บทที่ 357 การรักษาโรคกลัวสังคม

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 357 : การรักษาโรคกลัวสังคม
บทที่ 357 : การรักษาโรคกลัวสังคม

เกร็กไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจบมื้อเช้านี้อย่างไร?!

ตั้งแต่ตอนนั้นจนเขาก้าวเข้าไปในสวนของคฤหาสน์และเห็นแขกเหรื่อมารวมตัวกันอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้ง จิตใจของเขายังคงปั่นป่วน นอกจากพวกเขาทั้งสาม ใครจะไปคิดว่าเมื่อหลายสิบนาทีก่อน ทั้งคฤหาสน์นี้เกือบถูกทำลายเกลี้ยงด้วยน้ำมือของผู้บุกรุกระดับเหนือนภาไปแล้วบ้าง?

แม้ว่าทุกอย่างจะเป็นอย่างที่เห็นในตอนนี้ แต่เกรงว่ามันอาจเป็นแค่บทโหมโรงของบางอย่างที่กำลังจะเกิดเท่านั้น…

จากประสบการณ์เก่า เหตุผลที่ระดับเหนือนภาที่ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน จู่ ๆ ก็มาโผล่ในตอนนี้ต้องเป็นการจัดเตรียมอย่างจงใจของเจ้าของร้านหนังสืออย่างแน่นอน…

ในเมื่อตอนนี้เขารู้แล้วว่าหอพิธีกรรมต้องห้ามส่งเกร็กมาเป็นสายสืบเพื่อสืบข้อมูล และกระทั่งปล่อยให้เกร็กติดตามเขาอย่างจงใจ เขาต้องเจตนาเผยการมีอยู่ของระดับเหนือนภานี้ให้เขารู้แน่ ๆ

แล้วตัวตนของระดับเหนือนภาตนนี้ก็อาจจะเป็นกุญแจของเรื่องนี้ก็ได้?

ในใจของเกร็กมีการคาดเดามั่วซั่วแล่นเต็มไปหมด แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าการปรากฏตัวของระดับเหนือนภาตนนี้เกี่ยวอะไรกับจุดประสงค์ของเจ้าของร้านหนังสือ และมีผลอะไรกับสถานการณ์ตอนนี้

แม้ว่าจากที่เห็น มันจะดูเหมือนว่าระดับเหนือนภาตนนี้แค่มาเล่นงานเจ้าของร้านหนังสือ มองเห็นแค่เจ้าของร้านหนังสือเป็นศัตรูและต้องการจะฆ่าก็ตามที

แต่ตอนนี้ คฤหาสน์นี้ก็นับว่าเป็นสนามรบแห่งที่สองของหอพิธีกรรมต้องห้ามและนิกายกลืนศพไปแล้ว

เกร็กเป็นสายสืบของหอพิธีกรรมต้องห้าม ชาร์ล็อตต์เป็นลูกน้องของไวลด์ และเฟจก็เป็นคนที่เกี่ยวข้องกับวิถีแห่งดาบอัคคี เจ้าของร้านหนังสือที่ชักใยอยู่เบื้องหลังของเรื่องทุกอย่างจะไม่ยอมให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามายุ่งกับละครของเขาแน่นอน ดังนั้นเจ้าคนที่จู่ ๆ ก็โผล่มานี่ต้องมี…

เดี๋ยวนะ…วิถีแห่งดาบอัคคี?

จู่ ๆ เกร็กก็รู้สึกเหมือนตนพบเบาะแสที่ซ่อนอยู่แล้ว…

ในหมู่ขุมอำนาจมากมายในคฤหาสน์นี้ หากจะมีใครที่เกี่ยวข้องกับระดับเหนือนภาล่ะก็ หอพิธีกรรมต้องห้ามถูกตัดออกไปเป็นชื่อแรกอย่างไม่ต้องสงสัย ในฐานะขุมกำลังใหม่ นิกายกลืนศพเองก็มีข้อมูลชัดเจน และชาร์ล็อตต์ก็รวมอยู่ในกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบในขณะนั้นด้วย ดังนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้

จะเหลือก็แค่เฟจและคำสำคัญ ‘วิถีแห่งดาบอัคคี’ คนเดียวนี่แหละ!

เกร็กรู้สึกราวบรรลุกะทันหัน

ใช่แล้ว…นี่คือคำเตือนที่เจ้าของร้านหนังสือแสดงต่อหน้าต่อตาเขามาแต่แรก

จะเป็นไปได้ไหมว่า…ระดับเหนือนภาที่ไม่เคยถูกพบเห็นมาก่อนนี้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังวิถีแห่งดาบอัคคีที่ร้านหนังสือวางแผนจัดการอยู่?

หรือก็คือ จุดประสงค์การมางานเลี้ยงของเจ้าของร้านหนังสือในครั้งนี้ก็เพื่อนำทางพวกเขาให้ค้นพบผู้ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังวิถีแห่บดาบอัคคี

แต่ว่า…ทำไมเขาถึงปล่อยระดับเหนือนภาคนนั้นไปล่ะ?

ด้วยพลังที่เจ้าของร้านหนังสือแสดงออกมา มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะปล่อยมันไปเพราะสะเพร่า เขาต้องมีจุดประสงค์อื่นอยู่

นี่คือสิ่งที่เกร็กไม่สามารถคิดได้ด้วยตนเอง

ดูเหมือนว่าเราจะทำได้แค่รอให้งานเลี้ยงวันนี้จบลง แล้วหาเวลารายงานหัวหน้าหน่วยวินสตันเพื่อใช้อำนาจของหอพิธีกรรมต้องห้ามมาสืบเรื่องซะแล้ว…

หัวใจของเกร็กเต็มไปด้วยความว้าวุ่น เขามองหลินเจี๋ยที่กำลังสนทนากับชาร์ล็อตต์และเฟจอย่างออกรสแล้วตัวสั่นอย่างไม่ตั้งใจ

เขายังมีความเคลือบแคลงมากมายในใจ แต่แน่ใจได้เรื่องหนึ่ง…

นอร์ซินในวันนี้มีระดับเหนือนภาคนใหม่มารวมตัวกันสามคนเพราะเจ้าของร้านหนังสือ และต่างคนก็ต่างเป็นตัวอันตราย

นี่ไม่ใช่ใจกลางพายุอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นศูนย์กลางการระเบิดของปรมาณู…

ถ้าหากไม่ระวัง นอร์ซินจะถูกทำลาย!

เด็กหนุ่มผู้ถูกความกดดันทรมานมาทั้งคืนอยากร้องไห้แต่ก็ไร้น้ำตา เขาทำได้เพียงปลอบใจตัวเอง ทำตัวให้ชินไว้…

“เกร็กครับ?”

เสียงของหลินเจี๋ยพลันดังมาจากข้าง ๆ เกร็กหันขวับไปมอง แล้วก็พบว่าตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ที่เจ้าของร้านหนังสือจบการสนทนากับเฟจและชาร์ล็อต แล้วเขาถูกมองด้วยสีหน้างุนงง ดังนั้นเขาจึงละล่ำละลัก “คุณ…คุณมีคำสั่งอะไรหรือเปล่าครับ?”

หลินเจี๋ยตบบ่าเขา “ไหงคุณเกร็งกว่าเดิมอีกล่ะเนี่ย ผ่อนคลายสิครับ คุยกับคนให้มากกว่านี้เถอะ มันจะช่วยคุณได้มากเลยนะ โดยเฉพาะเฟจ คำพูดของคุณเมื่อเช้าทำให้เขาประทับใจมากเลยนะ ผมเห็นด้วยกับคำพูดของคุณเต็มที่เลยล่ะ”

“เขาบอกผมเมื่อกี้นี้ว่าการทะเลาะกันเล็กน้อยก่อนหน้านี้เป็นแค่ความเข้าใจผิด และเขาก็คิดนะว่าคุณเป็นบุคคลที่ควรผูกมิตรด้วย”

อย่างน้อยในตอนที่เขาถามเช่นนั้น เฟจก็พยักหน้าทันที ดังนั้นเขาพูดแบบนี้ก็คงไม่มีปัญหาหรอกใช่ไหม?

“แม้ว่าพวกคุณจะมีภูมิหลังต่างกัน แต่ในเมื่ออุดมคติของพวกคุณตรงกันก็เป็นเพื่อนกันได้แน่นอนครับ และเพราะเหตุนี้ บางทีคุณอาจจะได้เรียนรู้บางอย่าง…ที่แตกต่างจากสิ่งที่คุณรู้ก็ได้นะครับ”

เกร็กรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้มีความหมายแฝงอยู่มากมาย

ไม่ใช่! นี่มันไม่ใช่คำใบ้แล้ว…หรือก็คือเขาปล่อยให้ถามข้อมูลเพื่อไปรายงานหอพิธีกรรมต้องห้าม

หลินเจี๋ยผลักไหล่ของเกร็กไปด้านหน้าแล้วพูดยิ้ม ๆ “ถือเสียว่าเป็นงานที่ผมมอบหมายให้คุณแล้วกันครับ”

โธ่ถัง!

พอคิดถึงโรคกลัวสังคมอย่างหนักของเจ้าเด็กนี่แล้ว เราก็รู้สึกว่าต้องช่วยเขา

สันนิษฐานว่าการจิกกัดกันเมื่อครู่ก็คงเป็นเพราะเขาแสดงออกไม่เก่งด้วยหรือเปล่า?

เขามีความประหม่าในการเข้าสังคมมากขนาดนี้ วิธีบำบัดทั่วไปคงไม่ได้ผลแล้ว ดังนั้นจะดีที่สุดถ้าใช้การบำบัดแบบเปิดโลก ทำให้เขาได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นมากขึ้น…

เมื่อเห็นเกร็กมองกลับมาที่เขาอย่างลังเล หลินเจี๋ยก็ยิ้มแล้วโบกมือให้กำลังใจ

เกร็กหันไปมองเฟจที่อยู่ตรงหน้าเขาที่เพิ่งได้สติกลับมาแล้ว การวางตัวของอีกฝ่ายต่างออกไปโดยสิ้นเชิงแล้ว และใบหน้าของเขาก็มีร่องรอยของความสิ้นหวังและแปรปรวน

ไม่รู้จริง ๆ ว่าก่อนหน้านี้ที่เขาสติหลุดไป เขาได้ประสบกับอะไรไปบ้าง…

เฟจรินชาให้เขาก่อน รอให้เขารับไปดื่มแล้วกล่าวว่า “ในแฟ้มข้อมูลของคุณ ผมก็แค่คนไร้บ้านจน ๆ ที่ถูกวิถีแห่งดาบอัคคีใช้เป็นหนูทดลองเหรอครับ?”

“เอ๊ะ?!”

เกร็กเงยหน้าขึ้นกะทันหัน เจ้าหมอนี่รู้ได้อย่างไร…

เฟจยักไหล่อย่างเฉยเมยแล้วยิ้มแปลก ๆ “ผมพอจะรู้ว่าทำไม แต่อธิบายให้คุณฟังยากครับ…เรื่องมันซับซ้อน สรุปสั้น ๆ ก็คือเพราะความสามารถของผม แต่เดิมผมประสาทสัมผัสไวอยู่แล้ว พอมาเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติก็ยิ่งไปกันใหญ่ ดังนั้นตอนที่ผมได้เห็นพวกเขาเข้าจัง ๆ พวกเขาก็ลากผมเข้าไปในวังวนเจตนาร้ายของพวกเหนือนภาทันที”

เกร็กดูจะเข้าใจขึ้นมานิด ๆ “แล้ว…?”

เฟจกระซิบ “ระดับเหนือนภาตนนี้พิเศษมากครับ…ร่างกายของเธออยู่ในพื้นที่สี่มิติ ดังนั้นความคิดชั่วร้ายของเธอจึงไม่ได้โผล่มาแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียว แต่เป็นความมุ่งร้ายที่ไหลผ่านกาลเวลานับแต่เกิดการคงอยู่ ทั้งความคิดชั่วร้ายและความทรงจำที่เกี่ยวข้องของเธอ ผมได้รับมันมาเต็ม ๆ เลย”

“มันยังเกี่ยวกับเรื่องบางอย่างของวิถีกระบี่เพลิง เรื่องของหอพิธีกรรมต้องห้าม และแผนที่เกี่ยวกับผมด้วย”

เขายักไหล่ “ดังนั้นคุณอยากถามอะไรก็ถามมาเลย เพราะถึงอย่างไร…”

เฟจยกแก้วไวน์ขึ้นแตะมือของเกร็ก แล้วหลังมือของเขาก็ใสราวกระจกท่ามกลางแสงแดดวูบหนึ่ง “นี่ก็คืองานที่พระเจ้ามอบให้คุณ”

ในขณะที่หลินเจี๋ยและลูกค้าของเขากำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุขนั้น อานาเอลผู้หนีหัวซุกหัวซุนสุดชีวิตคู้ตัวอยู่ในห้วงกาลเวลาจุดหนึ่ง

เธอที่เสียพลังแทบทั้งหมดไปไม่สามารถคงร่างจำแลงมนุษย์ได้อีกต่อไปและกลับสู่สภาพคล้ายผีเสื้อที่สร้างจากเส้นแสงนับพัน ๆ สาย ร่างกายของเธอแสดงท่าทีใกล้พังทลายอย่างต่อเนื่อง ลำแสงวูบไหวราวกับสัญญาณขัดข้อง และบางครั้งหนอนโปร่งแสงบางตัวก็ร่วงลงมา

เธอวนเวียนอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลอันยาวไกลอย่างเหม่อลอยและสติหลุด “พลัง…พลังของข้า…เอาคืนมา…เอาคืนมา!”

จู่ ๆ เธอก็สัมผัสได้ว่าพลังส่วนหนึ่งของเธอปะทุขึ้นราวกับเป็นคบเพลิงในภาชนะที่เปราะบาง แล้วเธอก็กระโจนเข้าหาแสงไฟอันเย้ายวนอย่างยินดีในทันที