“นายน้อยหาน” ชายในชุดหัวหน้าพ่อบ้านเอ่ยทักทาย คนคนนั้นเพิ่งเดินออกมาจากห้องประมูล รอยยิ้มอบอุ่นเหยียดกว้างไปทั่วใบหน้าทันทีที่เขาเห็นหานอวี้ เขาหันไปมองคนที่เหลือ แล้วถามว่า ”คนพวกนี้คือใครหรือขอรับ”
หานอวี้ตอบอย่างเยือกเย็นว่า ”พวกเขาเป็นสหายของข้า”
“โอ้ สหายของนายน้อยหานนี่เอง! เชิญเข้ามาข้างในขอรับ” หัวหน้าพ่อบ้านกระตือรือร้นรีบนำทางพวกเขาเข้าไป ระหว่างทางนั้น เขาลอบมองอวิ๋นปี้ลั่วที่ใบหน้าครึ่งล่างมีผ้าคลุมเอาไว้อย่างอดใจไม่อยู่หลายครั้ง พร้อมกับคิดว่านางช่างสวยเลิศล้ำยิ่งนัก! สงสัยเหลือเกินว่านางมาจากตระกูลใด… แต่ในเมื่อนายน้อยหานเป็นผู้พานางมาที่นี่ ดังนั้นนางก็น่าจะมาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก
ทันทีที่ทุกคนเข้าไปถึงสถานที่จัดประมูล พวกเขาก็ลอบมองกันและกันด้วยสายตาที่มีแต่คนในกลุ่มเท่านั้นที่สามารถแปลความหมายได้ จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ของตนเองตามลำดับ
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับไม่ได้สวมชุดข้ารับใช้อย่างเดิม เพียงชั่วพริบตานางก็เปลี่ยนมาอยู่ในชุดสีขาวดูดีมีระดับ คลุมทับด้วยเสื้อคลุมสีเขียวตัวโคร่ง เพื่อความสมจริงในบทบาทของคุณชายผู้ร่ำรวยที่นางสวมอยู่นี้ นางถึงกับเตรียมพัดและพู่หยกห้อยเอวมาด้วยเลยทีเดียว
นางดูเหมือนคุณชายจากตระกูลอันมั่งคั่งที่มาเยี่ยมชมการประมูล แน่นอนว่า ’เขา’ ดูเหมือนจะมีนิสัยแตกต่างจากคนอื่น เพราะเขาไม่ได้พาข้ารับใช้มาด้วยเลยแม้แต่คนเดียว ’คุณชาย’ ท่านนั้นเดินเตร็ดเตร่ไปรอบสถานที่จัดงานด้วยท่าทางสบายๆ และสุดท้ายจึงเดินขึ้นไปบนชั้นสอง
ที่โถงทางเดินบนชั้นสองมีทหารติดอาวุธหลายนายเดินตรวจตราสลับกัน ไอสังหารที่พวกเขาแผ่ออกมานั้นทำให้อึดอัดจนรู้สึกหายใจไม่ออก และทำให้รู้สึกว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ควรจะเดินเข้าไปอย่างไร้หัวคิดได้
ทหารนายหนึ่งที่ยืนรักษาความปลอดภัยอยู่ที่โถงนั้นยกมือข้างหนึ่งขึ้นกันไม่ให้นางผ่าน ”ขออภัยขอรับคุณชาย ข้าขอดูบัตรผ่านของท่านได้หรือไม่” เขาเอ่ยขอด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
บัตรผ่านหรือ
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยทอแสงวาบระหว่างที่นางพยายามคิดหาคำตอบ และนางก็คิดได้ทันทีที่เห็นพ่อค้าพุงพลุ้ยคนหนึ่งเดินขึ้นบันไดมายืนข้างๆ ร่างของนางเซถลาไปข้างหน้าในทันใด ในเวลาเดียวกันนั้นนางก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมหน้าผากของตนเอาไว้ด้วยท่าทางเหมือนคนเมา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็โยนป้ายไม้ที่นางฉวยมาจากพ่อค้าผู้โชคร้ายคนนั้นตอนเขาไม่รู้ตัวให้กับทหารนายนั้น
ท่าทางหยิ่งยโสแต่กลับไม่ระวังตัวของนางทำให้ทหารนายนั้นคิดว่าฐานะของคุณชายผู้นี้คงจะไม่ธรรมดา เขารีบหลบไปยืนข้างๆ แล้วเปิดทางให้นางอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ซักถามอะไรต่อ
ส่วนพ่อค้าคนนั้น เขามัวแต่ง่วนอยู่กับการกอดจูบภรรยาที่เพิ่งจะแต่งงานด้วย จึงไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียวว่าบัตรผ่านของตัวเองถูกขโมยไป เขาจับปลายคางของผู้หญิงคนนั้นเบาๆ แล้วกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า ”อีกประเดี๋ยวเจ้าก็จะได้เห็นของวิเศษหายากทุกชนิดที่แม่ทัพมู่หรงนำมาที่นี่วันนี้”
“เป็นของวิเศษอะไรหรือเจ้าคะ” แน่นอนว่าผู้หญิงคนนั้นย่อมรู้ว่าจะเอาใจสามีของตนอย่างไร นางแนบตัวเข้าหาเขาด้วยท่าทางน่ารัก ทั้งยังนุ่มนวลราวกับผ้าไหม
พ่อค้าผู้ร่ำรวยคนนั้นเผยรอยยิ้มลึกลับออกมา แล้วตอบว่า ”แม่ทัพมู่หรงได้ของพวกนั้นมาจากป่าวิญญาณ เจ้าจะต้องงดงามยิ่งกว่านี้แน่หลังจากได้ดื่มของสิ่งนั้น”
“จริงหรือ เช่นนั้นก็รีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ!” ดวงตาของผู้หญิงคนนั้นเป็นประกายด้วยความสนใจ
พ่อค้าผู้ร่ำรวยคนนั้นโอบแขนข้างหนึ่งรอบเอวนาง เขาเงยหน้าขึ้น และตั้งท่าจะเดินตรงไปยังห้องที่ว่า แต่แล้วเขาก็ถูกทหารนายหนึ่งที่ยืนรักษาการณ์อยู่นั้นขวางเอาไว้ ชายพุงพลุ้ยไม่เห็นว่าการตรวจตรานี้จะมีความสำคัญอันใด เขาลดมือลงไปที่เอวเพื่อหยิบบัตรผ่านของตน แต่แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันใด เขาปล่อยมือออกจากเอวของผู้หญิงคนนั้นเพื่อตรวจสอบทุกจุดบนชุดของตนที่สามารถเก็บป้ายไม้แผ่นเล็กๆ นั้นเอาไว้ได้ แล้วเขาก็ร้องออกมาว่า ”บัตรผ่านของข้าอยู่ไหนกัน ทำไมบัตรผ่านของข้าถึงหายไปได้ล่ะ”
ทหารนายนั้นตวัดสายตามองเขาอย่างเย็นชา และดีดนิ้วหนึ่งครั้งเป็นการสั่งให้ทหารที่เหลือมาพาเขาออกไปจากอาคาร
ชะตากรรมของพวกเขาจะเป็นเช่นใดนั้นย่อมชัดเจนดีอยู่แล้ว
มันทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยนึกถึงเจ้าพ่อค้ายาที่นางเคยประมือด้วยในยุคสมัยของตน พ่อค้ายานายนั้นเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่เจ้าเล่ห์และระวังตัวยิ่งนัก
ใครก็ตามที่ทำตัวผิดปกติต่อหน้าเขาจะถูกคิดว่าเป็นสายลับทันที และจะถูกปิดปากอย่างโหดเหี้ยม
ดูจากสิ่งที่ทหารนายนั้นทำเมื่อครู่แล้ว ดูเหมือนว่ามู่หรงหงตู๋จะเป็นคนประเภทเดียวกับพ่อค้ายาคนนั้น
อย่างไรก็ตาม นางก็ได้รู้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากบทสนทนานั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดฝีเท้า ดวงตาของนางจมลง
ของหายากจากป่าวิญญาณที่ดื่มแล้วสามารถทำให้คนเราดูเด็กลงได้อย่างนั้นหรือ
“มันจะต้องเป็นเลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน” น้ำเสียงของเสี่ยวไป๋ฟังดูเย็นชา ”มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวว่ามู่หรงหงตู๋ผู้นี้คือคนร้ายที่สังหารหมู่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ป่าวิญญาณในตอนนั้น แม่นาง ถ้าคนร้ายที่ว่านั่นคือชายคนนั้นจริง เช่นนั้นเจ้าก็ต้องระวังตัวเอาไว้ให้ดีล่ะ กลยุทธ์ที่เขาใช้นั้นทั้งโหดร้ายและไร้ซึ่งมนุษยธรรมสิ้นดี ข้ากลัวว่าเจ้าจะรับมือกับมันไม่ไหว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพัดให้ตัวเอง เวลานี้นางดูเหมือนคุณชายอย่างแท้จริง ใบหน้าของนางยังคงไร้ซึ่งความกังวลใดๆ ระหว่างนั้นนางก็ตอบเสี่ยวไป๋ทางกระแสจิตว่า ”ไม่ต้องห่วง การปลอมตัวเป็นหนึ่งในสิ่งที่ข้าช่ำชองเชียวล่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดความจริง นอกเหนือจากเรื่องของปืนและอาวุธต่างๆ แล้ว ทักษะที่นางเก่งรองลงมาก็คือการปลอมตัวและการหาข้ออ้างเพื่อเอาตัวรอดนี่เอง
ริมฝีปากของนางกระตุกขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายทันทีที่นางก้าวเท้าเข้าไปในห้อง
บรรยากาศของห้องนี้เป็นเหมือนอย่างที่นางจินตนาการเอาไว้ไม่มีผิด
แน่นอนว่ามู่หรงหงตู๋ไม่ได้มาที่นี่เพื่อการประมูล จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคือการทำให้ผู้คนเหล่านี้มารวมตัวกันในที่ลับตาได้โดยไม่เป็นที่ผิดสังเกตนั่นเอง
มันเป็นงานชุมนุมขนาดย่อม นอกจากตัวมู่หรงหงตู๋แล้ว ก็ยังมีคนอื่นอีกเพียงหกหรือเจ็ดคนเท่านั้น ผู้เข้าร่วมนั้นมีทั้งชายและหญิง พวกเขานั่งอยู่บนม้านั่งไม้จันทน์ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ในห้องนั้น พวกเขากำลังพูดคุยกันอย่างออกรสชาติ บนใบหน้าของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ภาพนี้ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเหมือนนางเพิ่งเดินเข้ามาในองค์กรชั่วร้ายไม่มีผิด
แม้จะคิดเช่นนั้น แต่นางก็มองไปรอบๆ และแทนที่ความคิดนั้นด้วยรอยยิ้มเฉื่อยชาบนใบหน้า ”ไม่รู้ว่าจะเริ่มกันได้เมื่อใด ข้าชักจะรอไม่ไหวแล้ว”
เดิมทีนั้นคนที่อยู่ในห้องรู้สึกลังเลเมื่อพวกเขาสังเกตเห็นคุณชายหน้าตาไม่คุ้นตาที่เพิ่งเดินเข้ามาผู้นี้ แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่ ’เขา’ พูด ดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกาย จากนั้นพวกเขาทุกคนจึงหันกลับไปมองที่มู่หรงหงตู๋
มู่หรงหงตู๋ยังคงจ้องเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่ เขามีอายุราวสี่สิบปี และมีผิวสีซีดผิดปกติ ดวงตาของเขาเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง ทำให้คนที่สบตากับเขารู้สึกอึดอัดอยู่เสมอ
แม้จะอยู่ภายใต้สายตาจับผิดอย่างรุนแรงจากดวงตาเย็นชาคู่นั้น แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับทำเพียงเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้อย่างไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด จากนั้นนางก็หยิบกระจกขึ้นมาชื่นชมความหล่อเหลาของตัวเองมุมแล้วมุมเล่า ”เฮ้อ อยากดื่มสิ่งนั้นจริงๆ ข้าจะได้ดูเด็กกว่านี้อีกหน่อย”
ทันใดนั้นมู่หรงหงตู๋ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เขารับรองพร้อมกับรอยยิ้ม ”วางใจเถอะ ท่านจะดูเด็กกว่านี้อย่างแน่นอน ไม่ใช่แค่นั้น พวกเราทุกคนที่อยู่ที่นี่จะได้เป็นอมตะ และมีชีวิตยืนยาวกว่าผู้ใดในแผ่นดินนี้ แต่ก่อนหน้านั้น ข้ามีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกท่านต้องทำกันก่อน…” เขาเงียบไป แล้วส่งสัญญาณให้กับข้ารับใช้ที่อยู่ข้างกาย
ข้ารับใช้คนนั้นหยิบถาดขึ้นมา แล้วยื่นมันให้กับผู้ร่วมงานทีละคน
ตอนแรกเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร
แต่เมื่อนางเห็นว่าผู้ร่วมงานคนแรกที่เป็นชายชราผมสีดอกเลากำลังวางเงินลงบนถาดนั้น นางก็เข้าใจได้ในทันทีว่าพวกเขากำลังเก็บเงินอยู่
ตอนที่ถาดใบนั้นมาถึงเฮ่อเหลียนเวยเวย นางก็ฟาดตั๋วเงินปึกหนึ่งลงไปบนนั้นอย่างไม่ลังเล เงินปึกนั้นมีตั๋วเงินอยู่ราวสิบใบ แต่ละใบมีมูลค่าหนึ่งแสนตำลึง
เป็นธรรมดาที่การกระทำนี้ย่อมสามารถดึงดูดความสนใจจากมู่หรงหงตู๋ได้ เขาชำเลืองมองมาทางนางหลายครั้ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยทำราวกับว่านางไม่สังเกตเห็นสายตาของเขา และเลียนแบบสีหน้าของคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แสร้งแสดงสีหน้าแห่งความละโมบและกระหายอยากออกมา
ตอนนั้นเองที่ในที่สุดอวิ๋นปี้ลั่วก็เตรียมการเสร็จ และกำลังเดินอย่างสง่างามเข้าไปหาเป้าหมายของพวกนาง ระหว่างทางไปที่นั่น นางก็หันไปฟังบทสนทนากับผู้สมรู้ร่วมคิดของตัวเองเมื่อได้ยินพวกเขาเอ่ยชื่อของเฮ่อเหลียนเวยเวยขึ้นมา
“เอาล่ะ พวกเราเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้แผนการนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี! ข้าอยากเห็นนักว่าครั้งนี้นางจะชิงความสำเร็จทั้งหมดนี้ไปได้อย่างไร จะว่าไปเจ้าคิดแผนการนี้ออกมาได้อย่างไรกัน ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”
“อืม ข้าก็ไม่ได้คิดเองหรอก มีคนส่งกระดาษมาให้ข้า และในนั้นก็มีแผนการนี้เขียนเอาไว้ ข้าก็เลยตัดสินใจที่จะทำตามนั้นเพราะมันดูฟังเข้าท่าทีเดียว”
ตอนที่เสียงจากบทสนทนาของทั้งสองเงียบลง รอยยิ้มก็พลันปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของอวิ๋นปี้ลั่วเล็กน้อย แน่นอนว่ามันย่อมเป็นรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความจริงใจและเจ้าเล่ห์ แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นแม้แต่คนเดียว
นางไม่ได้ทำเรื่องไม่เหมาะสมเสียหน่อย สิ่งเดียวที่นางทำก็แค่เสนอแผนการเท่านั้น อย่างไรเสียการทำงานเป็นทีมก็ต้องมีคนหนึ่งในกลุ่มเป็นคนเริ่มคิดก่อนอยู่ดี
หึ คงต้องโทษตัวเจ้าเองที่มีหน้าตาอัปลักษณ์เช่นนั้นละนะ ต่อให้พวกนางจะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่สิ่งเดียวที่เจ้าสามารถทำได้ก็คือเป็นคนเป่านกหวีดส่งสัญญาณ แทนที่จะเป็นกำลังสำคัญในภารกิจนี้เหมือนอย่างข้า ช่างไร้ค่าและน่าสมเพชจริงๆ…