ตอนที่ 359 ฮูเหยียนเวยร้องไห้

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 359 ฮูเหยียนเวยร้องไห้

อวี้ชางค้อมตัวลงเล็กน้อย “เชิญฝ่าบาทตรัสมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่าอวิ๋นถูกล่าวว่า “เฮ่าชิงชิงธิดาของข้าถึงวัยออกเรือนแล้ว บ้านแม่ทัพฮูเหยียนมีบุตรชายคนเล็กที่ถึงวัยแต่งงานแล้วเช่นกัน เหมาะสมพอดีกันนัก จึงอยากให้ขอให้อาจารย์ช่วยเป็นพ่อสื่อ ไม่ทราบว่าอาจารย์มีความเห็นอย่างไร?” แววตาเปี่ยมด้วยความคาดหวัง

พอเขากล่าวประโยคนี้ออกมา ซานเชียนหลี่ เป่ยเสวียนและอวี่เหวินเยี่ยนสบตากันเล็กน้อย พอจะเข้าใจเหตุผลที่องค์ฮ่องเต้ลากพวกเขามาแล้ว

ถึงแม้อวี้ชางจะมีชื่อเสียง อีกทั้งเป็นยอดฝีมือลำดับที่ห้าบนทำเนียบโอสถ แต่ก็ยังมีความแตกต่างกับพวกเขาเป็นอย่างมาก

พวกเขาสามคนก็มีตำแหน่งในหอเลือนสลัวเช่นกัน อีกอย่างหอเลือนสลัวต่างหากที่กุมอำนาจทั้งหมดในใต้หล้าไว้ แตกต่างกันมากแค่ไหนเพียงคิดดูก็รู้แล้ว ดังนั้นอวี้ชางจึงยังไม่ได้มีค่าถึงขั้นที่จะให้พวกเขาทั้งสามออกหน้ามารับรองพร้อมกันได้ วุ่นวายมานานสองนาน ที่แท้องค์ฮ่องเต้ก็ทำเพื่อเรื่องวิวาห์ขององค์หญิงใหญ่นี่เอง!

ทั้งสามคนก็ทราบเรื่องนี้เช่นกัน กองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นฉีอยู่ในมือของฮูเหยียนอู๋เฮิ่น กองทหารม้าที่เป็นหนึ่งไม่มีสองก็ถูกก่อตั้งขึ้นโดยฮูเหยียนอู๋เฮิ่น ภายในกองทหารม้า ตำแหน่งและอำนาจของฮูเหยียนอู๋เฮิ่นไม่มีผู้ใดมาแทนที่ได้ ขอเพียงฮูเหยียนอู๋เฮิ่นไม่ยินยอม ถึงราชสำนักจะส่งผู้ใดไปนั่งประจำการในตำแหน่งผู้บัญชาการก็ไม่มีประโยชน์

เรื่องแบบนี้ ต่อให้ส่งผู้บำเพ็ญเพียรจากสามสำนักไป ‘ปกป้อง’ อยู่ข้างกายฮูเหยียนอู๋เฮิ่น และสามารถปลิดชีพฮูเหยียนอู๋เฮิ่นได้ตลอดเวลาก็ไม่มีประโยชน์ ฮ่องเต้กล้าสังหารฮูเหยียนอู๋เฮิ่นส่งเดชอย่างนั้นหรือ?

ต่อให้องค์ฮ่องเต้อยากสังหารก็ต้องถามความเห็นจากสามสำนักด้วย หากสังหารฮูเหยียนอู๋เฮิ่น กองทหารม้าจะต้องเกิดความโกลาหลแน่นอน ดีไม่ดีทหารอาจจะก่อกบฏวุ่นวายขึ้นมา หากกองกำลังภายนอกฉวยโอกาสบุกเข้ามา มันจะกระทบถึงผลประโยชน์ของสามสำนักใหญ่ คนของสามสำนักใหญ่ไม่อาจนั่งดูดายได้!

เนื่องด้วยเหตุนี้ หากจะพูดให้ฟังดูแน่หน่อย หากจู่ๆ วันหนึ่งฮูเหยียนอู๋เฮิ่นแสดงท่าทีจะสนับสนุนองค์ชายคนใดขึ้นมา สามสำนักใหญ่ก็จำเป็นต้องใคร่ครวญให้ความสำคัญกับความเห็นของฮูเหยียนอู๋เฮิ่นด้วย หากวันนั้นมาถึงจริงๆ เกรงว่าแม้แต่ตำแหน่งฮ่องเต้ของเฮ่าอวิ๋นถูก็คงจะมีอันตรายไปด้วย

อย่าคิดว่าแคว้นฉีแห่งนี้จะสงบสุขทั่วกัน อย่าคิดว่าจะไม่มีผู้ใดหมายปองตำแหน่งฮ่องเต้ของเฮ่าอวิ๋นถู

เมื่อเป็นเช่นนี้ เฮ่าอวิ๋นถูย่อมต้องมีความพะวงในตัวฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเป็นธรรมดา

ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเองก็ใช่ว่าจะไม่ภักดีต่อแคว้นฉี และใช่ว่าจะไม่ภักดีต่อเฮ่าอวิ๋นถู แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขาไม่อยากเลือกใช้วิธีการนำเอาลูกมาแต่งงานเกี่ยวดองกัน

แต่เฮ่าอวิ๋นถูไม่วางใจนี่นา เรื่องราวในใต้หล้านี้มีปัจจัยไม่แน่นอนอยู่มากเกินไป เรื่องในอนาคต ไม่ว่าผู้ใดก็บอกได้ยาก เขาจำเป็นต้องผูกมัดตระกูลฮูเหยียนไว้กับเขา!

ตอนนี้การมาถึงของอวี้ชางทำให้เฮ่าอวิ๋นถูมองเห็นโอกาส อวี้ชางเองก็นับได้ว่าเป็นอาจารย์ของฮูเหยียนอู๋เฮิ่น ในฐานะที่เป็นอาจารย์ อีกฝ่ายน่าจะโน้มน้าวฮูเหยียนอู๋เฮิ่นได้ดีกว่าคนอื่น

สำหรับเรื่องนี้ เจ้าสำนักทั้งสามไม่สะดวกจะกล่าวอันใด

อวี้ชางได้ฟังก็เงียบไปเล็กน้อย ชื่อเสียงของเขาก็ใช่ว่าจะได้มาเปล่าๆ ย่อมต้องกระจ่างในบางเรื่องราวดี

เจตนาขององค์ฮ่องเต้ชัดเจนเป็นอย่างมาก อย่าว่าแต่ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเลย แม้แต่คนนอกก็รู้แก่ใจดีเช่นกัน หากว่าบุตรชายคนใดของฮูหยียนอู๋เฮิ่นได้แต่งกับองค์หญิง องค์ฮ่องเต้ก็จะเข้าไปก้าวก่ายเรื่องในตระกูลฮูเหยียนได้ แต่มิใช่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องทั่วๆ ไปในครอบครัวอันใด หากแต่เป็นเรื่องที่ว่าผู้ใดแต่งกับองค์หญิง ฮ่องเต้ก็จะสนับสนุนผู้นั้น คนที่ได้รับการสนับสนุนย่อมได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลฮูเหยียนในอนาคตแน่นอน ถ้าเฮ่าอวิ๋นถูยืนกรานจะให้การสนับสนุนใครสักคน จะมีสักกี่คนที่ขวางเขาได้?

ประเด็นสำคัญคือเกรงว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แค่ให้การสนับสนุนเท่านั้น เพราะเมื่อต้องการสนับสนุนใครสักคน ก็อาจจะต้องข่มบุตรชายคนอื่นๆ ของฮูเหยียนอู่เฮิ่นไว้

เห็นได้ชัดว่าฮูเหยียนอู๋เฮิ่นไม่ต้องการให้องค์ฮ่องเต้สอดมือเข้ามาในบ้านตน เพราะแบบนั้นมันจะทำให้ภายในบ้านเกิดความวุ่นวาย การทีเรื่องในครอบครัวกับเรื่องบ้านเมืองปะปนกันมิใช่เรื่องดีอันใดต่อตระกูลฮูเหยียนแน่นอน หากว่าฮูเหยียนอู๋เฮิ่นยอมตอบตกลงง่ายๆ คาดว่าเฮ่าอวิ๋นถูคงไม่ต้องมาขอร้องอวี้ชางแบบนี้

อวี้ชางเองก็ฟังเจตนาขององค์ฮ่องเต้ออกเช่นกัน มีเจตนาจะทำการแลกเปลี่ยน ความหมายคือหากเจ้าช่วยจัดการเรื่องวิวาห์ให้ข้าได้ ข้าก็จะช่วยเจ้าตามหาหนิวโหย่วเต้า!

อวี้ชางเอ่ยเสียงเรียบว่า “บุตรชายคนเล็กของตระกูลฮูเหยียน กระหม่อมเคยได้ยินเรื่องราวมาเช่นกัน เป็นเด็กซุกซนเสเพลคนหนึ่ง เกรงว่าจะไม่เหมาะกับองค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ!”

เฮ่าอวิ๋นถูกล่าวว่า “หากว่าเกินจะเยียวยาแล้วจริงๆ ข้าก็คงไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่ข้าคอยจับตาดูเด็กคนนั้นมาตลอด ภายนอกหยาบกระด้าง เนื้อในละเอียดลออ มิได้ย่ำแย่อย่างที่เห็นกันในภายนอก ยิ่งไปกว่านั้นคือธิดาของเราคนนั้นถูกพะเน้าพะนอมาตั้งแต่เล็ก เป็นสาวน้อยที่ทำให้คนปวดเศียรเวียนเกล้าเช่นกัน ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร ข้าต้องการบุรุษที่กล้าสั่งสอนอบรมนางอยู่พอดี คนหนึ่งรอแต่งออก อีกคนรอแต่งเข้า ทั้งสองนับว่าเป็นคู่สร้างคู่สมกัน!”

วาจานี้หากปล่อยให้เฮ่าชิงชิงมาได้ยินเข้า คาดว่าคงอาละวาดเป็นแน่ คิดไม่ถึงว่าจะมีบิดาที่พูดถึงบุตรสาวตนเช่นนี้ด้วย

อวี้ชางเอ่ยว่า “อาจจะยังมีคนอื่นที่เหมาะสมกับองค์หญิงใหญ่มากกว่านะพ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่าอวิ๋นถูกล่าวว่า “แต่คนที่ถูกใจเราคือบุตรชายคนเล็กของตระกูลฮูเหยียนผู้นั้น!”

พูดกันมาถึงขั้นนี้แล้ว หลังจากอวี้ชางเงียบไปครู่หนึ่งก็พยักหน้ารับช้าๆ “ได้พ่ะย่ะค่ะ! บุรุษถึงวัยแต่งงานสตรีถึงวัยออกเรือนก็เป็นเรื่องดีงาม หลังออกจากวังไป กระหม่อมจะไปเจรจาเรื่องนี้ที่บ้านท่านแม่ทัพพ่ะย่ะค่ะ!”

“รบกวนท่านอาจารย์แล้ว!” เฮ่าอวิ๋นถูเอ่ยด้วยความดีใจ กุมจอกสุราด้วยสองมือพลางเอ่ยว่า “ข้าขอคารวะท่านอาจารย์!”

อวี้ชางคารวะสุรากลับ

เจ้าสำนักทั้งสามสบตากันเล็กน้อย ไม่พูดอะไร และไม่คิดจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องเช่นนี้ด้วย เรื่องระหว่างองค์ฮ่องเต้และฮูเหยียนอู๋เฮิ่น พวกเขาจะช่วยฝ่ายใดก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้น

หลังจากวางจอกสุราลง เฮ่าอวิ๋นถูหันกลับไปเอ่ยกับปู้สวินทันที “จงฮูหยินดั้นด้นเดินทางมาไกลเพื่อกราบอาจารย์ เหนื่อยยากมากนัก ไหนเลยจะปล่อยให้จงฮูหยินมาเสียเที่ยวได้? เจ้าจงส่งคนออกไปค้นหาเดี๋ยวนี้ เร่งค้นหาตำแหน่งที่อยู่ของหนิวโหย่วเต้ามาให้จงได้!”

“พ่ะย่ะค่ะ!” ปู้สวินค้อมรับคำสั่ง

สำหรับร่องรอยของหนิวโหย่วเต้า ปู้สวินทราบอยู่แต่แรกแล้ว เขาย่อมเข้าใจถึงเจตนาของเฮ่าอวิ๋นถู

ก่อนหน้านี้เพิ่งบอกว่าไม่ทราบไปหยกๆ ไหนเลยจะกลับคำพูดของตนในชั่วพริบตาได้ หากอวี้ชางช่วยเรื่องวิวาห์ขององค์หญิงใหญ่ให้สำเร็จได้ ทางนี้ย่อมสามารถค้นหาตำแหน่งที่อยู่ของหนิวโหย่วเต้าให้ หากว่าเจรจาไม่สำเร็จ ผลลัพธ์ย่อมต้องต่างออกไป ทางนี้ก็ไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกได้ง่ายๆ เช่นกัน

ฝ่ายอวี้ชางก็ทำตามที่รับปากเอาไว้ ก่อนงานเลี้ยงสังสรรค์จะจบลง ก็ได้บอกว่าหลังออกจากวังไปแล้วจะตรงไปเจรจาเรื่องวิวาห์ที่บ้านแม่ทันฮูเหยียนทันที

เฮ่าอวิ๋นถูปรีดานัก รีบสั่งให้ปู้สวินจัดเตรียมรถม้าไปส่งอวี้ชาง

….

“ดูเหมือนระยะนี้ลูกพี่จะอารมณ์ไม่สู้ดีนะ”

ณ ร้านเต้าหู้ พวกหนิวหลินที่กลับมาจากการฝึกฝนด้านนอกพบว่าหยวนกังนั่งพิงเสากอดไหสุรา ดื่มอยู่ภายในศาลาตามลำพังอีกแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยพึมพำกันเล็กน้อย

สองวันมานี้หยวนกังไม่ได้เข้าร่วมฝึกฝนกับพวกเขา เอาแต่อยู่ในบ้านตามลำพัง อีกทั้งหยวนกังก็ไม่ใช่คนที่จะดื่มสุราจนเสียงาน การมานั่งกอดไหสุราเช่นนี้เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน

“ฮือๆ…”

มีคนร้องฮือๆ วิ่งเข้ามาจากทางด้านหลัง ทุกคนหันไปมองเล็กน้อย พลันตกตะลึงตาค้างไปทันที เห็นฮูเหยียนเวยวิ่งร้องห่มร้องไห้เข้ามา

หยวนกังหันไปมอง ตกตะลึงไปเช่นกัน ยากจะจินตนาการได้ว่าคุณชายเสเพลหน้าหนาอย่างฮูเหยียนเวยจะร้องไห้เป็นด้วย

ฮูเหยียนเว่ยวิ่งมาหยุดอยู่ข้างตัวเขา แย่งไหสุราในมือเขาไป เงยหน้าเทกรอกปากอึกๆ สุราไหลล้นจากสองมุมปาก หกรดลงบนเสื้อผ้า

ฮูเหยียนเวยวางไหสุราลงแล้วหย่อนก้นนั่ง เงยหน้าร้องไห้น้ำตานอง ท่านทางคล้ายจะโศกเศร้าเหลือเกิน

“คุณชายสาม ถ้าจะร้องก็ออกไปร้องที่อื่น” หยวนกังตำหนิเล็กน้อย เดิมทีเขาก็กลัดกลุ้มใจอยู่แล้ว ยามนี้พอเห็นชายอกสามศอกมาร้องห่มร้องไห้อีก ก็ยิ่งกลุ้มใจกว่าเดิม

ฮูเหยียนเวยยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตา หันไปมองเขาแล้วเอ่ยว่า “สหายใกล้จะมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้แล้ว เจ้าไม่มีความเห็นใจสักนิดเลยหรือ?”

หยวนกังเอ่ยว่า “เพิ่งได้รับเงินปันผลก้อนใหญ่ไป ทำไมถึงมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้แล้วล่ะ?”

“เงินจะไปมีประโยชน์อะไร!” ฮูเหยียนเวยเอ่ยโวยวายด้วยความโมโหคับข้อง “ขอเพียงเจ้าช่วยแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ให้ข้าได้ เงินส่วนของข้าในทุกๆ เดือน ข้าจะยกให้เจ้าหมดเลย!”

แปลกแล้ว แม้แต่เงินก็ไม่เอา นี่ดูไม่เหมือนคุณชายสามตระกูลฮูเหยียนที่ตนรู้จักผู้นั้นเลย! หยวนกังมองพินิจอีกฝ่ายหัวจรดเท้า เอ่ยถามออกไป “เกิดอะไรขึ้น?”

ไม่ถามยังพอว่า แต่พอถามออกไปฮูเหยียนเวยก็ร้องไห้โฮขึ้นมาทันที “ที่บ้านจะให้ข้าแต่งกับองค์หญิงใหญ่!”

เมื่อพูดถึงองค์หญิงใหญ่ หยวนกังก็นึกถึงสตรีที่มาสารภาพรักกับเขาอย่างผ่าเผยมั่นใจที่หอหิมะเหมันต์คนนั้นขึ้นมา เป็นสตรีที่มีนิสัยเป็นเอกลักษณ์นัก เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความฉงน “บิดาท่านคัดค้านไม่ให้ท่านแต่งกับนางมาตลอดมิใช่หรือ? เหตุใดจู่ๆ ถึงตอบตกลงเสียเล่า?”

ฮูเหยียนเวยร้องด่าขึ้นมา “เพราะไอ้เฒ่าหนังเหนียวอวี้ชางคนนั้นน่ะสิ เข้ามาสาระแนไม่เข้าเรื่อง ทั้งชีวิตของข้านับว่าถูกเขาทำลายทิ้งแล้ว นังหญิงร้ายอย่างเฮ่าชิงชิงคนนั้นไหนแต่งได้ที่ไหน? หากแต่งเข้ามา ข้ายังจะมีทางรอดอีกหรือ?”

เขาด่าอาจารย์ของบิดาว่าเป็นไอ้เฒ่าหนังเหนียว พร้อมกับด่าองค์หญิงใหญ่ว่าเป็นนังหญิงร้าย เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก

อันที่จริงหลังจากอวี้ชางไปหาที่บ้านก็ไม่ได้บังคับกดดันฮูเหยียนอู๋เฮิ่นมากนัก เพียงบอกเล่าถึงสถานการณ์ที่ฝ่าบาทขอให้มาช่วยเป็นพ่อสื่อ จากนั้นก็เสนอความเห็นต่อฮูเหยียนอู๋เฮิ่นว่าให้เลือกละทิ้งอำนาจทางการทหารหรือไม่ก็ต้องให้บุตรชายแต่งกับองค์หญิงใหญ่ มิเช่นนั้นหากเป็นเช่นนี้ต่อไป มันมิใช่วิธีที่ดีเลย เว้นแต่เขาคิดจะอาศัยอำนาจการทหารในมือก่อกบฏต่อองค์ฮ่องเต้!

แต่มีเรื่องหนึ่งที่อวี้ชางเอ่ยเตือนฮูเหยียนอู๋เฮิ่นอย่างจริงจัง หากว่าเขายินยอมสละอำนาจทหารและไม่ยินยอมให้บุตรชายแต่งกับองค์หญิงใหญ่จริง เช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการล่วงเกินองค์ฮ่องเต้อย่างรุนแรง หากเขาหยามหน้าองค์ฮ่องเต้ อีกทั้งไม่มีอำนาจทางการทหารคอยคุ้มกัน นั่นก็เท่ากับจะเสียอิทธิพลที่มีต่อสามสำนักใหญ่ไปด้วย ไม่ช้าก็เร็วองค์ฮ่องเต้ต้องหาทางคิดบัญชีตระกูลฮูเหยียนของพวกเขาแน่!

หลักเหตุผลข้อนี้ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นจะไม่เข้าใจได้อย่างไร เขาเพียงถ่วงเวลาอยู่เท่านั้น ถ่วงเวลามาเรื่อยๆ และจงใจปล่อยให้บุตรชายออกไปทำตัวสำมะเลเทเมา หวังจะให้องค์ฮ่องเต้ทรงเปลี่ยนพระทัย ต้องการรักษาความสงบของตระกูลฮูเหยียนไว้

เมื่ออวี้ชางมาหาถึงบ้าน เขาถึงได้ทราบว่าแม้แต่สามเจ้าสำนักก็ถูกเรียกเข้าไปพร้อมกันด้วย ซ้ำยังให้อาจารย์ของตนมาเป็นพ่อสื่ออีก ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นทราบดีว่าครั้งนี้องค์ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยแน่นอนแล้ว หมายตาลูกชายของเขาไม่ยอมเลิกรา ตนจะไม่ตอบตกลงก็คงไม่ได้แล้ว!

เรื่องราวบางอย่างแม้จะพยายามหลบเลี่ยง แต่สุดท้ายก็เลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นจึงทำได้เพียงยอมคล้อยตามฝ่าบาท แล้วก็ถือโอกาสมอบน้ำใจให้อาจารย์ของตนไปด้วย ตอบรับเรื่องวิวาห์ในครานี้!

หลังจากสอบถามเรื่องราวโดยละเอียดแล้ว หยวนกังก็รู้สึกทอดถอนใจเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกเห็นใจฮูเหยียนเวยเล็กน้อย ตำแหน่งราชบุตรเขยไม่ได้เป็นกันง่ายๆ เลย คนอื่นอาจจะหวังเกาะเบื้องสูงเพื่อแสดงหาความเจริญก้าวหน้า แต่สำหรับตระกูลฮูเหยียนแล้วยังไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดี อีกทั้งไม่มีความจำเป็นต้องแต่งเอานายเหนือหัวเข้าบ้านตนมาเลย

หยวนกังเอ่ยปลอบว่า “องค์หญิงใหญ่อาจจะซุกซนไปบ้าง แต่คงไม่ถึงขั้นจะวางอำนาจบาตรใหญ่ในตระกูลฮูเหยียนของพวกท่าน…”

“เฮอะ!” ฮูเหยียนเวยร้องเฮอะตัดบท “มันใช้เรื่องวางอำนาจเสียที่ไหน? เจ้าเห็นข้าเป็นไอ้โง่จริงๆ หรือไง คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเหตุใดองค์ฮ่องเต้ถึงต้องการให้ข้าแต่งกับธิดาของพระองค์ ก็เพราะเห็นแก่อำนาจทางการทหารในมือของบิดาข้ามิใช่หรือ? การเกี่ยวดองนั้นมีจุดประสงค์อันใดอยู่เล่า หากข้าต้องแต่งกับนังหญิงร้ายคนนั้นจริงๆ ตระกูลฮูเหยียนไม่มีทางสงบสุขแน่นอน องค์ฮ่องเต้จะข่มพี่ชายทั้งสองของข้าไว้ แล้ววันหน้าพวกเราพี่น้องจะอยู่ร่วมกันอย่างไร? มารดามันเถอะ เฮ่าอวิ๋นถู ไอ้ชาติสุนัขใจดำ…”

หยวนกังเอ่ยเตือน “คุณชายสามระวังคำพูดด้วย!”

“อันซยง หากเจ้าเห็นข้าเป็นสหายจริง ก็ให้ข้ายืมเงินสักก้อนเถอะ!” ฮูเหยียนเวยเช็ดน้ำตาพลางแบมือขอเงิน

หยวนกังมึนงง “ทางร้านเพิ่งแบ่งเงินปันส่วนให้ท่านไป ยังไม่พอให้ท่านใช้หรือ?”

“ข้าตกอยู่ในสภาพนี้แล้ว ยังไม่ยอมให้ข้าได้หาความสำราญอีกหรือ! เจ้าจะให้หรือไม่ให้?” ฮูเหยียนเวยแบบมือขอซ้ำๆ

เรื่องกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว หยวนกังจะทำอย่างไรได้เล่า ด้วยความเห็นใจจึงให้เขาเขียนสัญญากู้เงินแล้วมอบเงินให้เขายืมสามพันเหรียญทอง!

ฮูเหยียนเวยรับเงินมา เช็ดน้ำตาแล้วจากไป เดินออกอย่างเด็ดเดี่ยว ไม่เหลียวกลับมา

หยวนกังคิดว่าเขาคงอยากไปเที่ยวเล่นหาความสำราญจริงๆ จนกระทั่งผ่านไปค่อนคืนก็มีกองทหารม้ากลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาปิดล้อมร้านเต้าหู้ไว้ จนกระทั่งตระกูลฮูเหยียนออกคำสั่งส่วนตัวให้กองทหารม้าออกตามจับตัวฮูเหยียนเวย หยวนกังถึงได้รู้จุดประสงค์ที่ฮูเหยียนเวยขอยืมเงินไป

ฮูเหยียนเวยหนีไปแล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้คิดจะคืนเงินแต่แรก เขาตั้งใจหนีงานแต่ง!

……………………………………………………………