War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1701
ตอนที่ 1,701 : ‘รวมวิญญาณ’

การจะแผ่สำนึกสติลงแหวนเพื่อใช้งานหยิบเก็บสิ่งของได้ จำต้องผูกพันธะโลหิตครองแหวนเสียก่อน

โดยทั่วไปแล้วพันธะครองแหวนเดิมจะสลายไป ก็ต่อเมื่อเจ้าของคนเก่ายินดีสลายพันธะเองหรือตกตายไปแล้วเท่านั้น คนอื่นถึงจะมีสิทธิ์ผูกพันธะครองแหวน เพื่อเปิดใช้งานแหวนได้

ทว่าแหวนวงนี้ในมือต้วนหลิงเทียนที่เจ้าของเดิมคือฉีจิ้ง…กลับไม่อาจผูกพันธะครองแหวนได้!

เช่นนั้นแล้วมีความเป็นไปได้ประการเดียวเท่านั้น

ฉีจิ้งยังไม่ตาย!

“เป็นไปไม่ได้!!”

ทว่าพอคิดถึงสาเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนก็คิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย!

เพราะในตอนที่เขาฆ่าฉีจิ้งนั้น เขาได้ใช้รังสีพลังกระบี่ ที่ยิงออกจากกระบี่สีทองที่ควบรวมจากกระบี่พลังนับหมื่นในเขตแดนอันสร้างจากปราณสุริยันที่ร้ายกาจ แถมยังผสานไว้ด้วยพลังลึกล้ำจาก เงาใจกระบี่สัมพันธ์ อันเป็นขั้นที่ 2 ของยอดใจกระบี่ กระทั่งยังควบรวมไปด้วยพลังดิบเถื่อนจากร่างกาย! ทำให้รังสีพลังกระบี่นั่นเปี่ยมล้นไปด้วยพลังทำลายสูงสุด แถมยังพุ่งทะลวงหว่างคิ้วจนทะลุออกหลังหัวฉีจิ้งไปแล้ว!!

หัวใจ หว่างคิ้ว คือจุดตายของมนุษย์!

หัวใจเป็นดั่งจุดศูนย์กลางของร่างกาย ส่วนหว่างคิ้วเป็นดั่งจุดศูนย์รวมของดวงจิต!

การทะลวงหว่างคิ้วก็ไม่ต่างจากการทำลายดวงจิต! และดวงจิตก็คือภาชนะในการกักเก็บวิญญาณ!

หากลงมือสังหารโดยการจู่โจมที่หัวใจนั้น ยังมีความผิดพลาดได้…เพราะบางคนมีหัวใจอยู่ในด้านที่แตกต่างจากผู้อื่น!

และในเวลานั้นหากต้วนหลิงเทียนไม่ฆ่าฉีจิ้งให้ตายในพริบตา มันอาจครองสติ ใช้พลังสะกดชีพจรหัวใจและเร่งกล่าวยอมแพ้ออกมาได้ทันเวลา

ดังนั้นเขาจึงไม่ลงมือยิงรังสีพลังไปที่อกเพื่อทำลายหัวใจฉีจิ้ง เพราะเขาไม่กล้าเสี่ยง!

ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกวิธีสังหารที่แน่นอนที่สุด ยิงรังสีพลังกระบี่ไปทะลวงหว่างคิ้ว ทำลายดวงจิต…กระทั่งรังสีพลังยังสมควรทะลวงก้านสมองของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ!

‘ตอนที่ข้าลงมือเสร็จข้ายังแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบขณะชิงแหวนพื้นที่มันมาด้วยซ้ำ…ดวงจิตมันแตกสลายแล้วแน่นอน กลิ่นอายวิญญาณก็กระจัดกระจายจางหายไปในสวรรค์และโลก พลังชีวิตมันก็ดับลงแล้วชัดๆ…แต่ทำไมพันธะครองแหวนยังไม่สลายกัน!?’

ใบหน้าต้วนหลิงเทียนเริ่มบิดเบี้ยวอัปลักษณ์

ในแหวนของฉีจิ้งสมควรมีทรัพยากรบ่มเพาะอันดีมากมาย เพราะในนั้นสมควรมีแหวนพื้นที่ของหลวงจีนลายบุปผา จิ้งชวีจื่อและจงกู้รวมอยู่ด้วย! แต่ต้วนหลิงเทียนไม่อาจหยิบพวกมันออกมาใช้ได้เลย เพราะเขาไม่อาจผูกพันธะครองแหวนได้!!

และหลังจากที่เขาคิดทบทวนดีแล้ว ก็เหลือความเป็นไปได้ประการเดียวเท่านั้น

ฉีจิ้งยังไม่ตาย!!

“ผู้เฒ่าหั่ว!”

ต้วนหลิงเทียนที่ไม่เชื่อว่าฉีจิ้งยังไม่ตาย รีบเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาผู้เฒ่าหั่วที่อยู่ในชั้นแรกของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที เพราะมันเกินความเข้าใจของเขาไปแล้วจริงๆ!

ครั้งยังรุ่งโรจน์ผู้เฒ่าหั่วก็คือวิหกเทพสุริยัน อีกาทองคำ 3 ขาในตำนาน! สมควรมีองค์ความรู้มากมายเหนือจินตนาการเขา!!

หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเล่าเรื่องราวและถามผู้เฒ่าหั่วว่าเพราะอะไรพันธะแหวนถึงไม่คลาย ผู้เฒ่าหั่วพลันกล่าวถามออกมาทันที “เมื่อครู่เจ้าบอกว่า…มันเป็นผู้บ่มเพาะสายมารงั้นเหรอ?”

“ใช่แล้วท่านผู้เฒ่าหั่ว”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าค่อยกล่าวสืบต่อ “จากที่ข้ารู้มา ปีที่แล้วฉีจิ้งยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกมาร แถมยังพึ่งมีพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นต้นด้วยซ้ำ…ทว่าหลังผ่านไป 1 ปี วันนี้มันไม่เพียงแต่จะกลายเป็นผู้ฝึกมาร แต่ยังมีพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!”

อันที่จริงความก้าวหน้าของฉีจิ้ง ยังทำให้ต้วนหลิงเทียนตกตะลึงไม่น้อย

ต้องทราบด้วยว่ากระทั่งตัวเขาเองที่มีความช่วยเหลือของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติที่ทำให้มีบรรยากาศเหมาะแก่การบ่มเพาะสั่งสมพลัง กระทั่งกาลเวลาด้านในยังช้ากว่าด้านนอกถึง 5 เท่า ทำให้ 5 วันในเจดีย์เท่ากับ 1 วันด้านนอก แต่เขาก็ไม่มั่นใจเลยว่าจะบ่มเพาะพลังจากเซียนขัดเกลาขั้นต้นไปถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ในเวลา 1 ปี…

เพราะก่อนที่จะเริ่มการประลองยอดนักรบ ใน 1 ปีนั้นหากตัดเวลาเดินทางออกไป เขาก็มีเวลาบ่มเพาะพลังถึง 4 ปี! ถึงเขาจะทุ่มเวลาไปกับการพยายามทำความเข้าใจขอบเขตที่ 2 ของยอดใจกระบี่ แต่ก็ยังมีเวลาฝึกปรือมากมาย อีกทั้งหลังบรรลุด่านพลังเขาก็ต้องใช้เวลาปรับพื้นฐานทำให้ด่านพลังมั่นคง จึงทำได้แค่ทะลวงจากเซียนดั้งเดิมขั้นต้นมาถึงเซียนดั้งเดิมขั้นกลางเท่านั้น

แน่นอนว่าแม้ต้วนหลิงเทียนจะอยู่ในขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นกลาง แต่ก็เจียนทะลวงถึงเซียนดั้งเดิมขั้นเชี่ยวชาญเต็มที

นอกจากนี้พลังฝีมือของเขาก็ทัดเทียมกับจุดสูงสุดของเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!

เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากความจริงที่ว่าเขาลงมือสังหารฉีจิ้งได้!

“ภายในเวลาสั้นๆ แต่มันที่กลายเป็นผู้ฝึกมารสามารถบรรลุพลังถึงขนาดนี้ได้…ข้าคิดว่ามันสมควรบำเพ็ญพลังด้วยเคล็ดวิชามารระดับสูง อีกทั้งสมควรมีเคล็ดรวมวิญญาณเป็นส่วนหนึ่งของวิชาบ่มเพาะ”

เสียงผู้เฒ่าหั่วดังขึ้นรวดเดียวจบ

“เคล็ดรวมวิญญาณหรือ?”

ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงทันใด เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องนี้

“มิผิด เคล็ดรวมวิญญาณ”

ผู้เฒ่าหั่วกล่าวอธิบายสืบต่อ “ต่างจากผู้เดินบนหนทางแห่งยุทธ์ โดยมากแล้วเคล็ดบำเพ็ญพลังของผู้เดินบนหนทางมารกระทั่งผู้แสวงหาเต๋าระดับสูงๆ ล้วนมีเคล็ดรวมวิญญาณแฝงอยู่ทั้งสิ้น…และเคล็ดรวมวิญญาณที่ว่า ก็เป็นวิชาที่ทำให้สามารถรวบรวมวิญญาณที่แตกสลายกระจัดกระจายไปในฟ้าดินให้ฟื้นคืนกลับมาได้อีกครั้ง…แน่นอนว่ามันจำต้องใช้เวลากว่าจะฟื้นฟูสมบูรณ์”

“แล้วมันจะกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งงั้นเหรอ? ทั้งๆที่ก้านสมองของมันก็สมควรถูกข้าสะบั้นไปแล้ว?”

ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าด้วยความตื่นตระหนก

“เจ้าจะว่าเช่นนั้นก็ได้…ผู้ฝึกมารตายยากกว่าที่เจ้าคิด แถมก้านสมองมันเพียงขาดมิได้ถูกทำลายจนสลายไปสิ้น ย่อมรักษาได้”

เสียงผู้เฒ่าหั่วดังขึ้นอีกครั้ง

ได้ยินวาจานี้ของผู้เฒ่าหั่ว สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็มืดดำลงทันใด “เช่นนั้นหมายความว่าไม่เพียงแต่ดวงวิญญาณที่กระจัดกระจายหายไปของฉีจิ้งจะหวนกลับมารวมตัวด้วยเคล็ดรวมวิญญาณนั่นได้อีกครั้ง…แต่มันยังสามารถฟื้นคืนชีพกลับมาได้…”

“เรื่องพรรค์นี้มันเป็นไปได้ยังไงกัน!!”

หลังจากกล่าวบ่นออกมาสีหน้าต้วนหลิงเทียนก็เคร่งเครียดขึ้นถึงขีดสุด

เขาดั้นด้นเดินทางไปนับพันนับหมื่นลี้เข้าร่วมการประลองยอดนักรบเพื่อฆ่าฉีจิ้ง คลี่คลายวิกฤติให้หานเฉวี่ยไน่!

แต่ทั้งที่ลงมือฆ่าฉีจิ้งไปแล้ว ไฉนผลลัพธ์ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?

‘บ้าจริง ตอนนี้ลุงหานคิดว่าฉีจิ้งตกตายไปแล้ว เลยตื่นเต้นดีใจครั้งใหญ่…หากท่านลุงรู้ว่ามันยังไม่ตาย ไม่รู้จะเสียใจและผิดหวังขนาดไหน!’

ยิ่งมาสีหน้าต้วนหลิงเทียนยิ่งอัปลัษณ์ปั้นยากขึ้นเรื่อยๆ

ต้วนหลิงเทียนซึ่งแต่เดิมวางแผนจะไปบอกข่าวดีกับหานเฉวี่ยไน่ แต่พอได้รู้ว่าฉีจิ้งยังไม่ตายเขาก็ไม่คิดไปหาหานเฉวี่ยไน่อีก เลือกที่จะพุ่งร่างออกจากคฤหาสน์คลื่นขจีทันที

ตอนนี้เขาต้องการที่เงียบๆเพื่อสงบอารมณ์และเรียบเรียงความคิด

“จริงสิผู้เฒ่าหั่ว ที่ท่านบอกว่าเคล็ดรวมวิญญาณจำต้องใช้เวลาเพื่อฟื้นฟูวิญญาณ…แล้วมันต้องใช้เวลานานเท่าไรเหรอ?”

ต้วนหลิงเทียนที่นึกอะไรขึ้นได้ รีบกล่าวถามผู้เฒ่าหั่วอีกครั้ง

“จักใช้เวลานานเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับระดับของเคล็ดวิชารวมวิญญาณที่มันมี เพราะเคล็ดวิชาสายนี้ก็แตกแขนงออกไปหลากหลายนัก…แต่เท่าที่ข้ารู้ ต่อให้เป็นเคล็ดรวมวิญญาณที่เลิศล้ำที่สุด แม้พลังฝึกปรือจะพึ่งอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด แต่นั่นก็ต้องใช้เวลารวบรวมวิญญาณที่กระจัดกระจายสลายไปอย่างน้อยๆปีครึ่ง…หลังจากนั้นมันถึงจะฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง”

ผู้เฒ่าหั่วกล่าวออกมารวดเดียวจบ

“อย่างน้อยๆ ปีครึ่งงั้นเหรอ?”

พอต้วนหลิงเทียนได้ยินคำตอบครั้งนี้ เขาก็โล่งใจทันที

เพราะตอนนี้สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คือฉีจิ้งสามารถฟื้นคืนชีพได้ในเวลาอันสั้นและกลับมาจัดงานแต่งได้ทันกำหนดการเดิม

แต่ตอนนี้ดูเหมือนในช่วงเวลาสั้นๆมันไม่อาจฟื้นตัวได้ แน่นอนว่างานแต่งที่กำหนดไว้แล้วก็จำต้องถูกล้มเลิก!

ต้วนหลิงเทียนจึงโล่งใจได้เป็นการชั่วคราว

“อย่างน้อยๆปีครึ่ง…และนั่นเป็นเคล็ดรวมวิญญาณที่ดีที่สุดเท่าที่ผู้เฒ่าหั่วรู้จัก! เคล็ดวิชาที่ฉีจิ้งมี ไม่มีวันดีถึงขนาดนั้นแน่ๆ! มันต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ 2-3 ปีในการฟื้นตัว!”

พอคิดอย่างนี้ต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความมั่นใจขึ้นมา

อย่างไรก็ตามแววตาของเขายิ่งมายิ่งคมกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ ‘ฉีจิ้ง ข้าไม่คิดเลยว่าขนาดนี้แล้วเจ้ายังไม่ยอมตาย! แต่ข้าฆ่าเจ้าได้ครั้งหนึ่ง ข้าก็ต้องฆ่าเจ้าได้อีกเป็นครั้งที่สอง! ทั้งการจะฆ่าเจ้าอีกครั้งหลังผ่านไป 2-3 ปี คงง่ายยิ่งกว่าตัดหญ้าฆ่าไก่ไล่เตะสุนัข!!’

เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความมั่นใจนัก

อีก 2-3 ปีหลังจากนี้แม้ฉีจิ้งจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาหลังรวมวิญญาณได้สมบูรณ์ แต่ด่านพลังฝึกปรือของมันก็ยังอยู่ในขอบเขตเดิมกับตอนที่ตกตายไป

ถึงตอนนั้นต้วนหลิงเทียนย่อมสามารถฆ่ามันได้อีกครั้ง!

เพราะในอีก 2-3 ปีหลังจากนี้ ฉีจิ้งยังย่ำอยู่กับที่ แต่ต้วนหลิงเทียนไม่ทราบจะก้าวหน้าไปถึงไหน ฆ่ามันนับเป็นอะไรที่ง่ายดาย!!

‘ถึงตอนนั้นข้าจะใช้ตัวตนลี่เฟิงบุกไปฆ่ามันให้ตาย…ใครถามข้าก็จะอ้างว่าเพราะตอนแรกข้าคิดฆ่ามันในการประลองให้ได้! แต่สุดท้ายกลับไม่สำเร็จจึงทำให้เกิดมารในใจขัดขวางการก้าวหน้าพลังฝึกปรือของข้า…ด้วยเหตุนี้จึงต้องฆ่ามันเพื่อขจัดมารในใจ! ทีนี้ก็ยากที่ใครจะโยงมาถึงคฤหาสน์คลื่นขจีได้!’

ยิ่งคิดต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งมั่นใจ

เพราะหากเขาทำแบบนี้ไม่มีทางที่ใครจะโยงเรื่องนี้มาถึงคฤหาสน์คลื่นขจีได้เลย

ดังนั้นไม่มีทางที่เขาจะทำให้คฤหาสน์คลื่นขจีเดือดร้อน

‘ยังไงเสียงานแต่งที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องกำหนดไว้ ก็เหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวเท่านั้น…ด้วยวิญญาณของฉีจิ้งยังกระจัดกระจายแบบนี้ มันไม่มีทางแต่งกับเฉวี่ยไน่ได้แน่ ถ้างั้นหมายความว่าเฉวี่ยไน่สมควรปลอดภัยไร้เรื่องราวกวนใจไป 2-3 ปี’

พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

หากมองแบบนี้เท่ากับการดั้นด้นเดินทางไปเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของเขา ไม่ใช่การเดินทางที่สูญเปล่าแล้ว

เมื่อสรุปความได้ ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะไปหาหานเฉวี่ยไน่ทันที

“พี่ใหญ่หลิงเทียน!!”

เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง หานเฉวี่ยไน่ก็เต็มไปด้วยความยินดี ใบหน้าน้อยๆที่มักจะทุกข์เศร้าหมองซึมกลายเป็นแย้มยิ้มทันที

เพียงแต่ในรอยยิ้มยังแฝงเร้นไว้ด้วยความระทมใจ…

“พี่ใหญ่หลิงเทียน ตลอดปีที่ผ่านท่านไปไหนมาหรือ?”

หานเฉวี่ยไน่ไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนพูดอะไร พลันยิงคำถามออกมาทันที

“อ้อ…ข้าไปเที่ยวแถวๆเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมาน่ะ”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะ

“ท่านไปเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมา!?”

พอหานเฉวี่ยไน่ได้ยินคำ คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ยิ้มบนใบหน้าพลันชะงักค้างทันที คำนี้เสมือนคำต้องห้ามสำหรับนาง

เพราะสุดท้ายแล้วอีก 1 เดือนหลังจากนี้ นางต้องแต่งกับตัวบัดซบอย่างนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่น

เมื่อเห็นว่าใบหน้าของหานเฉวี่ยไน่กลายเป็นเจ็บปวด แถวแววตายังเศร้าซึมหม่นหมอง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดหยอกล้ออะไรอีก เพียงเปิดประตูเห็นภูผากล่าวออกทันที “เฉวี่ยไน่เจ้าไม่ต้องกังวลอีกแล้ว นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่นไม่อาจมาแต่งงานกับเจ้าได้อีกต่อไป…เพราะมันตายคาการประลองจัดอันดับยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องไปแล้ว”

สิ้นคำนี้ของต้วนหลิงเทียน หานเฉวี่ยไน่ถึงกับตกตะลึงอึ้งไปจนคล้ายลืมวิธีหายใจ!

ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องตายแล้ว?

ยังตายในการประลองจัดอันดับยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง?

สำหรับหานเฉวี่ยไน่แล้ว ข่าวนี้เป็นข่าวอันใหญ่หลวงประหนึ่งฟ้าถล่มก็ไม่ปาน นางย่อมตื่นตระหนกตกใจทั้งสับสน

แต่วาจาของพี่ใหญ่หลิงเทียนนั้น นางไม่คิดคลางแคลงสงสัย!

แม้นางยังไม่ทราบว่าฉีจิ้งตกตายเพราะใคร แต่ข่าวอันประหลาดใจนี้นับว่ามาโดยที่นางไม่ทันตั้งตัวแล้วจริงๆ!

ต้วนหลิงเทียนเฝ้ามองสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปตั้งแต่แรกของหานเฉวี่ยไน่ด้วยรอยยิ้มเอ็นดู

ตอนแรกนางเศร้าโศกนัก ต่อมาจึงกลายเป็นอื้ออึงสับสน สุดท้ายก็กลับกลายเป็นตื่นเต้นดีใจ

ต้วนหลิงเทียนพลันลอบทอดถอนในใจ และตัดสินใจว่าจะไม่กล่าวถึงเรื่องที่ฉีจิ้งยังไม่ตายออกมากับเฉวี่ยไน่

เพราะสุดท้ายแล้ว วิกฤตการณ์ครั้งนี้ก็คลี่คลายลงไปเป็นการชั่วคราว

“พี่ใหญ่หลิงเทียนความตายของมัน…ท่านมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยใช่หรือไม่?”

ถึงแม้หานเฉวี่ยไน่จะคิดว่าความคิดนี้ของตัวเองก็แปลกไปหน่อย แต่นางกลับมีสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่าการตายของฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง อาจเกี่ยวข้องกับพี่ใหญ่หลิงเทียนของนาง

เพราะหากนับจากเวลา การประลองจัดอันดับยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องสมควรพึ่งจบไปไม่นาน

“ใช่”

กับหานเฉวี่ยไน่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะปิดบังอะไร พยักหน้ารับทั้งยิ้มกล่าว “ปีที่แล้วหลังจากที่ข้าออกจากคฤหาสน์คลื่นขจี ข้าก็มุ่งหน้าไปเขตอิทธิพลหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องทันที ข้ายังเปลี่ยนไปใช้ใบหน้าปลอมหน้าใหม่แถมใช้นามแฝงว่าลี่เฟิง เพื่อเข้าร่วมการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง…และข้าก็ฆ่ามันในการประลองนั่นล่ะ! แถมเมื่อมันตายไปแบบนี้ ยอมไม่มีทางที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะโยงการตายของมันมาถึงคฤหาสน์คลื่นขจีได้แน่นอน!!”