บทที่ 318 จักรพรรดิให้เซี่ยเชียนดูแลสำนัก
บทที่ 318 จักรพรรดิให้เซี่ยเชียนดูแลสำนัก
การพ้นโทษของตู้เหิงก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในพระราชสำนัก
ช่วงนี้ขุนนางตู้ทำตัวไม่ให้เป็นที่สนใจนัก ในวันธรรมดาเขาจะไม่ค่อยไปมาหาสู่กับเหมิงฉิงเท่าไรนอกจากนี้ท่านอ๋องน้อยก็ไม่อาจแสดงความเฉียบขาดในราชสำนักเพื่อช่วยเหลือบุตรสาวคนโตของขุนนางตู้ได้อย่างเปิดเผย
ผู้คนทั้งหมดในราชสำนักยังคงทำได้แค่คาดเดาในใจ หรือเป็นเพราะช่วงนี้เซี่ยเชียนเคลื่อนไหวมากเกินไป ฝ่าบาทจึงตรัสเรียกเขาไปตำหนิ
วันนี้ตรงกับการประชุมที่จะจัดขึ้นหนึ่งครั้งในทุก ๆ สิบวัน หลังจากได้รับฟังพระราชโองการ ขุนนางทุกคนก็ได้เริ่มประชุมหาข้อคิดเห็น
ขุนนางสกุลหลี่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางใหม่ในรอบฤดูใบไม้ผลิ เนื่องจากเขามีวาทศิลป์จึงได้รับเลือกจากจักรพรรดิแต่งตั้งเขาเป็นข้าหลวง
คำพูดของใต้เท้าหลี่ไม่ได้รุนแรงนัก แต่ดูจะหนักเเน่นเป็นพิเศษ “ทูลฝ่าบาท กรณีที่ตกจากหลังม้าในวังเมื่อเดือนก่อน แม้จะพบตัวผู้กระทำผิดแล้ว ทว่าใต้เท้าเซี่ยไม่ได้เข้มงวดต่อเรื่องนี้ ขอฝ่าบาททรงตักเตือนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หลังรับฟังเรื่องนี้ พระองค์ก็ได้เงยพระพักตร์ขึ้นมา แต่ไม่ได้กล่าวอะไร
เซี่ยเชียนยังคงนิ่งเฉยราวกับว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเอง เขาได้แต่จ้องมองบันไดหยกที่ตั้งตระหง่านด้านหน้าอย่างไม่ละสายตา
หลังจากที่ใต้เท้าหลี่กล่าวเสร็จ ความเงียบงันก็ปกคลุมไปทั่วท้องพระโรง บรรยากาศรอบด้านเต็มไปด้วยความอึดอัด
โชคดีที่ขุนนางผู้เป็นสหายสนิทกับเขากล่าวออกมาว่า “กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งจากกรมกลาโหมที่มีความร้าวฉานกับเจียงหนิงก็กล่าวขึ้น “ในกรณีของบุตรีขุนนางตู้ เซี่ยเชียนจับกุมนางโดยพลการ คุมขังไว้ในจวนของท่านแม่ทัพ และทรมานนางเพื่อให้ได้คำสารภาพมา การกระทำเช่นนี้ขัดกับกฎของบ้านเมืองอย่างยิ่ง ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาพ่ะย่ะค่ะ”
เนื่องจากเป็นการประชุมใหญ่ของราชสำนัก เจียงหนิงที่ยืนอยู่หน้าพลทหารจึงได้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย ครั้นได้ยินเช่นนี้ก็เงยหน้าขึ้น
ทันทีที่สิ้นเสียงของขุนนางผู้นั้น นายทหารที่อยู่ในแถวบางคนก็ไม่เห็นด้วย “ใต้เท้าท่านนี้พูดจาไร้สาระยิ่งนัก เดือนนี้ทั้งเดือนท่านแม่ทัพออกไปปฏิบัติหน้าที่แต่เช้าตรู่ทุกวัน จะเอาเวลาไหนไปทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้เล่า”
ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะอย่างเย็นชา “ข้าไม่กล้าตำหนิท่านแม่ทัพหรอก อย่างไรแล้วท่านแม่ทัพก็เป็นคนสำคัญของเมือง จะมีใครเล่ากล้าติเตียน”
แม่ทัพขมวดคิ้ว แม้ภายในใจรู้สึกว่าคำพูดฝ่ายตรงข้ามช่างไม่รื่นหู แต่ก็ไม่รู้ว่าตรงไหนที่ไม่น่าฟัง
ในทางกลับกันเจียงหนิงเหลือบมองไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาและเตือนด้วยเสียงที่สงบ “นี่คือการประชุม ระวังวาจาของเจ้าด้วย”
จักรพรรดิผู้ประทับบนบัลลังก์มังกรทอดพระเนตรเห็นท่าทางของผู้คนที่อยู่เบื้องล่างขั้นบันไดหยกอย่างชัดเจน แม้แต่การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผู้คนก็ล้วนอยู่ในสายพระเนตร
เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ เมื่อมองไปที่เซี่ยเชียนและเจียงหนิงซึ่งเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ก็ปรากฏความพึงพอใจอยู่ในสายตา
เขากล่าวขึ้นในใจ ‘ไม่ง่ายเลยที่จะมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่เข้มแข็ง ทุกครั้งที่เขาถูกยื่นมติไม่ไว้วางใจ ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปฉีกร่างออกเป็นชิ้น ๆ’
แน่นอนว่าคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าผู้คนทั้งหมด ก็มักจะถูกผู้อื่นเกลียดชังเป็นเรื่องปกติ
ขณะรอให้องค์จักรพรรดิแสดงความคิดเห็น เหล่าขุนนางหลายร้อยคนจากแต่ละฝ่ายที่อยู่ในท้องพระโรงเริ่มส่งเสียงโห่ร้อง ส่วนใหญ่ขอให้จักรพรรดิลงโทษพิพากษาเจียงหนิงและเซี่ยเชียน
ทันทีที่จักรพรรดิส่งเสียงกระแอมในลำคอ ทั้งท้องพระโรงก็เงียบเสียงลงทันที
เขาเอนกายลงบนบัลลังก์มังกรอย่างเกียจคร้าน เล่นกับลูกปัดหยกสีแดงเข้มในมือขวา ก่อนเหลือบมองไปยังคนสองคนที่อยู่แถวหน้าของเหล่าขุนนางทหาร “พวกเจ้าทั้งสองว่าอย่างไรเล่า”
เจียงหนิงกำหมัดพลางส่ายหน้า “กระหม่อมกระทำการที่ซื่อตรงและถูกต้อง จึงไม่มีคำกล่าวอะไร ฝ่าบาทโปรดพิจารณาพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิทรงพระสรวลและชี้ไปที่คนไม่กี่คนที่เพิ่งกล่าวโทษเจียงหนิง “พวกเจ้าดู นี่สิถึงจะเป็นบุคลิกและจิตใจที่น่านับถือของแม่ทัพ ซึ่งเเตกต่างจากพวกขุนนางอย่างพวกเจ้า”
ไม่รอการตอบสนองของเหล่าขุนนางในท้องพระโรง เขามองไปที่เซี่ยเชียนอีกครั้งและกล่าวว่า “ท่านขุนนางเซี่ย แล้วเจ้าล่ะ?”
เซี่ยเชียนยกฝีเท้าก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าว และเอ่ยออกมาว่า “ข้าต้องการลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าราชองครักษ์ ข้าอยากจะอุทิศตัวเองเพื่อรวบรวมประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ของเราในสำนักฮั่นหลินพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงที่น่าเกรงขามและชัดเจน ทำให้ห้องโถงที่แต่เดิมเต็มไปด้วยบรรยากาศที่น่าอึดอัด ดูมีพื้นที่ว่างที่พอให้หายใจได้โล่งขึ้นมาบ้าง
จักรพรรดิเหลือบมองเซี่ยเชียนด้วยรอยยิ้ม และพยักหน้าตอบกลับ “ท่านขุนนาง ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ดังนั้นเรามามุ่งความสนใจไปที่สำนักฮั่นหลินกันเถอะ ”
ทันทีที่กล่าวจบ ก็เกิดเสียงเสียงฮือฮาขึ้นในท้องพระโรงอีกครั้ง
การที่เซี่ยเชียนลงมือกระทำในช่วงนี้ อย่างแรกต้องสะสางเรื่องราชองครักษ์ แล้วจัดระบบรักษาความปลอดภัยในวัง ทุกคนคิดว่าการลาออกของเขาเป็นเพียงการล่าถอยชั่วคราวเท่านั้น ใครจะคาดคิดว่าจักรพรรดิจะตอบรับกัน?
หรือนี่หมายความว่าจริง ๆ แล้วจักรพรรดิทรงเบื่อหน่ายเซี่ยเชียน?
เจียงหนิงขมวดคิ้วเบา ๆ เขาไม่เข้าใจการกระทำของจักรพรรดิเท่าใดนัก ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากพูด ชายหนุ่มก็เห็นจักรพรรดิค่อย ๆ นำลูกปัดเก็บใส่กล่องมังกรและกล่าวว่า “ปีนี้สำนักศึกษาฮั่นหลินมีนักเรียนเข้ามาใหม่สองสามคน จึงอยากส่งให้ท่านเซี่ยดูแล ข้าจำได้ว่าปีนี้มีจอหงวนเข้ามาใหม่มีสกุลว่าอวี๋ใช่หรือไม่”
ขุนนางคนนั้นก็รีบออกมาจากเเถว “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีนามว่าอวี๋จือ มาจากซูโจว บรรพบุรุษของกระหม่อมก็เคยเป็นอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาจิ้งหยางพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่เขากราบทูลเสร็จ องค์จักรพรรดิก็นึกขึ้นมาได้และกล่าวว่า “ในตอนนั้น ข้าคิดว่าเขายังเด็กเกินไป ข้าก็เลยให้ไปอยู่ที่สำนักศึกษาฮั่นหลิน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง ยังเป็นเหมือนเดิมอยู่หรือไม่ ใต้เท้าเซี่ยพอทราบไหม”
เซี่ยเชียนส่ายศีรษะ “กระหม่อมไม่เคยรู้จักมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิพยักพระพักตร์
แม้เซี่ยเชียนจะดูแลสำนักศึกษาฮั่นหลิน แต่งานด้านบุคคลค่อนข้างยุ่งยาก และวิชาจอหงวนก็ไม่ใช่สิ่งที่เซี่ยเชียนจะให้ความสนใจ
จักรพรรดิทรงสรวลและชี้ไปทางเซี่ยเชียนก่อนกล่าวว่า “ไม่ได้ทำก็คือไม่ได้ทำ เหตุใดเจ้าถึงไม่มีใจที่จะอบรมสั่งสอนเหล่าบัณฑิต คนเก่ง ๆ ใช้เวลาไม่มากก็สามารถทำงานได้ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในวังข้ามีคนจัดการอยู่แล้ว”
เซี่ยเชียน โค้งคำนับและตอบเสียงเบา “พ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางที่กล่าวโทษเซี่ยเชียนรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย กล่าวว่า “ฝ่าบาท นี่มันไม่เหมาะสม…”
สีพระพักตร์ของจักรพรรดิเริ่มเปลี่ยนไป “หืม ถ้าท่านหลี่คิดว่าการตัดสินใจของข้าไม่เหมาะสม เช่นนั้นข้ายกบัลลังก์นี้ให้กับท่านดีไหม?”
ขุนนางท่านนั้นเพิ่งเข้ามาทำงานในราชสำนักปีนี้ ด้วยความสามารถทางวรรณกรรมและวาทศิลป์ของเขา จึงถูกเหมิงฉิงจ้างอย่างลับ ๆ ซึ่งไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน
หลังจากที่ฟังฝ่าบาทกล่าวเช่นนั้น ชายหนุ่มตกใจเป็นอย่างมาก คุกเข่าลงแล้วกราบทูลว่า “กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้หมายความแบบนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เหมิงฉิงที่รั้งเขาไว้ที่ตำแหน่งนี้ลอบขมวดคิ้วและคิดกับตัวเองในใจ คนผู้นี้อายุยังน้อยกว่า และไม่สามารถทำอะไรได้
โชคดีที่เหมิงฉิงเองไม่เคยเปิดเผยความสัมพันธ์ว่ารู้จักกับขุนนางท่านนี้ เนื่องจากถ้าไม่เป็นที่พอพระทัยขององค์จักรพรรดิ เกรงว่าจะไม่ได้รับการสนับสนุนอีกในภายภาคหน้า
จักรพรรดิเผยรอยยิ้มเย็นชาและกวาดสายตาไปยังขุนนางที่กล่าวโทษเซี่ยเชียน “ข้าปลดตำแหน่งเซี่ยเชียน และให้เขารวบรวมประวัติศาสตร์ของประเทศที่สำนักศึกษาฮั่นหลิน หากพวกเจ้ายังรู้สึกว่าไม่เพียงพอหรือยังเป็นกังวล พวกเจ้าก็บอกข้ามาว่าควรจะลงโทษเขาอย่างไร?”
ขุนนางทั้งหมดคุกเข่าลง
จักรพรรดิลดอำนาจของเซี่ยเชียนลง และให้เขาไปทำหน้าที่ที่สำนักศึกษาฮั่นหลินเพื่อเลือกบัณฑิตที่จะเข้ารับราชการในปีนี้ เห็นได้ชัดว่าพระองค์สนับสนุนเซี่ยเชียนในการปลูกฝังอบรมสั่งสอนฝ่ายของเขาเองไม่ใช่หรือ?
นอกจากนี้ ในฐานะผู้ควบคุมดูแลสำนักฮั่นหลิน เขาก็นับเป็นอาจารย์ของบัณฑิตทุกคน ตอนนี้เขาได้รับพระราชโองการจากจักรพรรดิแล้ว เกรงว่าคนที่มีความสามาถ ล้วนจะอยู่ในการควบคุมของเซี่ยเซียน
เช่นนี้เป็นการลดตำเเหน่งตรงไหนกัน เห็น ๆ ว่าเพิ่มด้วยซ้ำ
เมื่อผู้คนที่เพิ่งกล่าวโทษเซี่ยเชียน เห็นท่าทีขององค์จักรพรรดิ พวกเขาพลันรับรู้ว่าตนเองบุ่มบ่ามเกินไป
และไม่รู้ว่าหลังจากนี้เซี่ยเชียนจะทำอะไรต่อไป
…………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เซี่ยเชียนเป็นถึงสหายรู้พระทัยของฮ่องเต้เชียวนะ เบื่อยังไงก่อน?
ไหหม่า(海馬)