิกขึ้นให้กับชายหนุ่ม

ฉินเฟิงรู้สึกตื่นตะลึงด้วยความคาดไม่ถึงเล็กน้อย “องค์หญิงเจาเสวี่ย”

นี่เป็นบัณฑิตยากไร้ในเมืองจวินโจวที่ถูกอวี๋จูจูฉุดไปในคราวนั้น

โชคดีที่ครั้งนั้นเขาได้รับการช่วยเหลือ หลังกล่าวอำลาเขาก็เดินทางต่อมายังเมืองหลวง ผ่านการสอบได้อย่างสำเร็จ

ตอนนี้เขาเป็นขุนนางอาลักษณ์ขั้นเจ็ด เทียบเท่าได้กับเป็นผู้ช่วยของที่ว่าการ เพราะความรู้ความสามารถและภูมิหลังอันเป็นตระกูลยากจนของเขา ราชครูหลีจึงเลื่อนขั้นให้ เมื่อครู่บ่าวรับใช้ของราชครูหลีมาตามหาแล้วบอกว่าราชครูหลีมีเรื่องให้ช่วย เขาจึงรีบมาในทันที

ราชครูหลีมีบุญคุณกับเขา อีกทั้งยังเปรียบเสมือนอาจารย์ ดังนั้นยามมีเรื่องให้ช่วยเขาจึงยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ในยุคสมัยนี้ อาจารย์กับบิดาแทบไม่ต่างอันใดกันนัก

หลีรุ่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “องค์หญิงกับศิษย์ของข้าผู้นี้รู้จักกันด้วยหรือ”

ฉินเฟิงรู้สึกตื่นตะลึงดีใจกับคำว่าศิษย์จากปากของราชครู ในช่วงที่ผ่านมานี้เขากำลังหัวหมุนกับการคิดว่าทำเช่นไรจึงจะสามารถฝากตัวเป็นศิษย์ได้โดยไม่ล่วงเกินราชครู ทว่าราชครูกลับเอ่ยออกมาราวกับล่วงรู้ความคิดในใจของเขา

ฉินเฟิงระงับความตื่นเต้นในใจลง แสดงท่าทางสุภาพเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยตอบกลับด้วยความนอบน้อม

“ท่านราชครู ยามศิษย์เดินทางผ่านเมืองจินโจวได้ประสบกับเรื่องไม่เป็นธรรม โชคดีที่ยามนั้นเซียวเหยาอ๋องและองค์หญิงเจาเสวี่ยได้ช่วยเหลือศิษย์เอาไว้ ทำให้ได้พูดคุยกันขอรับ”