บทที่ 367 ไม่แข็งแกร่งพอเหรอ มู่เซิ่งโดนเยาะเย้ย!

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 367 ไม่แข็งแกร่งพอเหรอ? มู่เซิ่งโดนเยาะเย้ย!

เซียวจ้านเย้ยหยันในทันทีและพูดเยาะเย้ยว่า: “มู่เซิ่ง ที่แท้แกก็เป็นคนที่เข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกนี่เอง? ข้อกำหนดสำหรับการแข่งขันคัดเลือกสูงมาก ไม่ใช่ว่าใครก็เข้าร่วมได้ ถ้าหากแกมีคุณสมบัติผ่านเข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกได้ ฉันก็สามารถชี้แนะให้กับแกได้อย่างละเอียด”

น้ำเสียงของเซียวจ้านราบเรียบ ในคำพูด เต็มไปด้วยความรู้สึกที่อยู่เหนือกว่า ราวกับว่าฉันชี้แนะให้กับแกนี่ก็เป็นบุญที่แกทำมาในชาตินี้

และความคิดของทุกคน ก็เหมือนกับของเซียวจ้านอย่างเห็นได้ชัด

พวกเขาแทบอยากจะได้รับคำชี้แนะจากเซียวจ้าน ตอนนี้เซียวจ้านจะชี้แนะให้กับแก นั่นเป็นเกียรติของแกไม่ใช่เหรอ?

“แต่ว่า งั้นก็ต้องรอแกผ่านการแข่งขันคัดเลือก จึงจะมีสิทธิ์ได้รับคำชี้แนะจากฉัน” เซียวจ้านพูดต่อ

สีหน้าของทุกคนก็จริงจังขึ้นมา พวกเขาเข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกไม่ใช่แค่วันสองวัน สำหรับความแข็งแกร่งของเซียวจ้าน รู้ดีอยู่แก่ใจ เขาเป็นอันดับหนึ่งอย่างสมบูรณ์ เคยหนึ่งต่อสองมาก่อน และไม่เคยตกเป็นฝ่ายตามหลัง

ตอนนี้ต้องการให้มู่เซิ่งผ่านการแข่งขันคัดเลือกจึงจะชี้แนะ นี่เป็นเรื่องปกติเป็นอย่างมากแล้ว พวกเขาถึงขนาดรู้สึกว่า แม้ว่ามู่เซิ่งจะผ่านการแข่งขันคัดเลือกได้ ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับคำชี้แนะของเซียวจ้าน

เมื่อหยางเหม่ยหลินได้ยินคำพูดนี้ ก็หัวเราะชอบใจขึ้นมาในทันที ดวงตาสวยมองไปทางเซียวจ้าน และรีบพูดว่า: “นั่นนะสิ น้องสาว ความแข็งแกร่งของเซียวจ้าน ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถที่จะท้าทายได้ เขาประลองแลกเปลี่ยนความรู้กับมู่เซิ่ง นี่เป็นบุญที่มู่เซิ่งทำมาแปดชั่วโคตรแล้ว ถ้าไม่ผ่านการทดสอบแข่งขันคัดเลือก เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะให้ฉันลงมือได้ด้วยซ้ำ”

เซียวจ้านชำเลืองมองหยางเหม่ยหลินอย่างชื่นชม พยักหน้าพูดว่า“แกควรผ่านเครื่องทดสอบวัดกำลังก่อนนะ อย่างน้อยก็ต้องห้าร้อยกิโลกรัมขึ้นไปถึงได้”

ห้าร้อยกิโลกรัม สำหรับคนธรรมดา ทรงพลังเป็นอย่างมากสำหรับคนทั่วไป แม้แต่ทหารบางคน ก็ยากที่จะชกด้วยพละกำลังห้าร้อยกิโลกรัมได้ ห้าร้อยกิโลกรัม คือเส้นแบ่งเขตของปรมาจารย์บู๊และคนธรรมดา

แน่นอนว่า การแบ่งประเภทของปรมาจารย์บู๊เฉพาะนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพละกำลังเท่านั้น ในโลกนี้ เคยมีนักมวยที่สามารถชกด้วยพละกำลังแปดร้อยกิโลกรัม แต่หลังจากเป็นปรมาจารย์บู๊ พละกำลังของคุณจะเพิ่มเป็นห้าร้อยกิโลกรัมโดยตรง ดังนั้นเครื่องทดสอบวัดกำลัง จึงเป็นวิธีที่เรียบง่ายและชัดเจนที่สุด

ชกหนักห้าร้อยกิโลกรัม เพียงพอที่จะชกคนกระเด็นออกไปไกลหนึ่งเมตร และนี่เป็นเพียงพลังอย่างรุนแรงของปรมาจารย์บู๊ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ช่องว่างระหว่างคนธรรมดากับปรมาจารย์บู๊ ก่างกันใหญ่แค่ไหนกันแน่

แต่สำหรับเซียวจ้าน ความแข็งแกร่งห้าร้อยกิโลกรัม เห็นได้ชัดว่าไม่อยู่ในสายตาเลย

หยางฉางจวินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็พูดว่า: “ถ้าหากแกมั่นใจในตัวเองจริงๆ ฉันจะให้โอกาสทดสอบกับแก ลงมือสิ”

“มู่เซิ่ง พ่อของฉันอนุญาตให้นายเข้าร่วมแล้ว รีบลงมือเถอะ”หยางฟางฟางพูดด้วยความตื่นเต้นอย่างเร่งรัด

มู่เซิ่งอยู่ท่ามกลางฝูงชน อดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนมีอำนาจที่มีชื่อเสียง แต่ก็ไม่ถึงขั้นให้คนมาวิพากษ์วิจารณ์นะ?

ยิ่งไปกว่านั้น หยางฟางฟางบอกว่าตระกูลต้องการพาคนเข้าสู่สี่องค์กรใหญ่ จึงจะจัดการปัญหาของตระกูลได้ พี่รองและพี่ใหญ่ของเธอพาผางจือหู่มาสำเร็จแล้ว ก็เขาไม่จำเป็นต้องลงมืออยู่แล้ว

เขาปรากฏตัวในตอนนี้ แค่ทำแบบขอไปทีก็พอแล้ว

“หยางฟางฟาง เธอมองฉันดีขนาดนั้น เกรงว่าครั้งนี้ จะทำให้ผิดหวังแล้ว”

มู่เซิ่งพูดอย่างราบเรียบ เดินไปถึงตรงหน้าของเครื่องวัดกำลัง ยกมือขึ้นเรียบเฉย กระแทกหมัดลงไปอย่างสบายๆ

“ผลัวะ!”

มีเสียงดังตูมตามจากเครื่องทดสอบกำลังหมัดดังมาเล็กน้อย สายตาของทุกคนมองไป เห็นแค่บนเครื่องวัดกำลังหมัด ปรากฏตัวเลขชุดหนึ่งคือสองร้อยยี่สิบห้ากิโลกรัม

“ฮ่า!”

เมื่อเห็นชุดตัวเลขนี้ ทุกคนก็หัวเราะออกมาเสียงในทันที

พลังกำลังสองร้อยยี่สิบห้านี้ สำหรับคนธรรมดา แข็งแกร่งมากจริงๆ แต่พวกเขาเป็นใคร? พวกเขามาเข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกแบบนี้ แทบจะเข้าสู่แดนปรมาจารย์บู๊กันทุกคนแล้ว ยังมีปรมาจารย์ อยู่ในสายตาของคนเหล่านี้ กำลังของหมัดนี้ ไม่ได้อยู่ในสายตาอยู่แล้ว

“ฮ่าๆ แค่สองร้อยกว่ากิโลกรัม ชกสองหมัดรวมกันยังสู้หนึ่งหมัดของฉันไม่ได้เลย คนแบบนี้คู่ควรได้รับการชี้แนะจากพี่เซียวเหรอ? อย่าสบประมาทพี่เซียว!”

“นั่นนะสิ ก็ไม่ดูว่าที่นี่คือที่ไหน ความแข็งแกร่งของเขาอย่าว่าแต่ได้รับคำชี้แนะจากพี่เซียวเลย ไม่มีแม้แต่สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือก น่าขายหน้าเกินไปจริงๆ”

“คุณหนูหยาง คุณแน่ใจเหรอว่าคนที่พามามีคุณสมบัติเข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกเหรอ?” มีคนถามเสียงดังจากด้านล่าง

“เฮ้ย ทุกคนอย่าทำให้คุณหนูหยางลำบากใจเลย ไม่แน่เธออาจจะโดนคนหลอกก็ได้นะ!”

“นั่นนะสิ แม้ว่าพลังของคนแบบนี้จะไม่เพียงพอเทียบกับของพวกเรา แต่แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาเล็กน้อย ไม่แน่อาจจะเพิ่มกล ก็ถูกหลอกให้ผ่านด่านได้”

บางคนกำลังปลอบใจหยางฟางฟาง แต่ความหมายในคำพูดนั้น ทั้งหมดเป็นการเยาะเย้ยมู่เซิ่ง

เมื่อหยางเหม่ยหลินเห็นเช่นนี้ ก็ส่ายหัวถอนหายใจ พลังแค่นี้ไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาของเธอ ทำไมน้องสาวของเธอถึงได้พาคนแบบนี้กลับมานะ?

เซียวจ้านก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะด้วยความปล่อยวางในทันที

ตอนแรกเขาคิดว่ามู่เซิ่งจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน ตอนนี้ดูเหมือนว่า แค่เศษสวะคนหนึ่ง เขาแสยะยิ้มพูดว่า: “เฮ้อ ตอนแรกยังอยากชี้แนะให้กับแกอย่างละเอียด ผลปรากฏว่าความแข็งแกร่งของแก ไม่นึกเลยว่าจะมีแค่นี้ งั้นฉันก็ไม่ลงมือแล้วนะ ฉันกลัวว่าชกหมัดหนักเกินไปโดยไม่ทันระวัง จะชกแกให้ตาย”

“พี่เซียว หมอนี่มีคุณสมบัติให้พี่ชี้แนะได้ที่ไหนกัน!”มีคนพูดอย่างเย้ยหยัน

หยางฉางจวินมองไปที่หยางฟางฟางด้วยความผิดหวัง เขาไม่ได้โทษมู่เซิ่ง ความแข็งแกร่งนี้ใช้ไม่ได้จริงๆ เขาคงจะโดนลูกสาวของตัวเองหลอกมา และโดนบีบให้ทำเรื่องที่ความสามารถไม่ถึง

“เอาล่ะ ถ้าหากไม่มีเรื่องอื่น งั้นการแข่งขันคัดเลือก ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ”ตามด้วยหัวหน้าเซี่ยพูดขึ้นมา ทุกคนก็เงียบลงมาในทันที

ในบรรดาฝูงชนทั้งหมด มีเพียงครูฝึกฝานหรงซึ่งยืนอยู่ในระยะทางที่ไกลที่สุด สายตาจับจ้องไปที่บนตัวของมู่เซิ่งมาโดยตลอด ในสายตาของเขาดูแปลกใจเล็กน้อย อยากจะเอ่ยปากพูด แต่ขยับริมฝีปากแล้ว ในที่สุดก็กลั้นไว้

มู่เซิ่งซึ่งเป็นจุดสนใจของผู้คนทั้งหมดกลับไม่ได้สนใจ ยักไหล่ ก็เดินไปด้านหลังของฝูงชน

ทันทีที่เหยาเผิงเห็นมู่เซิ่งลงมา รีบเดินเข้าไป เขาไม่ได้พูดอะไรที่ไม่จำเป็น หมัดหนึ่งของมู่เซิ่งไม่ได้แค่สองพันกิโลกรัม แต่เขาทำแบบนี้ คงจะมีเหตุผลอย่างแน่นอน แต่มู่เซิ่งไม่ได้พูดอะไร เหยาเผิงไม่มีทางถามอยู่แล้ว

หยางฟางฟางโกรธจนกระทืบเท้า เธอเห็นฉากที่มู่เซิ่งฆ่ามังกรคะนองน้ำกับตาตัวเอง มู่เซิ่งตรงหน้านี้ คงจะซ่อนความแข็งแกร่งอย่างแน่นอน เธอมองค้อนใส่มู่เซิ่ง: “นาย นายทำไมไม่ใช้พลังทั้งหมด?”

“พอได้แล้ว ฟางฟาง แกก็ไม่ดูว่าตอนนี้มันงานอะไร? หัวหน้าเซี่ยพูดแล้ว ถ้าแกกล้าสร้างปัญหาอีก ฉันจะกักขังแก!” หยางฉางจวินพูดอย่างเยือกเย็น

ทันทีที่เธอได้ยินว่ากักขังทั้งสองคำ หยางฟางฟางพูดอะไรไม่ออกในทันที

แต่ดวงตาของเธอ ยังจ้องมองมู่เซิ่งด้วยความโกรธ ดูเหมือนกำลังตำหนิมู่เซิ่งทำไมต้องทำให้เธอหน้าแตกด้วย

เมื่อเห็นท่าทางโกรธของหยางฟางฟาง หยางฉางจวินก็โบกมืออย่างหงุดหงิด และพูดว่า: “แกลงไปก่อน เฮ้อ เมื่อไหร่ที่แกทำตัวดีๆเหมือนกับพี่สาวของแกได้ก็ดี รอหลังจากที่การแข่งขันคัดเลือกจบลง รีบให้เขาไสหัวออกจากที่นี่ซะ ใช่แล้ว อย่าลืมบอกกับเขาว่าห้ามเปิดเผยเรื่องโกดังขององค์กร ไม่อย่างนั้น ผลที่ตามมาไม่ใช่สิ่งที่เขาแบกรับไว้ได้”

ตอนแรกหยางฉางจวินเห็นลูกสาวพาคนมา ยังคิดว่าจะมีอะไรเซอร์ไพรส์ ผลปรากฏว่าตอนนี้ดูเหมือนว่า ยังคงเหมือนกับคนที่พามาก่อนหน้านี้ ไม่ได้เรื่องอะไรเลย

เฮ้อ แค่นั้นแหละ

ความหวังของครอบครัวในอนาคต ขึ้นอยู่กับลูกสาวคนโตและลูกสาวคนรอง

ในเวลานี้ การแข่งขันบนเวที ได้เริ่มขึ้นแล้ว

เพราะว่าทุกคนรู้ดีแก่ใจ นอกจากหัวหน้าเซี่ยปรากฏตัวในวันนี้ และบุคคลมีอำนาจอย่างครูฝึกฝานหรงก็มาด้วย ดังนั้นตอนที่แข่งขันคัดเลือก ทุกคนก็ทุ่มเทกำลังเป็นพิเศษ ถึงกับมีคนชกจนกำลังที่โชว์ออกมาคือสองพันกิโลกรัม ทำให้ทุกคนอุทานออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ชกหมัดนี้ออกไป ก็คือพลังสองตันเลยนะ

และหลังจากที่หยางฟางฟางโดนพ่อสั่งสอน น้อยใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา ตั้งแต่เล็กจนเธอโต ทุกเรื่องอยู่ในสายตาของพ่อเธอ ไม่ได้ดีกว่าพี่สาว ตอนนี้ไม่ง่ายเลยที่จะเชิญมู่เซิ่งกลับมา เตรียมพร้อมที่จะลืมตาอ้าปาก ผลปรากฏว่ามู่เซิ่งกลับทำลายในเวลานี้

เธอก็ไม่ยอมที่จะจบลงแบบนี้อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่ลงจากเวทีก็วิ่งตรงไปที่ข้างกายของมู่เซิ่ง แต่มองดูใบหน้านิ่งสงบของเขา หยางฟางฟางไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรอยู่พักหนึ่ง

ดังนั้น เธอตาแดงมาโดยตลอด และเอาแต่จ้องไปที่มู่เซิ่งอย่างแรง

มู่เซิ่งไม่ได้สนใจเธอ เธอก็จ้องเขม่นมู่เซิ่งอยู่แบบนี้มาโดยตลอด และจ้องเขม่นแต่มู่เซิ่งมาโดยตลอด

หยางฟางฟางดูเหมือนอายุยี่สิบปีเหมือนมู่เซิ่ง ทำไมนิสัยยังเหมือนเด็กน้อยเลย เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ และพูดว่า: “คุณหยาง เธอเอาแต่มองฉันทำไม?”

หยางฟางฟางรอคำพูดนี้ของมู่เซิ่งอยู่

“มู่เซิ่ง นาย นายทำไมถึงทำแบบนี้? ฉันพานายมา เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือก นายทำไมต้องซ่อนพลังด้วย?”หยางฟางฟางกัดฟันพูดด้วยความแค้นใจ แทบอยากจะกัดบนไหล่ของมู่เซิ่งแรงๆ แต่ก็กลัวมู่เซิ่งจะโกรธอีก ยังไงซะมู่เซิ่งไม่ค่อยล้อเล่นกับเธอ

มู่เซิ่งมองดูการแข่งขันบนเวทีประลอง และพูดอย่างราบเรียบว่า: “ก่อนหน้านี้เธอให้ฉันมา บอกว่าเพื่อจัดการปัญหาในตระกูลของเธอใช่มั้ย? ตอนนี้พี่รองของเธอหาคนมาจัดการได้แล้ว ฉันก็ไม่จำเป็นต้องลงมืออีก เรื่องที่รับปากเธอไว้ ก็น่าจะเสร็จสิ้นเช่นกัน”

“ฉัน ฉัน…….”

หยางฟางฟางพูดไม่ออกกับสิ่งที่มู่เซิ่งพูด

แต่เธอไม่พอใจ และพูดต่อไปว่า“มู่เซิ่ง ทำไมนายไม่ยอมเข้าร่วมสี่องค์กรใหญ่ สำหรับนายแล้ว ก็เป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง ขอแค่หลังจากที่นายเข้าร่วม ตระกูลเจียงของพวกนายเกรงว่าจะก้าวกระโดดไปสู่การเป็นตระกูลชั้นนำทางเมืองเจียงหนาน สาขาไหนของตระกูลกู่ ก็ต้องอยู่ภายใต้ตระกูลเจียงของคุณ”

หยางฟางฟางไม่เข้าใจ ทำไมทุกคนก็แย่งชิงกันอยากจะเข้าไปในองค์กร สำหรับมู่เซิ่ง กลับไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ

มู่เซิ่งพูดอย่างใจเย็นว่า “สี่องค์กรใหญ่เหรอ? สำหรับเธออาจจะเป็นของที่สูงส่ง ในสายตาของฉัน อาจจะไม่มีค่าอะไรเลย”

“ไม่มีค่าอะไรเลย?”

หยางฟางฟางก็ยิ่งไม่เข้าใจ

ในสี่องค์กรใหญ่ แม้แต่นักเสวียนก็มีเกือบสิบคนอยู่ องค์กรแบบนี้ คงจะหาไม่ได้อีกในทั่วทั้งประเทศตงหัว มู่เซิ่งมีสิทธิ์อะไรบอกว่ามันไม่มีค่าอะไรเลย?

หยางฟางฟางยังอยากจะพูดโน้มน้าว กลับถูกเหยาเผิงเรียกไว้ซะก่อน“คุณหยาง ฉันรู้ว่าเธอรู้สึกว่าให้ลูกพี่ขอฉันเข้าร่วมสี่องค์ใหญ่ ก็เพราะหวังดีต่อเขา แต่เธออย่าเสียปากดีกว่า ด้วยความแข็งแกร่งของมู่เซิ่ง สี่องค์ใหญ่ไม่มีกำลังพอที่จะรับเขาไว้ด้วยซ้ำ”

“อย่ามองว่าเซียวจ้านฉายแววโดดเด่น ถ้าลูกพี่ของฉันลงมือ เขาไม่สามารถแบกรับไว้ได้แม้แต่หมัดเดียว”

หยางฟางฟางถอนหายใจ ของพวกนี้ เธอรู้อยู่แล้ว แต่ว่าให้มู่เซิ่งเข้าร่วมสี่องค์กรใหญ่ นอกจากดีต่อมู่เซิ่ง ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง ไม่อยากโดนพี่สาวของตัวเองดูถูก ทุกครั้งที่เห็นสายตาผิดหวังของพ่อเธอ ในใจของเธอก็ทุกข์เป็นอย่างมาก

ยิ่งกว่านั้นท่าทางยโสโอหังอย่างยิ่งของเซียวจ้านก่อนหน้านี้ หยางฟางฟางมองดูจนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แทบอยากจะชกไปที่ตาของคนคนนี้ แต่มู่เซิ่งกลับไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย

มู่เซิ่งมีความแข็งแกร่งของนักเสวียน แต่ในสี่องค์กรใหญ่ ก็มีนักเสวียนหลายคน หยางฟางฟางรู้สึกว่าตอนนี้มู่เซิ่งยังเป็นนักเสวียนระดับหนึ่งนะ ไปในสี่องค์กรใหญ่ น่าจะไม่นับว่าเป็นการให้เกียรติกับคนอื่นนะ

ในใจของเธอเต็มไปด้วยความสับสนมากมาย บนเวทีประลอง จู่ๆก็มีคนลุกขึ้นมา…….