ตอนที่ 361 โอกาสมักสงวนไว้สำหรับผู้ที่เตรียมพร้อม

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

ตอนที่ 361 โอกาสมักสงวนไว้สำหรับผู้ที่เตรียมพร้อม

“วันนี้ปีหน้าอะไรนะครับ”

อู๋หย่งตามความคิดของหลินเยวียนไม่ทันไปชั่วขณะ

หลินเยวียนเองก็ไม่ได้อธิบาย บอกไปว่า “ติดต่อซุนเย่าหั่วหน่อยครับ”

“ได้ครับ…”

อู๋หย่งรีบหันไปเตรียมจัดการทันที

กู้ตงซึ่งอยู่ด้านข้างเอ่ย “เดี๋ยวฉันจัดการให้ค่ะ…”

เธอรู้สึกว่ารองหัวหน้าคนนี้คล้ายกับจะแย่งหน้าที่ผู้ช่วยของเธอ

ทุกครั้งที่ตัวแทนหลินเข้าบริษัท อีกฝ่ายจะต้องปรี่เข้ามาในห้องทำงานอย่างขยันขันแข็งกว่าตนเสียอีก

“ได้ครับ”

อู๋หย่งพยักหน้า

หลังจากอู๋หย่งออกไป หลินเยวียนก็เริ่มขบคิดปัญหานี้

คนฉีชอบเพลงภาษาฉีมากกว่า ก็เพราะคุ้นเคยกับเพลงภาษาฉีมากที่สุดมาตั้งแต่เด็กจนโต นี่เป็นเรื่องที่ปกติมาก

และหลังจากฉิน ฉี และฉู่ผนวกรวม อิทธิพลของเพลงภาษาฉีแลดูคล้ายว่าจะขยายใหญ่กว่าเดิม

ชาวฉินและชาวฉู่จำนวนมากให้การยอมรับเพลงภาษาฉีเป็นอย่างดี

เพราะฉะนั้นบนชาร์ตเพลงใหม่ทุกเดือน จะมีเพลงภาษาฉีปรากฏขึ้นแถวหน้าเป็นครั้งคราว ต่อให้ฟังภาษาฉีไม่ออกก็ยังชื่นชอบ

จะเห็นได้ว่ายังมีตลาดขนาดใหญ่สำหรับเพลงภาษานี้อยู่

เมื่อนึกถึงว่าเพลงสิบปีก็มีเวอร์ชันภาษากวางตุ้ง และภาษากวางตุ้งก็บังเอิญเหมือนกับภาษาฉีของบลูสตาร์เข้าพอดี ดังนั้นหลินเยวียนจึงตัดสินใจ

ว่าจะปล่อยเวอร์ชันภาษาฉีของเพลงนี้ไปซะเลย ซึ่งก็คือเพลง ‘วันนี้ปีหน้า’ นั่นเอง!

ปัญหาตอนนี้ก็คือ ช่วงเวลาในการปล่อยเพลง

ปล่อยเดือนนี้ดี หรือว่าปล่อยเดือนหน้าดี

ช่างเถอะ

ปล่อยเดือนนี้เลยแล้วกัน

ตอนนี้ก็เดือนกันยายนแล้ว สิ้นเดือนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หลินเยวียนอยากดันซุนเย่าหั่วกับเจียงขุยให้เป็นนักร้องแถวหน้า จึงจำเป็นต้องแข่งขันกับเวลา

ปล่อยเพลงวันนี้ปีหน้าในเดือนหน้า ออกจะเสียเวลาเกินไปสักหน่อย

ยิ่งไปกว่านั้น เพลงวันนี้ปีหน้ายังมีข้อดีอีกข้อหนึ่ง

นั่นคือสามารถเกาะกระแสของเพลงสิบปีได้!

ในตอนนี้เพลงสิบปีกำลังโด่งดัง ถ้าหากปล่อยเวอร์ชันภาษาฉีออกไปอีก ไม่แน่อาจเรียกกระแสจากตลาดเพลงภาษาฉีก็ได้

ไม่มีใครกำหนดสักหน่อยว่านักประพันธ์เพลงปล่อยผลงานได้แค่เดือนละหนึ่งชิ้น

ยิ่งไปกว่านั้น ทำนองของเพลงวันนี้ปีหน้ากับเวอร์ชันภาษากลางนั้นไม่แตกต่างกัน มีเพียงการขับร้องและเนื้อเพลงที่เปลี่ยนไป

เมื่อคิดเช่นนี้ หลินเยวียนก็ตัดสินใจเด็ดขาด

แน่นอน

การปล่อยเพลงในเดือนเดียวกันใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลย

ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ทั้งสองบทเพลงอาจปรากฏอยู่บนชาร์ตเพลงเดียวกัน และก่อกำเนิดความสัมพันธ์แบบแข่งขันกัน

หน้ามือเป็นเนื้อ หลังมือก็เป็นเนื้อเหมือนกัน

แต่เมื่อคิดว่าเพลงสิบปีปล่อยออกไปก่อน แถมเพลงภาษากลางก็มีอิทธิพลมากกว่า หลินเยวียนจึงไม่ได้คิดมาก

ในแง่ของความนิยม แน่นอนว่าเพลงสิบปีแข็งแกร่งกว่า

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่เพลงวันนี้ปีหน้าจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะปล่อยออกมาได้

ในเรื่องของเวลา เวอร์ชันภาษากวางตุ้งแข่งกับเวอร์ชันภาษากลางบนการจัดอันดับไม่ไหวหรอก

“ไม่รู้ว่ารุ่นพี่ซุนเย่าหั่วพูดภาษาฉีได้ไหม”

หลินเยวียนพึมพำเสียงเบา

เพลงวันนี้ปีหน้าใช้ภาษาฉีในการขับร้อง

หากคนที่ไม่รู้ภาษาฉีมาทำแบบสุกเอาเผากิน แถมเวลายังกระชั้น ถ้าความสามารถไม่ถึง จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพของผลงาน

ช่วยไม่ได้

ถ้าหากซุนเย่าหั่วไม่ได้ภาษาฉีจริงๆ ก็ทำได้เพียงหาคนอื่นมาร้องเพลงวันนี้ปีหน้า

หลินเยวียนจำได้ว่าราชาเพลงอย่างหลานเหยียนเชี่ยวชาญภาษาฉี นอกจากนั้นด้วยฝีมือของหลานเหยียน จะสามารถรับมือกับเพลงวันนี้ปีหน้าได้เช่นกัน

ก่อนอื่น หลินเยวียนจำเป็นต้องทดสอบพรสวรรค์ด้านภาษาของซุนเย่าหั่วเสียก่อน

……

ซุนเย่าหั่วได้รับแจ้งจากกู้ตง ก็รีบมายังบริษัททันที

“รุ่นน้องเรียกฉันเหรอ”

เมื่อเทียบกับการพบกันครั้งก่อน วันนี้ซุนเย่าหั่วอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ดวงตาของเขาออกจะบวมแดงอยู่บ้าง ดังนั้นในมือของเขาจึงถือไข่ต้มไว้ประคบตาอยู่ตลอดเวลา

“สนุกไหมครับ”

หลินเยวียนมองไปยังไข่ไก่ในมือของซุนเย่าหั่ว

ซุนเย่าหั่วตระหนักขึ้นมา ยังไม่ทันนึกออกว่าควรตอบอย่างไร หลินเยวียนก็ส่ายหน้า “ไม่สนุกเท่าทรานส์ฟอร์เมอร์สแน่นอน”

“ทรานส์ฟอร์เมอร์สคืออะไรเหรอ”

หลินเยวียนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกเขามาจากไซเบอร์ทรอน มีฝั่งดีเซปทิคอน กับฝั่งออโตบอต!”

ซุนเย่าหั่ว “…”

เขาจะต้องกลับไปหาข้อมูล

หลินเยวียนโบกมือด้วยสีหน้าเหงาหงอย “รุ่นพี่ไม่เข้าใจหรอก อ้อ พี่พูดภาษาฉีได้ไหมครับ”

ซุนเย่าหั่วพยักหน้า “ได้”

ครั้งนี้เป็นหลินเยวียนที่ประหลาดใจ “ทำไมถึงพูดได้ล่ะ”

ซุนเย่าหั่วตอบอย่างมั่นใจ “เพราะนายเคยไปมณฑลฉีไง”

หลินเยวียนไม่เข้าใจ “แล้วยังไงครับ”

ซุนเย่าหั่วเกาศีรษะอย่างเก้อเขิน

“ตอนนั้นนายไปฉีโจว ฉันลองคิดดู ไม่แน่ว่านายอาจอยากหานักร้อง ถึงยังไงนายก็ไม่ได้คุ้นเคยกับนักร้องทางฉีโจวมากนัก ตอนนั้นเพลงภาษาฉีดังพอดี ถ้าฉันไม่ได้ภาษาฉีจะทำยังไง ก็เลยไปให้ครูสอนอยู่ครึ่งปี แถมคิดแล้วว่าถ้าภาษาฉีจบแล้วจะไปหานายที่ฉีโจว ยังไงตอนนั้นเราก็คุยกันไว้ซะดิบดี ปรากฏว่าฉันเรียนภาษาฉีจบแล้ว ยังไม่ทันได้ไปฉีโจว ฉีโจวกับฉินโจวก็ผนวกรวมกัน รุ่นน้องก็กลับฉินโจว กลายเป็นว่าฉันเรียนไปเสียเปล่า ไม่ได้ใช้ซะงั้น”

“ได้ใช้ครับ”

หลินเยวียนรู้สึกดีใจ

หากว่ากันตามการขับร้อง ซุนเย่าหั่วเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด

เพราะซุนเย่าหั่วร้องเพลงสิบปีได้ยอดเยี่ยมจริงๆ

ถึงแม้ว่าหลายเหยียนเองก็ไม่เลว แต่ด้วยท่วงทำนองลักษณะเดียวกัน และความหมายที่คล้ายคลึงกัน เพลงวันนี้ปีหน้าย่อมเหมาะจะให้ซุนเย่าหั่วร้องมากกว่า!

ซุนเย่าหั่วรู้สึกสับสน “นายหมายความว่ายังไง”

หลินเยวียนตอบ “เพลงสิบปียังมีเวอร์ชันภาษาฉี พวกทำนองคล้ายกัน”

ซุนเย่าหั่วเบิกตากว้าง “รุ่นน้องจะให้ฉันร้องเวอร์ชันภาษาฉีอีกเหรอ”

หลินเยวียนพยักหน้า

ซุนเย่าหั่วถูฝ่ามือ ใช้ภาษาฉีพูด “ฉันเรียนภาษาฉีมาครึ่งปี มีความรู้ภาษาฉีอยู่บ้าง น่าจะไม่มีปัญหา!”

“เปิ้นเข้าใจ๋แล้ว”

หลินเยวียนพยายามพูดภาษาฉี แต่หลังจากคิดไปคิดมา ประโยคนี้เหมือนจะไม่ใช่ภาษาฉีแฮะ

ช่างเถอะ

ไม่สำคัญหรอก

หลินเยวียนหยิบโน้ตเพลงวันนี้ปีหน้าออกมา “งั้นพี่เตรียมตัวเลยครับ เนื้อเพลงอยู่นี่ ลองทำความคุ้นเคยก่อน แล้วเราจะอัดเพลงโดยเร็วที่สุด”

ซุนเย่าหั่วชะงักไป กล่าวว่า “รุ่นน้องจะปล่อยเพลงภาษาฉีเดือนนี้?”

“ใช่ครับ”

“ก็ได้ ถึงเวลาจะกระชั้นไปสักหน่อย แต่มีรุ่นน้อง จะช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร ปล่อยเพลงกลางเดือนก็ยังได้”

ซุนเย่าหั่วรับเนื้อเพลงวันนี้ปีหน้ามา และร้องสองสามประโยคอย่างอดใจไม่ไหว

หลินเยวียนลองฟังดู ก็รู้ว่าซุนเย่าหั่วไม่ได้กำลังคุยโม้

ซุนเย่าหั่วร้องได้จริงๆ แถมยังร้องได้ดีมากเสียด้วย!

ถึงอย่างไรหูของหลินเยวียน ก็ฟังไม่ออกว่าที่ซุนเย่าหั่วร้องแตกต่างจากชาวฉีร้องอย่างไร

ถ้าหากไม่ได้รู้จักซุนเย่าหั่ว เขาคงถึงขั้นคิดว่าซุนเยาหั่วเป็นคนฉีเลยด้วยซ้ำ

“งั้นฉันไปซ้อมอัดเพลงก่อน สองสามวันนี้คงจะอยู่ที่บริษัทตลอด”

ซุนเย่าหั่วหยิบเนื้อเพลง พลางบอกลาหลินเยวียน

หลินเยวียนพยักหน้า

เขาหันหลัง ปิดประตูห้องทำงานให้กับหลินเยวียน ซุนเย่าหั่วผุดยิ้มอย่างอดไม่ได้ มือบีบเค้นแน่น

ทันใดนั้นเขาก็ต้องตกตะลึง

โน้ตเพลงที่เมื่อครู่ถูกเขาบีบนั้นยับย่น เขาจึงคลี่ออกอย่างระมัดระวัง พร้อมทั้งเป่าลมปัดฝุ่นราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า

“อาจารย์ซุนเดินดีๆ นะครับ”

คนในแผนกประพันธ์เพลงเอ่ยทักทายอย่างยิ้มแย้ม

ซุนเย่าหั่วยิ้มตอบ ราวกับตอนที่มาที่นี่ครั้งก่อน เขาไม่ได้ยินคำซุบซิบนินทาอย่างไรอย่างนั้น

และในห้องทำงาน

กู้ตงซึ่งเป็นประจักษ์พยานในบทสนทนาของทั้งสองก็พลันสัมผัสได้ถึงความหมายอันลึกซึ้งของภาษิตโบราณ

โอกาสมักสงวนไว้สำหรับผู้ที่เตรียมพร้อม

…………………………………………….