บทที่ 365 หมอเทวดา

เช้าวันรุ่งขึ้นในพระราชวังที่วิจิตรงดงาม

ในยามนี้พระพักตร์ของฮ่องเต้โจวไม่สู้ดีนัก พระองค์ประทับนั่ง เงยพระเศียรขึ้น สายพระเนตรหม่นหมองเป็นสัญญานของของพายุ ผู้คนในวังล้วนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว หากเผลอไปขัดใจฮ่องเต้เข้าล่ะก็ พวกเขาคงถูกลากไปประหารชีวิตแน่

ทันใดนั้นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปี มัดผมง่ายๆ สวมเสื้อผ้าปล่อยสบายทั้งๆ ที่ตอนนี้เป็นฤดูหนาว แต่เขากลับสวมเพียงชุดบางๆ ปล่อยเท้าเปลือยเปล่า ดูเหมือนไม่รู้สึกถึงความหนาวเลย เมื่อคนในวังเห็นเขา ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

คนผู้นี้คือหมอเทวดาที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานและไว้วางพระทัยมากที่สุด ตอนนี้พระองค์มีอาการหม่นหมองซึมเศร้า ตราบใดที่หมอเทวดาผู้นี้เข้าเฝ้า เขาย่อมมีวิธีที่จะรักษาให้ฮ่องเต้กลับมาเป็นปกติเช่นเดิมได้

“ฝ่าบาท” หมอเทวดาทำความเคารพ

เมื่อฮ่องเต้โจวเห็นเขา สีพระพักตร์ดีขึ้น

“เจ้านั่นเอง… นั่งลงก่อน”

หมอเทวดานั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้างฮ่องเต้โจว การกระทำของเขาเช่นนี้แม้แต่องค์ชายก็ไม่ได้รับเกียรติเช่นนั้น เห็นได้ว่าหมอเทวดาเป็นที่โปรดปรานมากเพียงใด

“ฝ่าบาท นี่เป็นยาอายุวัฒนะที่ข้าเตรียมมา สามารถช่วยให้พระวรกายของพระองค์กระปรี้กระเปร่าสดชื่นดูอ่อนกว่าวัยถึงห้าปี” หมอเทวดากล่าว ทำให้ฮ่องเต้โจวดีพระทัยมาก ยาตัวใหม่หรือ?

หลังจากที่ฮ่องเต้ได้เสวยยาบำรุงก่อนหน้านี้เป็นเวลาหนึ่งปีผ่านมา พระวรกายก็ฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว อาการปวดหัวและอาการนอนไม่หลับก็หายไป ราวกับว่าอายุของพระองค์ลดลงไปถึงสิบปี!

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ไม่นานนักยาเริ่มไม่ได้ผล พระองค์เริ่มทรงนอนไม่หลับกลับมาปวดพระเศียรเช่นเดิม เมื่อคืนนี้ฮ่องเต้โจวไม่สามารถข่มตาหลับได้ ทำให้สภาพจิตใจของพระองค์ทรุดลงทันที

โชคดีที่หมอเทวดาได้ปรุงยาตัวใหม่มาแล้ว

เขายื่นถวายกล่องใบหนึ่งแก่ฮ่องเต้โจว พระองค์รับยาไปทันที แทบจะรอไม่ไหวที่จะเปิดฝาออก ภายในกล่องมียาเม็ดสีดำอยู่ข้างใน ฮ่องเต้โจวหยิบขึ้นมาแล้วกลืนลงไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นไม่นานนักพระองค์ก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น!

“ดียิ่ง! ตบรางวัล!” ฮ่องเต้โจวปลาบปลื้มมาก

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เขากล่าว

“ท่านหมอ เหตุใดท่านจึงดูไม่มีความสุขนัก?” ฮ่องเต้โจวตรัสถาม

“หาไม่…ฝ่าบาท…”

“เจ้ามีอะไรอยากพูดก็รีบพูดเถอะ”

“อาอิ๋น…อาอิ๋นเป็นเหมือนน้องสาวของข้า แต่ตอนนี้กลับเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น..”

เมื่อวานควรเป็นวันที่องค์ชายสามและกู้อิ๋นได้เข้าพิธีแต่งงานกัน แต่แล้วก็มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น แม้ฮ่องเต้โจวจะไม่ได้เสด็จไปร่วมพิธี แต่เขาก็ได้รับรู้ข่าวงานแต่งงานที่ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ขององค์ชายสาม

“ท่านหมอไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะไม่ปล่อยให้นางต้องลำบากใจอย่างแน่นอน”

ทหารรักษาพระองค์ผู้หนึ่งได้ยินบทสนทนานี้เข้า เขารีบหันกลับไปรายงานที่ตำหนักของพระสนมกุ้ยเฟยทั้งที

……

ที่จวนโหว

วันนี้เป็นวันหยุดของเว่ยฉิง ชายหนุ่มตื่นเช้ากว่าปกติ เขาหยิบเสื้อผ้าออกมาลองสวมหลายชุด วันนี้เขากำลังจะไปพบกับพ่อตาและแม่ยายของเขา เว่ยฉิงอยากให้ทั้งสองคนประทับใจในตัวเขา ถังหลี่ลุกขึ้นจากเตียงเดินเข้ามาหา นางเห็นชั้นวางของเต็มไปด้วยเสื้อผ้า

เว่ยฉิงสวมชุดที่งดงามปักดอกไม้สีม่วงราวกับผีเสื้อ เขามองตนเองกระจก โชคดีที่เว่ยฉิงเป็นคนหน้าตาดี โครงหน้าคมชัดหล่อเหลา ไม่อย่างนั้นคงจะดูไม่ได้เอาเสียเลย แต่กระนั้นดอกไม้สีม่วงก็ยังไม่เหมาะกับเขามันดูน่าขบขันอยู่บ้าง ถังหลี่ยืนหัวเราะจนเขาต้องหันไปมอง

“ภรรยา ข้าใส่ชุดนี้ดูไม่เหมาะหรือ?” เว่ยฉิงถาม

“ดูดีจนเจ้าไปที่หอนางโลมเพื่อเป็นคณิกาได้เลยละ” ถังหลี่ยิ้ม

“ข้าจะรับลูกค้าแค่เจ้าเท่านั้น” เว่ยฉิงพูดติดตลก หลังจากที่หยอกล้อกันแล้วเว่ยฉิงก็เผยความลำบากใจ

“ฮูหยิน ข้าควรสวมชุดไหนดี?”

เขารู้สึกจู้จี้จุกจิกขึ้นมา นี่ช่างยากกว่าการสะสางงานของเขาอีก ถังหลี่หยิบชุดออกมาจากกองเสื้อผ้าบอกกับเว่ยฉิงว่า

“สวมชุดนี้” เว่ยฉิงสวมใส่อย่างว่าง่าย มันเป็นชุดสีดำแต่มีลวดลายที่งดงาม บริเวณแขนเสื้อมีลายปักเมฆมงคล ผ้าคาดเอวเป็นสีดำทอง

เมื่ออยู่บนตัวเว่ยฉิงแล้วทำให้เขาดูสง่างามหรูหรา ผู้คนล้วนพึ่งพาอาภรณ์ เว่ยฉิงก็เช่นกัน ภาพลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไป

ถังหลี่เอียงศีรษะมองสามี

“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านพ่อตาแม่ยายจะชอบหรือ?” เว่ยฉิงถามด้วยความไม่สบายใจอยู่บ้าง ในขณะที่ยืนมองตัวเองอยที่หน้ากระจก เขารู้สึกประหม่าเกินกว่าจะเจอพ่อตาและแม่ยายได้ เว่ยฉิงกังวลว่าเขาจะทำอะไรผิดพลาดต่อหน้าบิดามารดาของภรรยา…

ดวงตาของถังหลี่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม สามีของนางช่างน่ารักเสียจริงๆ ชั่วพริบตาต่อมานางรั้งคอเขาลงมาเขย่งปลายเท้าจูบเบาๆ บนริมฝีปากของเขา

“สามี ข้าพอใจมาก แน่นอนว่าท่านพ่อท่านแม่ก็จะชอบเช่นกัน” ถังหลี่พูด

เว่ยฉิงก้มหน้ามองใบหน้าเล็กๆ ของภรรยากดจูบนางที่แก้ม

ใช่แล้ว ภรรยาของเขาชอบเขา ทำให้เขาเกิดความมั่นใจมากขึ้น

“ตกลง ข้าจะใส่ชุดนี้”

ทั้งคู่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินไปที่ห้องกินอาหารซึ่งเด็กๆ กำลังรอพวกเขาอยู่ ปีนี้สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งอายุได้สิบสามปีแล้ว ทั้งสองเติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มรูปงาม พวกเขาสวมชุดสีขาวเหมือนกันและดูหล่อเหลาทั้งคู่

เว่ยจื่ออี้อายุสิบสองปี เขาเป็นเด็กหนุ่มแล้ว ทว่าจิตใจของเขานั้นยังคงเป็นเหมือนเด็กๆ หลังจากที่มาเมืองหลวงได้สองเดือน เขาก็คุ้นเคยกับที่ต่างๆ แต่เว่ยจื่ออี้ไม่ชอบอ่านหนังสือ ถังหลี่จึงปล่อยเขาไป ไม่บังคับ นางให้เว่ยจื่ออี้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำ

ส่วนซานเป่า ตอนนี้นางอายุได้แปดขวบแล้ว เด็กหญิงสวมชุดสีชมพูมีใบหน้าที่อวบอิ่มน่ารัก ดวงตาของซานเป่ากลมโต หากได้จ้องมองใครเหมือนกับหัวใจจะละลายเป็นสายน้ำ

เด็กทั้งสี่คนกล่าวทักทาย ถังหลี่นั่งข้างซานเป่าลูบหัวกลมๆ ของนาง หยิบเกี๊ยวเนื้อให้

“กินเถอะ”

ถังหลี่เชิญพ่อครัวมาเป็นพิเศษเพื่อทำอาหารจานนี้ เพียงเพราะซานเป่าชอบกิน

ซานเป่าหยิบเกี๊ยวขึ้นมายัดเข้าปากจนหมด ด้วยท่าทางน่าอร่อย

“กินช้าๆ ไม่ต้องรีบ” ถังหลี่กลัวนางจะสำลัก ซานเป่าจึงได้เริ่มทานช้าลง

หลังจากพวกเขากินอาหารเสร็จแล้ว ทั้งหมดก็ออกเดินทางไปยังจวนแม่ทัพกู้ทันที โดยมีรถม้าทั้งหมดสองคัน คันหนึ่งมีพวกเขาหกคน ส่วนอีกคันเต็มไปด้วยของขวัญมากมายที่ถูกเว่ยฉิงได้เตรียมเอาไว้เป็นพิเศษสำหรับวันนี้

ที่จวนสกุลกู้ พวกเขามารอการมาถึงของถังหลี่และครอบครัว

ฮูหยินกู้ทนนั่งรออยู่ในห้องไม่ไหว นางจึงพาแม่ทัพกู้ และกู้หวนอวี้มารอที่หน้าประตูจวน เมื่อกู้หวนจิ่นออกมา เขารู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นร่างของคนทั้งสาม

พี่ชายคนรองของเขามีนิสัยอ่อนโยน แต่แท้จริงแล้วเป็นคนที่คาดเดาได้ยากมากที่สุด เขาไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าพี่รองรู้สึกเช่นไรกับถังหลี่ แต่ตอนนี้กู้หวนจิ่นกลับเห็นว่าเขาตั้งตารอคอยการมาถึงของน้องสาวเช่นเดียวกัน

“พี่รอง ท่านก็มารอน้องเล็กด้วยหรือ?” กู้หวนจิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม

“อืม” กู้หวนอวี้ตอบรับ