ตอนที่ 402 ดูซิว่าผู้ใดเหี้ยมโหดกว่ากัน (2)
แต่ว่า นางเป็นองค์หญิงผู้เป็นธิดาของฮองเฮา เบื้องหลังของนางมีตระกูลเซี่ยคอยสนับสนุน แล้วนางจะถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือแต่งงานรักษาสัมพันธ์ระหว่างแคว้นได้อย่างไร!
การแต่งงานรักษาสัมพันธ์ระหว่างแคว้น คือฝันร้ายขององค์หญิงทุกคนมาโดยตลอด องค์หญิงอวี้เหอโมโหจนสั่นเทาเล็กน้อย จับผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น แต่ดันไม่อาจโต้กลับได้
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้เอ่ยชื่อ หากนางโต้เถียงจะเป็นการเอาห่วงมาใส่ตัว มั่วเชียนเสวี่ยพูดเพียงถ้อยคำหนึ่ง กล่าวขอโทษที่ทำให้องค์หญิงตกใจ หม่อมฉันพูดถึงคนที่น่าสงสารเหล่านั้น พูดถึงพวกสาวใช้
นับตั้งแต่นั้น คำกล่าวที่ว่าองค์หญิงดูถูกตนก็จะแพร่งพรายออกไป ทำให้นางอับอายขายหน้า
บรรดาคุณหนูและฮูหยินตระกูลชั้นสูงที่อยู่รอบๆ มีผู้ใดบ้างที่ไม่ฉลาดหลักแหลม โจวฮูหยินที่อยู่ด้านหน้าฉลาดหลักแหลมยิ่งกว่า เมื่อเห็นว่าสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วน นางกระเอมไอหนึ่งครั้ง มองเนื้อผ้าบนตัวมั่วเชียนเสวี่ยแล้วกล่าวชื่นชม “ชุดที่คุณหนูใหญ่มั่วสวมใส่…เป็นผ้าไหมเสฉวนกระมัง…ช่างงดงามยิ่งนัก…”
“นี่คือผ้าไหมเสฉวนหรือ ได้ยินว่าผ้าไหมเสฉวนหายากมาก…”
บทสนทนาของสตรีเกี่ยวข้องกับเสื้อผ้าและเครื่องประดับเสมอ เมื่อถูกพูดขึ้น บรรดาสตรีก็พูดถึงเรื่องเนื้อผ้า ไม่มีผู้ใดสนใจบทสนทนาเมื่อครู่อีกแล้ว
องค์หญิงอวี้เหอไม่มีแม้แต่โอกาสในการพลิกหมากกระดานนี้
เห็นสีหน้าบูดบึ้งขององค์หญิงอวี้เหอ มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มด้วยความลำพองใจ นางมั่นใจว่าองค์หญิงอวี้เหอไม่กล้าโต้กลับ องค์หญิงอวี้เหอได้แต่อดทนกับการเสียเปรียบในครั้งนี้
เมื่อมีความสุข มั่วเชียนเสวี่ยกินขนมมากขึ้นอีกครึ่งชิ้น โดยที่ยังรู้สึกว่ารสชาติอร่อยยิ่งนัก
มั่วเชียนเสวี่ยที่อารมณ์ดีไม่ลืมที่จะทำให้องค์หญิงอวี้เหอขุ่นเคืองใจ มั่วเชียนเสวี่ยกินขนมไปด้วย พร้อมกับเชิญองค์หญิงอวี้เหอชิม
องค์หญิงอวี้เหอมองจานขนมตรงหน้า แทบจะอกแตกตายแล้ว ทว่า มั่วเชียนเสวี่ยกลับเอาแต่เชิญนางกิน หากนางไม่กินรังแต่จะถูกกล่าวหาว่าเย่อหยิ่ง เพื่อรักษาชื่อเสียงอันดีงามของตนเอง องค์หญิงอวี้เหอจำต้องหยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้น
ภายในใจของนางรู้สึกขยะแขยงราวกับกินแมลงวันเข้าไป ทว่าก็ทำได้เพียงชิม
หนิงเซ่าชิงถูกมั่วจื่อฮว่าและมั่วจื่อเยี่ยเชิญไปยังศาลาไผ่ในสวนดอกไม้ของจวนกั๋วกง อีกด้านหนึ่งก็มีบรรดาคุณชายที่สนิทสนมกับคุณชายทั้งสองเดินมา
แน่นอนว่าคนพวกนี้อยากจะประจบตระกูลหนิง ประจบหนิงเซ่าชิงผู้เป็นหัวหน้าตระกูลหนิง ไม่รู้ว่าหัวหน้าตระกูลหนิงชอบอะไร รู้แค่ว่าการพูดจาชื่นชมย่อมไม่ใช่เรื่องที่ผิด ชั่วขณะหนึ่งพวกเขากล่าวชื่นชมจวนกั๋วกงและมั่วเชียนเสวี่ยอย่างเกินจริง!
ในเวลานี้เอง บ่าวรับใช้ที่สวมชุดสีเขียวเดินมาด้านหน้า โน้มตัวลงแล้วยืนข้างๆ หนิงเซ่าชิง หลังจากโน้มตัวลงทำความเคารพ เขาก็พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “หัวหน้าตระกูลหนิงขอรับ คุณหนูของข้าน้อยเชิญท่านไปพบขอรับ”
คนที่พูดคุยกับหนิงเซ่าชิง สายตาเฉียบแหลม มั่วจื่อฮว่าและมั่วจื่อเยี่ยเลิกคิ้วขึ้น บอกลาแล้วเดินออกไป
หนิงเซ่าชิงมองคนที่มาด้วยแววตานิ่งสงบ หลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่รู้จัก ทำได้เพียงถามเสียงเรียบ “คุณหนูของเจ้าคือใคร”
บ่าวรับใช้ยื้มร่า “แน่นอนว่าคือคุณหนูมั่ว คุณหนูมั่วเชิญท่านไปพบในป่าไผ่ขอรับ”
คุณหนูมั่ว?
หนิงเซ่าชิงรู้ดีแก่ใจ รู้ว่าคนที่บ่าวรับใช้พูดถึงย่อมไม่ใช่มั่วเชียนเสวี่ย! เชียนเสวี่ยของเขาจะพบเขา มีหรือที่จะไม่ให้กุ่ยซามารายงาน
เดิมทีหนิงเซ่าชิงไม่อยากสนใจ แต่เขาไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ ไปดูเล็กน้อยก็ไม่เป็นเช่นไร ดูซิว่าคนพวกนี้คิดอยากจะเล่นลูกไม้ใด!
หนิงเซ่าชิงหัวเราะเยือกเย็นในใจ สีหน้าขุ่นเคือง “ในเมื่อคุณหนูเชิญ เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่นำทาง”
เมื่อบ่าวรับใช้ได้ยิน ก็ดีใจขึ้นมาทันที! รีบโน้มตัวลงแล้วพาหนิงเซ่าชิงเดินมุ่งหน้าไปยังป่าไผ่ที่อยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก
คนที่เชิญหนิงเซ่าชิง แน่นอนว่าไม่ใช่มั่วเชียนเสวี่ย เวลานี้นางกำลังพูดคุยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกับบรรดาสตรีและคุณหนูตระกูลชั้นสูง นางจะมีเวลานัดเจอกับหนิงเซ่าชิงในป่าไผ่ได้อย่างไร
แต่ว่าบ่าวรับใช้คนนั้นก็ไม่ได้พูดผิดแต่อย่างใด
คนที่เชิญหนิงเซ่าชิง คือคุณหนูมั่ว แต่ว่าคุณหนูมั่วที่พูดถึงไม่ใช่คุณหนูมั่วเชียนเสวี่ย แต่เป็นมั่วปี้หรุ่ยและมั่วปี้หรงสองคนพี่น้อง!
พวกนางสองคนเห็นบ่าวรับใช้เดินนำหนิงเซ่าชิงเข้ามาในป่าไผ่จากที่ไกลๆ พวกนางดีใจยิ่งนักจนเกือบลืมตน!
หลังจากที่มั่วปี้หรุ่ยและมั่วปี้หรงต่างฝ่ายต่างดูเสื้อผ้าของกันและกันแล้ว พวกนางก็รอหนิงเซ่าชิงเดินมาใกล้ด้วยดวงหน้าแดงระเรื่อ!
หนิงเซ่าชิงที่เดินเข้ามาในป่าไผ่ขมวดคิ้วเป็นปม ด้วยความสามารถในการมองเห็นของเขา เขาจะดูไม่ออกได้อย่างไรว่าคนในป่าไผ่คือหญิงสาวสองคน
เรื่องในจวนกั๋วกง กุ่ยซารายงานเขาทุกวัน จวนกั๋วกงรับสตรีตระกูลมั่วเข้ามาสองคน เขาย่อมได้ยิน
ช่างเถอะ ถือว่าช่วยเชียนเสวี่ยจัดการเรื่องยุ่งยาก พวกคนไม่เจียมตนที่ไม่ยอมตายใจจะได้ไม่ต้องวุ่นวายกับนาง ทำให้นางหงุดหงิด
หนิงเซ่าชิงยกมุมปากขึ้นหัวเราะเยือกเย็น พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “พอแล้ว ข้าเห็นแล้ว เจ้าออกไปเถอะ”
หลังจากไล่บ่าวรับใช้ออกไป หนิงเซ่าชิงก็เดินไปตรงหน้าสตรีทั้งสองช้าๆ
สองพี่น้องตระกูลมั่วในป่าไผ่เมื่อเห็นหนิงเซ่าชิงเดินมาใกล้พวกนางทีละก้าว พวกนางไม่อาจเงยหน้าขึ้นได้ หัวใจทั้งสองดวงเต้นเร็วจนแทบกระดอนออกมาจากปาก
คนที่มาคิ้วงดงามราวกับกระบี่ จมูกเป็นสัน ดวงตาทอประกาย ราวกับบ่อบาดาลลึกที่ไม่เห็นก้นบึ้ง ยามสายตาของเขาจับจ้องไปด้านหน้า นิ่งสงบยิ่งนัก
ผมยาวสลวยสีดำราวน้ำหมึกมัดรวบด้วยผ้าสีขาว ผมที่เหลือปล่อยยาวสยายเอาไว้ด้านหลัง ท่วงท่าและการเคลื่อนไหวสูงศักดิ์และมีสง่า หล่อเหลาไม่ธรรมดา นั่นคือความอ่อนโยนขั้นสูงสุด
ช่างงดงามยิ่งนัก!
พวกนางสองคนเกิดมาสิบกว่าปีไม่เคยเจอผู้ใดหล่อเหลาเช่นนี้มาก่อน ช่างเป็นบุรุษที่โดดเด่น ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าส่องสว่างเจิดจ้า แต่แม้จะส่องสว่างเพียงใดก็ไม่อาจเทียบกับบุรุษที่กำลังย่างกายเข้ามา
ข่าว…ข่าวลือไม่จริงแม้แต่น้อย ไม่ได้บรรยายเกินจริงเลยเรื่องความหล่อเหลาของหัวหน้าตระกูลหนิงและความสง่าผ่าเผยของเขา
ท่าทีอัปลักษณ์ยามตกตะลึงของหญิงทั้งสอง ล้วนอยู่ในสายตาของหนิงเซ่าชิง ความเย้ยหยันฉายในแววตาของเขา
มั่วปี้หรุ่ยดึงสติกลับมาก่อน แม้นางจะรู้สึกดีใจ แต่นางก็ไม่ลืมมารยาทของกุลสตรี รีบทำความเคารพในทันที
“ปี้หรุ่ยน้อมทำความเคารพหัวหน้าตระกูลหนิงเจ้าค่ะ” เสียงของนางหวานยิ่งนัก หวานจนทำให้คนฟังขนลุก
มั่วปี้หรงเองก็ดึงสติกลับมา ทำความเคารพอย่างไม่ยอมแพ้ “ปี้หรงน้อมทำความเคารพหัวหน้าตระกูลหนิงเจ้าค่ะ”
ทั้งสองทำตัวอ่อนโยน รักษามารยาทอย่างดี
แม้เวลานี้พวกนางจะรักษามารยาทอย่างดี พวกนางในใจของหนิงเซ่าชิงก็ติดลบแล้ว!
พวกนางไม่ได้ลืมมารยาท แต่เห็นชัดว่าพวกนางลืมความไร้ยางอายอย่างเห็นได้ชัด! บางทีพูดตรงๆ ก็คือ สตรีทั้งสองคนไร้ยางอาย ไม่รู้ว่ายางอายคืออะไร
“แม่นางทั้งสองต้องการพบข้า มีเรื่องอะไรหรือ”
หนิงเซ่าชิงเป็นคนเช่นนี้ สำหรับสิ่งที่ตนไม่ชอบ สิ่งที่มั่วเชียนเสวี่ยไม่ชอบ เขาแสดงสีหน้าเย็นชาออกมา
แต่ว่าน้ำเสียงเย็นยะเยือกนี้…สองพี่น้องไม่ทันระวังแม้แต่น้อย!