บทที่ 280 หลังชําาระแค้น (2)
สายตาหนึ่งจ้องมองกู้เดียวที่กําลังจะถูกยิงจนพรุน ทันใดนั้นเงาดําตะคุ้มก็ลอยตัวขึ้นเหนือกําแพงแล้วคว้าเอว ของกู้เจียวไว้ แล้วใช้ดาวกระจายโต้กลับศรธนู ก่อนจะโอบร่างของอู๋เจียวร่อนลงบนหลังม้าอย่างนิ่มนวล
หนิง
“ไป!”
เขากระชากบังเหียน ม้างามควบไปข้างหน้าในทันใด!
มาชั้นยอดวิ่งแรงดีไม่มีตกไปไกลหลายสิบสี่ท่ามกลางราตรีอันมืดมิด
ในตอนนั่นพวกเขามาถึงยังริมทะเลสาบ
นั่นเป็นทะเลสาบที่มีไว้สําหรับชื่นชมความงดงามและผ่อนคลายอารมณ์ แมกไม้เขียวขจีนใส ทิวทัศน์สวยงาม
เหมาะแก่การ ม า ยามกลางวันมีคนมากมายนั่งเรือประดับหรือล่องเรือบนทะเลสาบแห่งนี้ ยามเกลียวคลื่น กระ เพื่อมไหวช่างเป็นภาพอันแสนงดงาม
ยามค่ําคืนไร้ผู้คนเช่นนี้ นอกจากเรือประดับที่เทียบท่าหลับใหลแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดอีก ภายใต้ท้องนภาสูงตระหง่านนี้ มีเพียงคนสองคนและม้าหนึ่งตัว
“ทิ้งห่างหรือยัง” กู้เจียวที่นั่งอยู่ด้านหน้าเขาเอ่ยถาม
“อืม ทิ้งห่างแล้วล่ะ” เขาตอบ
ทิ้งห่างตั้งนานแล้ว แต่เพราะกลัวว่าจะมีใครพบเห็นเข้า จึงหนีมาไกลอีกหน่อย
กู้เจียววาดขาไถลตัวลงจากอานม้า
นางหลับตาลง ดี่ม ากับสายลมชื่นฉ่ําาของทะเลสาบ ก่อนจะเอ่ยถามเขา “เจ้ามาได้อย่างไร”
กู้เฉิงเฟิงก็พลิกตัวลงจากหลังม้าเช่นกัน จากนั้นก็จูงม้าไปยังทุ่งหญ้าริมฝั่ง มองมากินหญ้าไปพลางเอ่ยตอบนาง “นั่นสินะ ข้ามาได้อย่างไร ข้าเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยแล้วบังเอิญเจอเจ้าไม่ได้หรืออย่างไร”
“อ๋อ” เจียวขานตอบ เดินไปตามทุ่งหญ้าแล้วนั่งลงบนโขดหินริมน้ํา ก่อนจะหยิบเศษกระเบื้องขึ้นมาแล้วปาให้ กระดอนไปบนผิว
แผ่นกระเบื้องลอยละล่องแตะผิวน้ําอยู่เจ็ดแปดครั้งก่อนจะจมลงไปในน้ํา
ทว่ากู้เจียวกลับไม่พอใจนัก ทอดถอนใจออกมา “ฝีมือตกแล้วสินะ”
เฉิงเฟิงมุมปากกระตุก ก็ดูแขนผอมแห้งของเจ้าสิ กระดอนได้เจ็ดแปดครั้งก็ฝืนธรรมชาติแล้วเข้าใจไหม
เฉิงเพิ่งเห็นมากินหญ้าอย่างเอร็ดอร่อย จึงละสายตากลับมา แล้วเดินมาหยุดอยู่ข้างเดียว
กระเบื้อง ตั้งใจว่าจะสาธิตให้นางได้เห็นพละกําลังของบุรุษเสียหน่อย
แต่กลับกลายเป็นว่า
แปะ แปะ แปะ!
แค่สามครั้งก็จมนํ้าลงไปแล้ว กู้เฉิงเฟิงเก้อเขินขึ้นมา
“ฮ่าฮ่า” กูเจียวหัวเราะในทันใด
นางช่างเส้นตื้นกับเรื่องประหลาดเสียจริง
มองหาเศษ
ตอนที่ทุกคนหัวเราะ นางอาจไม่ได้รู้สึกว่าน่าขําขัน แต่บางครั้งเรื่องขี้ปะติ้วกลับทําให้นางหัวเราะเหมือนเด็กคน
นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เฉิงเฟิงเห็นนางหัวเราะแบบนี้
“เด็กชะมัด!
กู้เฉิงเฟิงกลอกตาใส่ นั่งลงบนขั้นบันไดข้างกายนาง
นางหยิบเศษกระเบื้องขึ้นมาอีกชิ้นแล้วเหวี่ยงเรียดไปกับผิวน้ํา
ฟู่เฉิงเฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็ถามออกไป “เหตุใดเจ้าไม่เรียกหาข้า” กู้เจียวถามกลับด้วยความสงสัย แล้วเหตุใดข้าต้องเรียกหาเจ้าด้วย”
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยเสียงเย้ยหยัน “เจ้าชอบแกล้งข้านักไม่ใช่หรือไร เหตุอันตรายเช่นนี้ ไม่เห็นเจ้าจะกลั่นแกล้งข้า เดิมทีกู้เฉิงเฟิงตั้งใจว่าจะบ่นอุบอิบ แต่พอบ่นเสร็จเขากลับนิ่งเงียบไปเสียอย่างนั้น
เพราะอันตรายจนเกินไป จึงไม่เรียกใช้เขาอย่างนั้นหรือ นางตัวแสบนี่ก็มีเมตตากับเขาเหมือนกันสินะ กู้เจียวเย้ย “เหอะ เจ้าอ่อนหัดเสียขนาดนั้น ข้ากลัวว่าเจ้าจะเป็นตัวถ่วงต่างหาก” เฉิงเฟิง “…!!!”
เขาเกือบจะซาบซึ้งใจแล้วไหมเล่า นางตัวแสบ ช่างไร้หัวจิตหัวใจจริงๆ!
ว่าแต่นางเรียกเขาว่าอ่อนหัดอย่างนั้น แล้วเมื่อครู่ไม่ใช่เพราะเขาหรอกหรือ ไม่อย่างนั้นป่านนี้นางคงพรุนไป
ทั้งตัวแล้ว!
กูเขียวปาหินเล่นต่อ เฉิงเฟิงพอจะมองออกว่านางกําลังอารมณ์ดีไม่น้อย ดูท่าทางจะเป็นฝ่ายชนะสินะ ไม่รู้ ว่านางเล่นงานเจ้าหมอนั่นจนอยู่ในสภาพไหน
ขณะที่กู้เฉิงเฟิงกําลังครุ่นคิด จู่ๆ เจียวก็เขวี้ยงถุงผ้าลงไปในน้ํา เป็นเพราะโยนเร็วมาก เฉิงเฟิงจึงไม่ทันได้เห็น ทว่าจะเสียงจมน้ําที่ได้ยิน คาดว่าถุงผ้านั้นคงมีบางสิ่งอยู่ภายใน
“นั่นคือสิ่งใด” เฉิงเฟิงถาม
“เจ้าไม่อยากรู้หรอก” กู้เจียวตอบ กู้เฉิงเฟิง “
กู้เฉิงเฟิงไว้อาลัยเงียบๆ ให้แก่ถังหมิง
แต่ สมนําหน้าถังหมิง หาเรื่องใครไม่หา กันมาหาเรื่องน้องชายของนางเสียได้ หากเจ้าหาเรื่องนาง นางยังไม่ เดือดดาลถึงเพียงนี้เลย
พอเอ่ยถึงถังหมิง เฉิงเฟิงก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง “เมื่อคืนมีคนเงินถุงเงินถังจ้างขาให้ลักพาตัวเหยียน เจ้าของ เงินที่อยู่เบื้องหลังน่าจะเป็นถังหมิง”
“ไม่ใช่เขาหรอก” กู้เจียวตอบอย่างมั่นใจ
“เหตุใดเจ้าถึงมั่นใจเพียงนั้น” เฉิงเพิ่งถาม
กู้เจียวตอบ “มิงหมิงบาดเจ็บสาหัส ยังไม่พ้นขีดอันตราย สั่งการให้คนทําอะไรไม่ไหวหรอก”
เฉิงเพิ่งขมวดคิ้ว “หากไม่ใช่ถังหมิง แล้วเหตุใดถึงต้องแสร้งทําเป็นว่าผู้ว่าจ้างเป็นถังหมิงด้วยเล่า หรือว่า ต้องการตบตา หรือว่า…ยืมมือขาแพร่ข่าวเรื่องที่ถังหมิงหมายหัวกู้เหยี่ยน”
กู้เจียวไม่เอ่ยค่าใด
ตั้งแต่ตอนที่ฝันเห็นข้อสอบของอันเวิ้นอ๋องถูกสับเปลี่ยน นางก็สัมผัสได้ลึกๆ ว่าในเมืองหลวงแห่งนี้มีอํานาจ
บางอย่างที่มองไม่เห็น แต่ก่อนหน้านี้อ้านาจนั้นไม่ได้ข้องเกี่ยวกับนาง นางจึงไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใดนั้น ทว่ายามนี้ได้พัวพันมาถึงเหยียนแล้ว
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของนางในตอนนี้เท่านั้น นางไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเป็นฝีมือของพลังอํานาจ
อีกอย่างฝ่ายตรงข้ามอาจไม่ได้ตั้งใจมุ่งเป้าไปที่กู้เหยี่ยน เพียงแต่ยืมมือเฟยซวงเพื่อทําลายชื่อเสียงของถังหมิง ส่วนกู้เหยี่ยนนั้นถูกโยงมาเกี่ยวโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่
และผลที่ตามมาจากการถูกโยงเข้ามาพัวพัน หากเบาหน่อยคือเหยียนอาจจะได้รับบาดเจ็บ แต่นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่ อีกฝ่ายคาดการณ์ไว้ แต่หากหนักหน่อยจะเป็นตัวเร่งให้ความขัดแย้งระหว่างจวนหยวนไป และจวนติ้งอ้นโหวรุนแรง ยิ่งกว่าเดิม
ฟู่เฉิงเฟิงเองก็คิดถึงจุดนี้เหมือนกัน
สถานการณ์ในเมืองหลวงนั้นผันผวนอยู่ตลอด แต่ช่วงที่ผ่านนี้ยิ่งผันผวนยิ่งกว่าเคย
ทว่าฝั่งตรงข้ามพลาดไปอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเฟยซวงรู้จักกับเหยี่ยน ย่อมไม่มีทางเที่ยวพูดเรื่องระหว่างถังหมิง
และกู้เหยียน
“กู้เหยี่ยน…ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” กู้เฉิงเฟยถาม
กู้เจียวชะงักไปก่อนจะเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นอะไร แต่เสียขวัญนิดหน่อย”
“นี่ นางตัวแสบ” กู้เฉิงเฟิงคิดอะไรได้บางอย่างก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าเป็นใคร มาจากไหนกันแน่”
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อว่านางคือเด็กบ้าจากบ้านนอกคอกนาแน่นอน
“ข้าน่ะหรือ” กู้เจียวคลึงเศษกระเบื้องในมือ ไม่มีเรื่องอื่นให้เบี่ยงประเด็นเสียด้วยสิ นางชี้ไปที่ขอบฟ้าอันไกลโพ้น
“ข้ามาจากตรง น
“ที่ไหน ที่ไหน” กู้เฉิงเฟิงมองไปตามนิ้วมือของนาง แต่กลับเห็นเพียงทะเลดาว
กู้เจียวมองทะเลดาวบนฟากฟ้า “ที่ที่ไกลแสนไกล ข้ามกาลเวลา อาจจะข้ามจักรวาลก็เป็นได้
นางไม่เคยพูดเช่นนี้กับใครมาก่อน เพราะคงไม่มีใครเชื่อ และไม่มีใครเข้าใจ
อันที่จริงเฉิงเฟิงก็ไม่เข้าใจนัก แต่เขากลับเชื่อนาง
เฉิงเฟิงเอ่ยขึ้น “แล้วเจ้ามาได้อย่างไร”
นางบีบกระเบื้องในมือ แต่คราวนี้ไม่ได้โยนลงน้ํา ทว่ากลับใช้มืออีกข้างหนึ่งขึ้นมารองท้ายทอย ทิ้งตัวนอนลงบน ทุ่งหญ้าเขียวขจี “ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าข้ามาได้อย่างไร”
นางคิดถึงเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่ครั้งสองครั้ง การมาเยือนของนางเป็นเรื่องไสยศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์กันแน่ เป็นเพราะวิญญาณข้ามภพข้ามชาติมา
กาลเวลาและส่งคลื่นความถี่ของนางมายังที
หรือเป็นเพราะกล่องยาใบน้อยที่มาจากโลกสุดยอดวิทยาการนั้นได้ฉีกมิติ
เขามองกู้เจียวที่เอนกายบนพื้นหญ้าเอาแต่จ้องมองดวงดาวตาไม่กะพริบ ก่อนจะบ่นพึมพําขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ดาวสวยขนาดนั่นเชียวรี
“เจ้าล่ะ” กู้เจียวมองดวงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้า ก่อนจะเอื้อนเอ่ยออกไป
เฉิงเฟิงชะงักไป “ข้าท่าไม
กู้เจียวเอ่ยเน้นที่ละพยางค์ “เหตุใดถึงมาเป็นโจรกระจอกเช่นนี้”
“ไม่ใช่โจรกระจอกเสียหน่อย! คือจอมโจรต่างหาก! จอมโจรอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง!” เฉิงเฟิงเดือดดาลใน
ทันใด!
โจรกระจอก โจรกระจอก แสลงหูเสียงจริง!
เจียวปาก “ก็แค่….ขโมยของไม่ใช่
ฟู่เฉิงเฟิง “………”
เขาโต้กลับไม่ได้เสียด้วยเนี้ยสิ
เขาคว้าเศษกระเบื้องขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ก่อนจะออกแรงปาเรียดผิวน้ํา แปะ แปะ แปะ แปะ แปะ แปะ แปะ แปะ
กระดอนไปถึงเก้าครั้ง
เขายักคิ้วหลิ่วตาด้วยความพึงพอใจ ทว่าพอเหลียวไปมองกลับเห็นกู้เจียวเอาแต่เหม่อมองดวงดาว ไม่ได้เห็น ความเก่งกาจของเขาเมื่อครู่ ความตื่นเต้นเมื่อครู่จึงหายไปในพริบตา
“ข้าเป็นพี่รอง” เขาตอบก่อนจะแหงนหน้ามองฟากฟ้า “ขามีพี่ชายที่เก่งกาจคนหนึ่ง ถูกฝากความหวังมาตั้งแต่ เล็ก ส่วนขาแค่เที่ยวเล่นไปวันๆ ก็พอแล้ว เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง ส่วนแบ่งมรดกที่ได้ชาตินี้ใช้ อย่างไรก็ไม่หมด”
ปากก็พูดไปแต่แววตาของเขาช่างดูอ้างว้าง
“แล้วไม่ดีตรงไหน” กู้เจียวถาม
เฉิงเฟิงแค่นหัวเราะ นั่นน่ะสิ ไม่ดีตรงไหน เป็นท่านชายเศรษฐีในเมืองหลวง ไม่ต้องเรียนหนังสือ แล้วก็ไม่ต้อง แบกรับภาระ คนมากมายใฝ่ฝันจะได้ใช้ชีวิตเช่นนี้มิใช่หรือ
แต่เขาไม่พอใจนีนา
เขาก็อยากให้ท่านปู่เข้มงวดกับเขาสักหนเหมือนกัน!
หากเขากับพี่ชายทําความผิดพร้อมกัน ท่านปู่ย่อมลงโทษท่านพี่อยู่แล้ว ราวกับเขาไม่เคยทําความผิดอันใด เขาเคยลองตื่นเช้าเพื่อฝึกวรยุทธ์พร้อมกับท่านพี่ แต่บางครั้งที่เขามาสาย ท่านปู่ก็ไม่เคยโมโห หากวันใดฝนตก ท่านย่าก็ไม่ยอมให้เขาไปฝึกด้วยซ้ํา บอกว่าแก้วตาดวงใจของย่า เหตุใดถึงต้องลําาบากล่าบนเช่นนั้น
“เจ้าเข้าใจความรู้สึกของคนที่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่เคยคาดหวังกับเจ้าหรือไม่ ขาใช้ชีวิตเช่นคนไร้ค่า….”
เฉิงเฟิงพูดถึงหัวใจเขาก็เจ็บแปลบขึ้นมา
พอเหลียวไปมองก็พบว่านางตัวแสบที่นอนฟังอยู่ข้างกันเมื่อครู่ไม่อยู่แล้ว
เขาเรียวคิวกระตุก หินมองไปรอบกาย กิเงินกู้เงิยวอยู่กับเอามาพินธุ์งาม ก๋าลงรอค้นหาบางอย่างจากกระเป่าผา ข้างอานม้าได้
“หิวน้ําชะมัด” นางหาถุงใส่น้ําจนเจอก่อนจะดึงจุกปิดออก ยกกระดกดื่มพรวด “ไอ้หยา เหตุใดถึงเป็นเหล้าไปเสีย
เติมทีกู้เฉิงเฟิงอยากจะเอ่ยห้ามนาง แต่ใครใช้ให้นางมือไวเสียขนาดนั้นเล่า ทว่านั่นไม่ใช่เหล้าแรงแต่อย่างใด
เป็นเหล้าหมักดอกสาลี่จากทอเชียนอินดื่มอย่างไรก็ไม่มีทางเมาหรอก
ไวเท่าความคิด สองตาของเจียวก็เหลือกขึ้นก่อนจะเสียงดุบจะดังขึ้นเพราะเมาจนล้มเซ
ฟู่เฉิงเฟิง “