War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1703
ตอนที่ 1,703 : แค่ได้รับบาดเจ็บสาหัส?
‘นี่พวกมันมิรู้หรือไร ว่าไข่มุกวิญญาณของนายน้อยแตกสลายไปแล้วเหมือนกัน?’
เผชิญหน้ากับคำปลอบโยนของอาวุโสทั้งหลาย ฉีจิ้งได้แต่ลอบกล่าวอย่างฉงนใจ
กระทั่งมันเองยังรู้สึกว่าเรื่องราวผิดท่า
แต่ตอนนี้มันทำได้แค่คิดไปในแนวทางนั้น เพราะมันไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบายได้อีกแล้ว
อาวุโสระดับสูงกระทั่งผู้นำคฤหาสน์ กลับไม่ทราบถึงการตายของนายน้อย?
“ผู้นำคฤหาสน์ และอาวุโสทั้งหลาย ที่พวกท่านเป็นห่วงข้าตัวข้าย่อมซาบซึ้งน้ำใจนัก อย่างไรก็ตามพลังฝีมือของค่านเอ๋ออ่อนด้อยเอง จึงพลาดท่าตายตกให้ศัตรู แต่การตายของมันนับเป็นการตายเพื่อคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเยี่ยงวีรบุรุษแล้ว ส่วนนายน้อย…”
มองไปยังผู้นำและอาวุโสทั้งหลายที่เสียใจกับการตายของหลานตัวเอง ฉีเสิ่นอดไม่ได้ที่จะกล่าวรับด้วยความซาบซึ้งใจ แต่กล่าวใกล้จบมันก็อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มขื่นขมและหันไปมองด้านหลัง
“เกิดอันใดกับจิ้งเอ๋อ?”
คำพูดของฉีค่าน ทำให้ฉีอี้เฉิง ผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องหน้าเปลี่ยนสีทันที เร่งหันมองตามสายตาของฉีเสิ่นไปอย่างไม่รีรอ
และมองปราดเดียวมันก็แลเห็นชายหนุ่มหลังค่อม ที่กำลังอุ้มแบกร่างหนึ่งเอาไว้
ฟุ่บ!
ชายหนุ่มหลังค่อมรู้สึกเสมือนมีสายลมหอบหนึ่งพัดใส่เท่านั้น พอรู้ตัวอีกที ร่างที่มันอุ้มไว้ก็ไปหยุดอยู่เบื้องหน้าฉีอี้เฉิงเสียแล้ว!
“นายน้อย!!”
เมื่อเห็นว่ามีหลุมโลหิตอยู่ที่หว่างคิ้วฉีจิ้ง ทั้งทั่วร่างกลับอ่อนยวบปานกระดูกแหลกเหลว โลหิตแห้งกรังยังเปรอะไปทุกส่วน สีหน้าของอาวุโสเบื้องหลังฉีอี้เฉิงก็เปลี่ยนไปร้ายแรง
ด้วยอาการบาดเจ็บขนาดนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีชีวิตรอด…
“ไม่จริง! เป็นไปมิได้!!”
ฉีอี้เฉิงดูดรั้งร่างเบื้องหน้ามาอุ้มไว้ด้วยตัวเองทันที ก่อนที่จะรีบร้อนหยิบไข่มุกวิญญาณเม็ดหนึ่งออกมาอย่าลนลาน
ไข่มุกวิญญาณเม็ดที่ว่า เป็นของบุตรชายมัน ฉีจิ้ง!
และไข่มุกวิญญาณดังกล่าวยังอยู่ดีไม่ปริแตก นั่นหมายความว่าบุตรชายมันยังไม่ตาย!!
พอเห็นฉีอี้เฉิงหยิบไข่มุกวิญญาณออกมา ทั้งทำสีหน้าอื้ออึงไม่เชื่อ ผู้คนที่อยู่ด้านหลังมันก็อดไม่ได้ที่จะขนลุกซู่…
“นี่คือไข่มุกวิญญาณของจิ้งเอ๋อ…จิ้งเอ๋อยังมิตาย!!”
น้ำเสียงฉีอี้เฉิงเผยความมั่นใจออกมา เพราะไข่มุกวิญญาณไม่มีทางผิดพลาด!!
“อันใดนะ!?”
“ยังมิตายหรือ?”
“หว่างคิ้วทั้งหลังศีรษะมีรอยเจาะทะลวง ดวงจิตแตกสลายวิญญาณกระจัดกระจาย พลังชีวิตทั้งพลังวิญญาณสาบสูญ…ด้วยอาการร้ายแรงเช่นนี้นายน้อยยังมิตาย? เป็นไปได้ด้วยหรือ?”
……
ตอนนี้ไม่เพียงแต่อาวุโสที่อยู่ด้านหลงฉีอี้เฉินเท่านั้น หากแต่เหล่าผู้ที่ติดตามออกมาไม่ว่าจะเป็นเหล่าอาวุโสหรือคนรุ่นเยาว์ที่กลับมาพร้อมฉีเสิ่นก็ไม่อยากจะเชื่อ
โดยเฉพาะผู้ที่กลับมาพร้อมกันกับฉีเสิ่น ทั้งหมดเห็นฉากการตกตายของฉีจิ้งชัดถนัดตา ถูกรังสีพลังกระบี่ร้ายกาจทะลวงหว่างคิ้วทะลุหลังศีรษะ…แถมร่างยังร่วงตกจากฟ้าสูงไปกระแทกพื้นเช่นนั้น! น่ากลัวว่าต่อให้มหาเทพเซียนสวรรค์จุติลงมาก็ยากที่จะช่วยชีวิตเอาไว้ได้!
ทว่ามาตอนนี้ผู้นำคฤหาสน์กลับบอกว่านายน้อยยังไม่ตาย?
‘หรือท่านผู้นำเสียสติไปแล้ว..เพราะทนรับความจริงที่นายน้อยตกตายมิได้?’
จังหวะนี้รุ่นเยาว์ของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอดไม่ได้ที่จะคิดแบบนี้
แน่นอนว่าพวกมันทำได้แค่คิดในใจ ไม่กล้าเอ่ยวาจาออกมา
อีกทั้งเป็นธรรมดาที่สายตาของคนส่วนใหญ่จะตกลงไปยังมุกวิญญาณในมือของผู้นำคฤหาสน์ ‘นั่นคือไข่มุกวิญญาณของนายน้อยแน่หรือ? เห็นกันชัดตำตาว่านายน้อยตกตายไปแล้ว ไฉนไข่มุกยังอยู่ดีได้?’
จังหวะนี้ทั้งหมดคิดกันว่าผู้นำของพวกมันสมควรหยิบไข่มุกวิญญาณออกมาผิดคน และหลงคิดว่าเป็นของนายน้อย
ผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องหรือ ฉีอี้เฉิง นั้น เป็นชายที่แลดูอยู่ในวัยกลางคน รูปร่างใหญ่โตน่าเกรงขาม แม้ใบหน้าของมันจะแลดูธรรมดาก็ตามแต่หว่างคิ้วแผ่พุ่งบารมี มากสง่าราศีไม่น้อย
ตอนนี้เองสำนึกสติของมันก็แผ่เข้าไปส่องภายในร่างของบุตรชายตัวเอง และไม่นานมันก็พบกลิ่นอายพลังแผ่วเบาในส่วนลึกของดวงจิตที่แตกสลาย กลิ่นอายพลังดังกล่าวเป็นกลิ่นอายของพลังวิญญาณไม่ผิดแน่!
และแม้กลิ่นอายพลังดังกล่าวจะแผ่วเบาอ่อนแอเพียงใด แต่มันคุ้นชินกับกลิ่นอายพลังนี้นัก!
นั่นเพราะมันเป็นกลิ่นอายพลังเดียวกันกับกลิ่นอายพลังวิญญาณที่อยู่ในไข่มุกวิญญาณที่มันถืออยู่!!
“จิ้งเอ๋อ!!”
แม้ไม่ทราบว่าไฉนบุตรชายของมันรอดชีวิตมาได้ทั้งที่อาการสาหัสร้ายแรงขนาดนี้ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่มันสนใจ ที่มันสนใจก็คือลูกชายของมันยังไม่ตาย!!
หากแต่กลิ่นอายพลังวิญญาณนี่ช่างแผ่วเบาเหลือเกิน ดั่งเปลวเทียนที่คล้ายจะมอดดับลงเต็มที!
“ทะ….ท่านพ่อ…ข้าต้องการ…ห้อง…เงียบสงบ…3 ปี….ข้าจะฟื้นตัว…หายดี”
และทันทีที่สติสำนึกของฉีอี้เฉิงพยายามโอบอุ้มกลิ่นอายพลังวิญญาณนั่นเอาไว้หมายติดต่อผ่านสำนึกสติ มันพลันได้ยินเสียงผ่านสำนึกสติของมันทันที!
หลังได้ยินเสียงที่ว่า กลิ่นอายพลังวิญญาณที่แผ่วเบาอยู่แล้ว ยิ่งจางลงไปคล้ายเจียนดับลงเต็มที!!
“ได้! ได้!!”
ทันทีที่ได้ยินมันก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือเสียงของบุตรชายมัน! และได้รู้ว่าบุตรชายของมันยังไม่ตาย กระทั่งยังจะฟื้นฟูหายดี! ฉีอี้เฉิงเลิกสนใจทุกสิ่งละทิ้งทุกอย่าง เร่งพุ่งร่างด้วยความเร็วสูงสุด อุ้มลูกชายของมันไปยังห้องใต้ดินที่สงบเงียบและตัดขาดจากโลกภายนอกในคฤหาสน์ทันที!!
เมื่อเห็นว่าผุ้นำคฤหาสน์รีบร้อนอุ้มร่างนายน้อยที่ตกตายจากไป ทุกผู้คนล้วนอ้าปากค้าง ด้วยความอื้ออึงไม่เข้าใจ
อย่างไรก็ตาม ไม่นานพวกมันก็พบว่าผู้นำคฤหาสน์เหินร่างย้อนกลับมา
และตอนนี้ทั้งหมดพบว่าสีหน้าของผู้นำมืดดำทั้งยังดุร้ายเอาเรื่องนัก!
แต่เรื่องนี้พวกมันก็ไม่แปลกใจอะไร
สุดท้ายแล้วที่ตกตายไปก็บุตรชายทั้งคน ใครยังจะอารมณ์ดีอยู่ได้?
“อาวุโสหลัก นี่มันเกิดอันใดขึ้นในการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องกันแน่…ไฉนบุตรชายข้าถึงได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ ไหนยังจะฉีค่านหลานท่านกับอัจฉริยะของเรา 2 คนที่ตกตายอีก!?”
หลังกลับมาถึง ผู้นำคฤหาสน์ก็มองถามฉีเสิ่นทันที
“บาดเจ็บสาหัส..?”
ได้ยินคำถามนี้ของฉีอี้เฉิงไม่เพียงแต่ฉีเสิ่น แต่ทุกคนในที่นี้ล้วนตกตะลึงกันทั้งสิ้น
ท่านผู้นำของพวกมันพึ่งกล่าวว่านายน้อยเพียงบาดเจ็บสาหัสหรือ?
นายน้อยยังไม่ตาย?
“ท่านผู้นำ…นายน้อย…”
ตอนนี้รองผู้นำไม่อาจทนได้ไหวสืบไป มันมองถามฉีอี้เฉิงทันที “เพียงแค่บาดเจ็บสาหัสหรือ?”
“อืม! จิ้งเอ๋อบาดเจ็บสาหัส! จำต้องใช้เวลาถึง 3 ปีในการฟื้นฟูรักษาตัว!!”
ฉีอี้เฉินกล่าวออกเสียงเย็น เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
แต่ใครลองคิดดูก็เข้าใจ หัวอกคนเป็นพ่อ เมื่อได้รู้ว่าบุตรชายคนเดียวอาการเป็นแบบนี้จะให้มีอารมณ์เช่นไรได้?
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นจนจบสองตาของฉีอี้เฉิงไม่ได้ละออกจากฉีเสิ่นแม้แต่น้อย เพราะมันไม่อาจเข้าใจได้จริงๆว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นในการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องกันแน่ เพราะคราวนี้ 4 คนที่มีพลังพอจะเข้าร่วมประลองได้ กลับตกตายไปถึง 3 บาดเจ็บสาหัส 1!
“เพียงบาดเจ็บสาหัส?”
ได้ยินคำยืนยันจากฉีอี้เฉิง ไม่ว่าจะฉีเสิ่นหรือทุกผู้คนก็คล้ายเห็นผีกลางวันแสกๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจอึ้งทึ่ง
ต้องทราบด้วยว่าสภาพฉีจิ้งเป็นอย่างไรพวกมันเห็นกันอยู่ตำตา…
เอาแค่หว่างคิ้วถูกทะลวงจนดวงจิตแตกสลาย วิญญาณสมควรกระจัดกระจายไปหมดสิ้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะยังมีชีวิตอยู่…
ทว่าผู้นำของพวกมัน กลับบอกว่านายน้อยที่มีสภาพเช่นนั้นแค่บาดเจ็บสาหัส?
“ท่านผู้นำ…ที่ท่านกล่าวเรื่องจริงหรือ?”
ฉีเสิ่นกล่าวถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ขณะเดียวกันทุกคนก็มองจ้องไปยังร่างผู้นำเช่นกัน พวกมันสงสัยเรื่องนี้นัก เพราะนี่มันเป็นไปไม่ได้ในสายตาของพวกมันเลย ให้เทียบกันแล้ว…หากบอกว่าคนหัวขาดยังไม่ตายยังจะน่าเชื่อมากเสียกว่า! แต่ที่ผู้นำของมันกล่าวออกเช่นนี้ สมควรต้องมีเหตุผลใดอยู่แน่!!
“ข้าเองก็มิรู้ว่านี่มันเกิดอันใดขึ้นกับจิ้งเอ๋อกันแน่ แต่ข้าลองส่องภายในเข้าไปยังดวงจิตที่แตกสลายของจิ้งเอ๋อดู ข้าก็พบเศษเสี้ยววิญญาณที่มีกลิ่นอายพลังวิญญาณแผ่วเบายังมิได้สลายหายไปอย่างสิ้นเชิง กระทั่งยังสามารถสื่อสารกับข้าได้ผ่านสำนึกสติ…และบอกข้าว่าจำต้องใช้เวลาพักฟื้น 3 ปีถึงจะฟื้นตัวหายดี! ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ข้าอยากรู้นัก ว่านี่มันเกิดเรื่องบัดซบอะไรขึ้นในการประลองกันแน่! และมันเกิดอันใดขึ้นกับจิ้งเอ๋อ!!”
ผู้นำว่ายตามองไปทุกๆขณะกล่าว เมื่อถึงท้ายประโยคยังวกกลับมาจ้องฉีเสิ่นเขม็ง
“ยังไม่ตายจริงๆ..”
อย่างไรก็ตามตอนนี้ความคิดของทุกคนไม่เว้นฉีเสิ่น ล้วนจมจ่อมอยู่กับวาจาก่อนหน้าของฉีอี้เฉิน
เพราะทั้งหมดล้วนตกตะลึงพรึงเพริดกับวาจาของฉีเสิ่น…
บาดเจ็บสาหัสสภาพร้ายแรงถึงขั้นดวงจิตแตกสลาย แต่วิญญาณยังไม่สลายหายไปจนหมด?
นายน้อยเป็นสัตว์ประหลาดอันใดกัน!?
“ช้าก่อน…หรือนายน้อยจะฝึกฝนเคล็ดรวมวิญญาณจนเชี่ยวชาญแล้ว?”
ทันใดนั้นเองรองผู้นำคฤหาสน์ที่ชรามากคนหนึ่ง พลันขมวดคิ้วกล่าวออกด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“เคล็ดรวมวิญญาณ!”
ทันใดนั้นทุกคนไม่เว้นผู้นำคฤหาสน์ ก็หันขวับกลับมามองถามเป็นสายตาเดียวกัน
พวกมันรู้จักรองผู้นำคฤหาสน์ชราผู้นี้ดี
ถึงแม้ในบรรดาผู้นำคฤหาสน์ พลังฝีมืออีกฝ่ายจะเรียกได้ว่าอ่อนด้อยที่สุด หากแต่ถ้าวัดกันเรื่ององค์ความรู้กับปริมาณหนังสือคัมภีร์และบันทึกที่ศึกษาอ่านมาล่ะก็…
ในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…ถ้าชายชราผู้นี้กล้าบอกว่าเป็นที่ 2 ก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าเป็นที่ 1!
“เคล็ดรวมวิญญาณ…ก็ตามชื่อ มีความสามารถในการรวบรวมวิญญาณ”
รองผู้นำชราพยักหน้ากล่าวออกด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้าเคยเห็นเรื่องราวทำนองนี้บันทึกไว้ในคัมภีร์เล่มหนึ่งที่ส่งมาจากบรรพชนรุ่นก่อนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเรา…กล่าวกันว่าเคยมีผู้ฝึกมารคนหนึ่งที่สำเร็จเคล็ดรวมวิญญาณดังกล่าว แม้วิญญาณของมันจะถูกทำลาย แต่มันก็สามารถรวบรวมฟื้นฟูได้ในเวลาอันสั้น”
“อย่างไรก็ตามกระบวนการในการฟื้นฟูวิญญาณนั้นเป็นเรื่องที่กระทำได้ยากยิ่ง…ยังต้องใช้เวลา 3-5 ปี กระทั่งอาจจะนานกว่านั้นในการฟื้นฟูวิญญาณและดวงจิตอย่างสมบูรณ์ จวบจนกระทั่งหลอมรวมผสานเข้าร่างเพื่อฟื้นคืนชีพ”
ชายชราหยุดครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวต่อ “และผู้ฝึกมารที่ว่า ก็คือผู้ฝึกมารที่เป็นต้นเหตุทำให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของพวกเราต้องร่วงจากขุมพลังกึ่งชั้น 3 กลายเป็นขุมพลังชั้น 4…ผู้ฝึกมารผู้นั้นที่บ่มเพาะด้วยเคล็ดวิชามารกลืนหยิน สุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมที่ทำให้สุดยอดฝ่ายธรรมะของเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าต้องผนึกกำลังต่อกร! เรื่องราวที่มันสำเร็จเคล็ดรวมวิญญาณมีบันทึกเอาไว้ชัดเจน!!”
“ผู้ฝึกมาร!?”
“มารกลืนหยิน!!”
ได้ยินคำพูดของรองผู้นำชรา ทุกผู้คนกลายเป็นเงียบงันทันที
เท่าที่ผู้คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องทราบ เรื่องนี้ประหนึ่งนิทานเตือนใจพวกมัน
ผู้ฝึกมารที่บ่มเพาะด้วยเคล็ดวิชามารกลืนหยิน เปรียบได้ดั่งศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันกับคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องได้ นั่นเพราะมันคือต้นเหตุที่ทำให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องตกต่ำลงจนถึงทุกวันนี้!
“หากนายน้อยเป็นผู้ฝึกมาร และบังเอิญได้รับเคล็ดวิชามารระดับสูงเช่นเดียวกับวิชามารกลืนหยิน นายน้อยจะสำเร็จเคล็ดวิชารวมวิญญาณด้วยก็มิแปลกอันใด เพราะเคล็ดวิชานี้เปรียบได้ดั่งพื้นฐานสำคัญที่ผู้ฝึกมารกระทั่งผู้ฝึกเต๋าระดับสูงๆจักฝึกปรือกัน…แต่ปัญหาคือนายน้อยของพวกเรามิใช่ผู้ฝึกมาร แถมยังแขยงผู้ฝึกเต๋ายิ่งกว่าอะไรดี…”
รองผู้นำชรายังคงกล่าวต่อไป
ทันทีที่รองผู้นำกล่าวประโยคนี้ออกมา ผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องก็พยักหน้าเห็นด้วยออกมา
ทว่าเหล่าผู้คนที่พึ่งกลับมาจากการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง รวมถึงฉีเสิ่น กลับหันหน้ามองสบตากันทันที
เพราะมีเพียงแต่พวกมันเท่านั้นที่รู้ ว่าตอนนี้นายน้อยของพวกมันได้กลายเป็นผู้ฝึกมารไปแล้ว!
และไม่มีใครทันได้สังเกตเห็นเลย
ว่าด้านหลังกลุ่มคนที่ฉีเสิ่นพามา ชายหนุ่มหลังค่อมที่อุ้มร่างฉีจิ้งมาแต่แรก สุนัขรับใช้ของฉีจิ้ง ได้เผยประกายตาลุกวาวเจิดจ้าออกมาทันทีเมื่อได้ยินคำของรองผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่ชรามากแล้วคนนั้น…