บทที่ 301 โลกของเราสองคน

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

วารุณีคิดขึ้นมาได้ นัทธีก็คิดขึ้นมาได้เช่นกัน

เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยจ้องไปที่ประตูคฤหาสน์สักพัก จากนั้นหยิบคีย์การ์ดออกมา แล้วเปิดประตูคฤหาสน์

“ไม่ว่าอย่างไร เข้าไปดูก็รู้เอง”นัทธีเก็บคีย์การ์ดแล้วพูด

วารุณีคิดว่าก็ใช่ จึงพยักหน้า แล้วตามหลังเขาเข้าไปในคฤหาสน์

ด้านในคฤหาสน์เงียบ และมืดเล็กน้อย

นัทธีไม่ได้เปลี่ยนรองเท้า เดินเข้าไปที่สวิตช์เปิดปิดไฟฟ้าโดยตรง จากนั้นเปิดไฟ

ตอนที่ไฟเปิด ก็มีเสียงตู้มดังขึ้นมา

นัทธีคิดว่าเป็นอะไรระเบิดเสีย รูม่านตาก็หดลง จับวารุณีมาไว้ในอ้อมแขนโดยไม่รู้ตัว เพื่อปกป้องเธอ

จนกระทั่งเขาเห็นกากเพชรกับเลื่อมสีสันสดใสตกลงมากลางฟ้า เขาจึงเข้าใจว่าเมื่อครู่นั้นไม่ใช่ของอะไรระเบิด แต่เป็นเสียงที่ดอกไม้ไฟจุดออกมา

นัทธีเงยหน้ามองดอกไม้ไฟที่ยังหล่นลงมา ใบหน้าอันหล่อเหลาก็หม่นลง

“นัทธี อะไรเหรอ?”วารุณีถูกเขากดหัวลง จึงมองไม่เห็นด้านนอกว่าเกิดอะไรขึ้น ถามออกไปอย่างร้อนรน

เธอก็คิดว่ามีอะไรเกิดขึ้น

“ไม่มีอะไร”นัทธีปล่อยวารุณีออก ตอบกลับเสียงหม่น

วารุณีถอยออกมาจากอ้อมแขนของเขา ลืมตาขึ้นมาแล้วรีบมองไปรอบๆ มองดอกไม้ไฟที่หัวกับไหล่ของชายหนุ่ม ดวงตาเบิกโตขึ้นมา ทันใดนั้นก็เข้าใจทุกอย่าง จากนั้นจึงปิดปากแล้วหัวเราะ

นัทธีมองเธอที่หัวเราะอย่างสวยงาม ริมฝีปากบางๆเม้มลง“หัวเราะอะไร?”

“เปล่า ฉันแค่คำการตอบสนองของคุณเมื่อกี๊ เวอร์ไปมาก ก็แค่จุดดอกไม้ไฟ กลับคิดว่าเป็นอะไรอันตรายระเบิด ฮ่าฮ่าฮ่า”ยิ่งพูดก็ยิ่งตลก วารุณีกุมท้องไว้ หัวเราะเสียงดังมากขึ้น

ความโกรธปรากฏบนใบหน้าของนัทธี แป๊บเดียวก็หายไป ปัดดอกไม้ไฟที่ไหล่ลงไป แล้วส่งเสียงเย็นชาออกไป:“ป้าส้มใช้อุบายหลอกล่อพวกนี้เป็นซะด้วย โอเค เข้าไปเถอะ”

พูดจบ เขาก็ทิ้งเธอไว้ ก้าวเท้าเดินไปที่ห้องรับแขก

วารุณีรู้ว่าเขาเขินที่ถูกเธอหัวเราะใส่ มองแผ่นหลังของเขา เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากขอบตา จากนั้นก้าวเท้าตามเข้าไป

เนื่องจากตาไปเร็วเกิน ตอนที่ถึงห้องรับแขก เธอก็ไม่ได้หยุดฝีเท้าลง ทำให้ตัวไปชนกับแผ่นหลังของนัทธี ซนจนเซ เกือบจะล้มลงไป

ดีที่สุดท้ายเธอจับโซฟาไว้อยู่ ทำให้ร่างนั้นอยู่คงที่ทันเวลา จึงไม่ขายขี้หน้า

“คุณทำอะไรเนี่ย ทำไมจู่ๆก็หยุดลง?”วารุณีจ้องแผ่นหลังของชายหนุ่มอย่างไม่พอใจ

ชายหนุ่มไม่พูด มองทุกอย่างตรงหน้าด้วยสีหน้าหม่นๆ

วารุณีสังเกตเห็นอะไร ก็เดินออกมาจากด้านหลังเขา และตามไปดู

มองเห็นฉากตรงหน้า เธอก็อ้าปากกว้าง ก็ตะลึงไปหมด“เอ่อ……นี่……”

ก็เห็นว่าทั้งห้องรับแขกถูกประดับไปด้วยริบบิ้นต่างๆ และยังมีไฟประดับเต็มไปหมด

ไฟประดับก็สว่างขึ้นมาจากตอนที่นัทธีเปิดไฟ แสงไฟสีต่างๆส่องประกายแวบวับ ทำให้คนมองดูแล้วละลานตาพร่ามัวไปหมด

นอกจากพวกนี้แล้ว ที่ทำให้วารุณีพูดไม่ออกที่สุด ก็คือป้ายที่แขวนไว้บนบันได ด้านบนเขียนว่า:สุขสันต์วันแต่งงานของคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงนะคะ!

“ที่แท้ นี่ก็คือเซอร์ไพรส์ที่ป้าส้มบอก”วารุณีจับหน้าผากอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

หางตาของนัทธีกระตุกไปมา ริมฝีปากบางๆค่อยๆพูดคำหนึ่งออกมาว่า“ล้าสมัย!”

วารุณีหัวเราะ:“การตกแต่งนี้เมื่อเทียบกับคฤหาสน์แล้ว ไม่เข้ากันจริง ดูล้าสมัยเล็กน้อย แต่ว่านี่เป็นน้ำใจของป้าส้มนะ”

นัทธีไม่พูดใดๆ

เขารู้แน่นอนว่านี่คือน้ำใจของป้าส้ม ไม่อย่างนั้นเขาก็ฉีกพวกนี้ทิ้งไปนานแล้ว

วารุณีเริ่มเดินรอบห้องรับแขก ดูการจัดแต่งพวกนี้ ดูไป ก็เดาไป“คงไม่ได้แต่งทั้งคฤหาสน์หรอกนะ?”

พอได้ยิน ขมับของนัทธีก็ปูดออกมา จากนั้นเดินไปข้างบน

วารุณีรู้ว่า เขาน่าจะไปดูว่าห้องด้านบนจัดอะไรไว้หรือไม่ จึงรีบตามขึ้นไป

ตามมาถึงที่ห้อง วารุณีก็มองฉากในห้อง ทั้งๆที่ในใจนั้นทำใจไว้แล้ว แต่เวลานี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจ

ผ้านวมสีแดงแจ๊ด ถั่วลิสงและลำไยที่อยู่บนผ้านวม และยังมีคำว่ายินดีตัวใหญ่ๆบนกำแพงอีกนั่นมันห่าอะไรเนี่ย?

โคตรเชยเลย!

เกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ของป้าส้มนั้น ยังหยุดอยู่ในศตวรรษที่แล้วสินะ

วารุณีขำสุดๆ เงยมองชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้าง

หน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มดำลงจนแทบจะเป็นถ่าน ชัดเจนว่าเหนื่อยกับความสวยงามของป้าส้มสุดๆ

“นัทธี ใจเย็น นี่คือน้ำใจของป้าส้ม พวกเรารับไว้เถอะ”วารุณีกลัวชายหนุ่มจะโกรธจริงๆ แล้วเข้าไปแกะพวกนี้ออก จึงรีบจับมือของชายหนุ่มแล้วพูด

ริมฝีปากบางๆของชายหนุ่มเม้มเป็นเส้นตรง“ไปเถอะ ลงไปก่อน”

วารุณีตอบอือ คล้องแขนของเขา แล้วลงไปด้านล่างกับเขา

พอลงมา ทั้งสองคนก็ไปที่ห้องทานอาหารอีก

ถึงแม้ห้องทานอาหารจะตกแต่งด้วย แต่เทียบกับห้องนอนแล้ว ในนี้สวยกว่ามาก มีดอกกุหลาบ มีเทียน และยังมีจานสองใบ บนจานนั้นมีฝาปิดไว้ ข้างๆมีมีดกับส้อมและไวน์แดง

ดูเหมือนว่า นี่จะเป็นมื้อเย็นใต้แสดงเทียนที่ป้าส้มเตรียมให้พวกเขา

วารุณีดึงดอกกุหลาบออกมาแล้วพูดขำๆ:“ในที่สุดสุนทรียศาสตร์ของป้าส้ม ก็ขยับขึ้นมาแล้ว”

นัทธีตอบอือ ไม่พูดอะไร ทันใดนั้นดวงตาก็มองเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ทับอยู่ใต้ไวน์แดง จึงยื่นมือไปหยิบขึ้นมา

“เขียนอะไรเหรอ?”วารุณียื่นหน้าไปอย่างอยากรู้อยากเห็น

นัทธียื่นใบที่เขียนตัวหนังสือให้เธอ

วารุณีรับไว้ ก้มหน้าลงอ่าน ก็เห็นด้านบนเขียนไว้ว่า:คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง ชอบเซอร์ไพรส์ที่ฉันเตรียมให้พวกคุณไหมคะ?

มองเห็นประโยคนี้ มุมปากของวารุณีก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกขึ้นมา

ในใจก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากจะอ้วกออกมา:ไม่ได้ชอบเลย แต่ตกใจน่ะตกใจแน่นอน

วารุณีลูบคิ้ว แล้วอ่านต่อไป:วันนี้เป็นวันแต่งงานวันแรกของพวกคุณ ป้ากับคุณหญิงวรยาพาเด็กทั้งสองไปพักที่คอนโดนะคะ ส่วนที่คฤหาสน์ก็ให้พวกคุณอยู่ในโลกที่มีแค่พวกคุณสองคน ขอให้พวกคุณมีความสุข ป้าส้มเอง!

ท้ายสุดยังมีอิโมจิรูปยิ้มอันหนึ่งด้วย

วารุณีวางโน้ตนั้นลง“ไม่น่าล่ะแม่บอกว่าไม่ให้พวกเราไปรับเด็กๆ ที่แท้ก็แบบนี้เอง”

นัทธีลากเก้าอี้ออกให้เธอ“แบบนี้ก็ดี งั้นคืนนี้พวกเราก็อยู่กับโลกที่มีแค่เราสองคนกันให้หนำใจเลย”

ได้ยินคำนี้ หน้าเล็กๆของวารุณีแดงขึ้นทันที นั่งลงไป

นัทธีดึงเก้าอี้ตรงข้ามเธอ แล้วนั่งลงด้วย จากนั้นเปิดฝาบนจานทั้งสองที่อยู่บนโต๊ะ

ในจานมีสเต๊กสองชิ้น ดูแล้วน่าจะอร่อยมาก

ถึงจะเย็นแล้ว แต่สเต๊กแบบนี้กินเย็นได้ไม่มีปัญหา และก็ไม่ส่งผลใดๆต่อรสชาติ

นัทธียื่นผ้าเช็ดปากผืนหนึ่งให้วารุณี

วารุณียื่นมือออกไป กำลังจะรับไว้ จู่ๆโทรศัพท์ของนัทธีก็ดัง

“ขอโทษนะ ผมไปรับสายก่อน”เขารีบเอาผ้าเช็ดปากยัดใส่มือของเธอ จากนั้นหยิบโทรศัพท์ออกมา

เห็นเป็นพิชิตโทรมา เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นกดปุ่มรับสาย เอาโทรศัพท์แนบไว้ข้างหู“ฮัลโหล?”

“นัทธี แย่แล้ว เกิดเรื่องกับนวิยาแล้ว”ในสายนั้นมีเสียงที่ร้อนรนของพิชิตเข้ามา

นัทธีกำผ้าเช็ดปากในมือแน่น“แกพูดอะไรนะ?พูดให้ชัดเจนหน่อย นวิยาเป็นอะไร?”

ได้ยินเขาพูดถึงนวิยา วารุณีที่กำลังเอาผ้าเช็ดปากใส่ไปที่คอก็หยุดลง หน้าตาแข็งทื่อขึ้นมาทันที เงยมองไปที่เขา“คุณนวิยาเป็นอะไร?”

นัทธีไม่ได้ตอบคำถามของเธอ แต่รอการตอบกลับของพิชิตด้วยสีหน้าที่เกร็งอย่างมาก

ที่ตัวพิชิตสวมชุดปลอดเชื้อ กำลังเดินไปที่ห้องฉุกเฉิน ก็พูดอย่างรีบร้อนไปว่า“นวิยาดื่มเหล้า และอ้วกเป็นเลือด ตอนที่ถูกพยาบาลพบ ก็หายใจรวยรินแล้ว ตอนนี้ช่วยอยู่ในห้องฉุกเฉิน”

“ดื่มเหล้า?”นัทธีกัดฟันกราม“ทำไมเธอต้องดื่มเหล้า?”

“ทำไม?”ในแววตาของพิชิตที่อยู่หลังแว่น มีความดูถูกแวบเข้ามา“ยังจะทำไมอะไรได้อีกล่ะ เพราะว่าวันนี้แกแต่งงานไง!”

คำนี้ทำให้นัทธีพูดไม่ออก

ผ่านไปประมาณสองวินาที เขาหลับตาลง แล้วตอนที่ลืมตามาอีกครั้ง ในแววตานั้นลึกซึ้ง เหมือนว่าตัดสินใจอะไร ดันเก้าอี้ออกแล้วยืนขึ้นมา

วารุณีเห็นการกระทำของเขา ก็ตระหนักได้ทันที อ้าปากออกมา ถามเสียงกร่อยไปว่า“คุณจะไปโรงพยาบาลเหรอ?”