ตอนที่ 338

My Disciples Are All Villains

ลู่โจวได้พยักหน้าออกมาด้วยความพึงพอใจ ถ้าดูจากรูปแบบที่ผ่านมาทุกครั้งที่ตัวเขาทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ครบ 100 ครั้ง ตัวเขาก็จะได้รับรางวัลตอบแทนเสมอ แต่ดูว่าของรางวัลครั้งนี้มันจะดูขี้งกจนเกินไป ลู่โจวได้รับรางวัลเป็นเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์แค่ส่วนเดียวเท่านั้น การทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ 100 ครั้งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย…แต่ถ้าหากจะให้พูดตามตรงการที่จะทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์อีก 100 ครั้งในตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรสำหรับตัวเขาอีก

ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!

เกิดความวุ่นวายดังขึ้นอยู่ด้านนอก

ก่อนที่ลู่โจวจะได้ถามอะไรออกไปในตอนนั้นก็มีเสียงของใครบางคนพูดออกมาซะก่อน “ท่านปรมาจารย์ ข้าคิดว่าท่านซู่ฮ่องกงอาจจะฝึกฝนตัวเองจนข้ามผ่านขีดจำกัดมาได้แล้ว”

“งั้นหรอ” ลู่โจวได้ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะเดินออกมาจากศาลาทางตะวันออกอย่างช้าๆ ตัวเขารู้สึกพูดไม่ออกเมื่อได้ฟังแบบนั้น

เป็นไปได้ไหมว่าเหล่าศิษย์ของตัวเขาที่สามารถท่องโลกกว้างได้อย่างอิสระจะสามารถฝึกฝนตัวเองจนก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดได้ง่ายขึ้น? จ้าวยู่เป็นคนที่อยู่บนภูเขามาเกือบตลอด นอกจากนี้ลู่โจวยังใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการลงโทษนางในตอนที่นางถูกจับกลับมายังศาลาปีศาจลอยฟ้าใหม่ๆ นอกจากนี้ลู่โจวยังขับพิษไอเย็นออกจากร่างกายของนางแล้วอีกด้วย และถ้าหากดูจากช่วงเวลาจ้าวยู่ก็ควรที่จะฝึกฝนตัวเองจนก้าวข้ามผ่านไปยังขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว แต่ถึงแบบนั้นซู่ฮ่องกงกับฝึกฝนตัวเองจนเอาชนะนางไปได้

ในขณะเดียวกันที่ถ้ำแห่งเงาสะท้อน

ซู่ฮ่องกงในตอนนี้กำลังรู้สึกตื่นเต้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุข ตัวเขาจ้องมองไปที่อวตารร้อยวิถีของตัวเอง ตัวเขาได้ผ่านปัญหามากมายหลายอย่างมาก็เพื่อที่จะสร้างอวตารร้อยวิถีได้ แม้ว่ามันจะยังเป็นอวตารที่ยังไม่มีกลีบดอกบัวสักกลีบก็ตามที แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังเป็นอวตารแห่งร้อยวิถีอยู่ดี ตัวเขาจ้องมองไปยังอวตารดอกบัวทองคำของตัวเองอย่างเพลินตา

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำจริงๆ ศิษย์พี่รอง” ซู่ฮ่องกงได้โค้งคำนับยู่ฉางตงให้อย่างสุดซึ้ง

ยู่ฉางตงนั่งลงบนม้านั่งหิน มือซ้ายของตัวเขากำลังถือดาบยืนยาวอยู่ ตัวเขาได้วางดาบยืนยาวเอาไว้บนโต๊ะก่อนที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มจางๆ “เจ้าน่ะมีพรสวรรค์ตั้งแต่ต้นแล้ว แม้ว่าวิธีการฝึกฝนของเจ้าในก่อนหน้านี้จะผิด แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ใช่อะไรที่เสียเปล่าไปซะทีเดียว การฝึกที่ผ่านมาทำให้เจ้าเก็บสะสมพลังลมปราณได้มาก นอกจากนี้เสื้อคลุมวิถีเซนเองก็ยังช่วยเจ้าได้มากเช่นกัน”

“ท่านพูดถูกแล้วศิษย์พี่…ในใจของข้าท่านน่ะแข็งแกร่งที่สุดแล้ว!” ซู่ฮ่องกงได้กลับมาเข้าสู่โหมดการพูดเยินยออีกครั้ง

ยู่ฉางตงเหลือบมองก่อนที่จะพูดกลับไป “เป็นอย่างงั้นหรอ?”

ซู่ฮ่องกงรีบตอบกลับมาอย่างเร่งรีบ “ข้าไม่ได้โกหกแม้แต่น้อย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าได้พูดออกมาล้วนมาจากใจ…ศิษย์พี่รองได้โปรดเชื่อข้าเถอะ ข้าไม่สามารถที่จะหลอกลวงอะไรท่านได้หรอก…”

ในขณะที่ซู่ฮ่องกงยังคงพูดประจบยู่ฉางตงต่อในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นมา “สวัสดีศิษย์พี่รอง” เสียงของคนคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น มันเป็นเสียงของต้วนมู่เฉิงนั่นเอง ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ด้านนอกถ้ำแห่งเงาสะท้อนพร้อมกับหอกราชันย์ในมือ

ในเวลาเดียวกันเล้งลั่ว, ฮั๊ววู่เด๋า, ฮั๊วยู่จิง, ฝานลี่เทียน และคนอื่นๆ เองต่างก็ปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหน้าของถ้ำแห่งเงาสะท้อนเช่นกัน ทุกๆ คนต่างก็มาที่นี่เพราะความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมาจากฝานซง

ต้วนชิงเองก็เดินทางมาถึงเช่นกัน ในฐานะที่ตัวเขาเป็นแขกต้วนชิงก็ได้แต่เฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่อย่างห่างๆ

แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะห้ามไม่ให้คนนอกต้วนชิงอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ สุดท้ายแล้วผู้ที่อยู่ในถ้ำแห่งเงาสะท้อนก็เป็นถึงสุดยอดอัจฉริยะผู้ใช้ดาบ เขาเป็นผู้ใช้ดาบที่ทำให้คนทั่วทั้งโลกสั่นกลัว

“ศิษย์น้องสาม…เจ้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลย” ยู่ฉางตงปรากฏตัวออกมาใกล้ๆ กับทางเข้า ตัวเขาได้กอดอกก่อนที่จะทักทายกลับไป

ต้วนชิงได้คารวะให้ยู่ฉางตงอีกครั้งก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าได้ยินมาจากฝานซงว่าท่านถูกท่านอาจารย์จับไปขังที่ถ้ำแห่งเงาสะท้อน ในฐานะที่ข้าเป็นศิษย์น้อง เป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้วที่ข้าจะมาเยี่ยมท่านที่นี่” คำพูดของต้วนมู่เฉิงมีหลากหลายความหมายด้วยกัน ถ้าหากดูอย่างผิวเผินต้วนมู่เฉิงก็แค่แสดงความเคารพตามปกติเท่านั้น แต่ถึงแบบนั้นคำพูดของเขาก็แฝงไปด้วยการเยาะเย้ยเช่นกัน

ฝานซงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น ‘ทำไมต้องเป็นข้าด้วย? ข้าก็แค่บอกเรื่องนี้กับทุกคนก็เพราะความหวังดี ทำไมท่านต้วนมู่เฉิงถึงต้องทำให้ข้าดูมีเจตนาแอบแฝงด้วย?’

ฝานลี่เทียนได้คว้าแขนของฝานซงเอาไว้ก่อนที่จะถามออกมาอย่างหงุดหงิด “เจ้ากำลังกลัวอะไร?”

“ข้าไม่ได้กลัว…นี่…นี่คือศิษย์คนรองที่พวกเราเคยพูดถึงกัน” ฝานซงได้พูดออกมาอย่างหมดความมั่นใจ

“ข้ารู้แล้ว” ฝานลี่เทียนมองกลับมา

“แล้วท่านไม่กลัวอย่างงั้นหรอ?”

“ไม่แน่หรอก…ใครบ้างล่ะที่ไม่เกรงกลัวยอดฝีมือกัน?” ฝานลี่เทียนตอบกลับมา

‘ทำไมตาแก่คนนี้ถึงต้องพูดอะไรที่ฟังดูเท่กันด้วยล่ะ?’ ฝานซงได้แต่กลอกตามองบน ตัวเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกต่อไป ฝานลี่เทียนได้ท่องไปยังดินแดนต่างๆ นาๆ มา ตัวเขาได้ต่อสู้อย่างเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมานับไม่ถ้วน แม้แต่ป่าทมิฬฝานลี่เทียนก็ยังเดินทางไปมาแล้ว ถ้าหากฝานลี่เทียนจะบอกว่าไม่กลัวมันก็ยังฟังดูน่าเชื่อถือซะด้วยซ้ำ ฝานซงที่ได้ใช้เวลาอยู่กับฝานลี่เทียนมาโดยตลอดได้ฟังวีรกรรมเรื่องราวในอดีตของฝานลี่เทียนมากว่าหลายครั้งแล้ว

ในตอนนั้นเองยู่ฉางตงก็ได้ยิ้มจางๆ ออกมาก่อนที่จะพูดขึ้น “ศิษย์น้องสาม เจ้าแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนจริงๆ นะ”

“ต้องขอบคุณคำสั่งสอนของท่านอาจารย์ที่ทำให้ข้าสามารถพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้” ต้วนมู่เฉิงตอบกลับ

“แล้วเจ้ามีกลีบดอกบัวกี่กลีบกันแล้วล่ะ?”

“ข้าเพิ่งจะผลิกลีบดอกบัวกลีบที่สามได้เมื่อไม่นานมานี้”

“ยินดีด้วย”

ต้วนมู่เฉิงได้พูดต่อ “ฝานซงได้บอกกับข้าว่าพลังวรยุทธของท่านถูกผนึกไปแล้ว…แม้ว่าข้าจะไร้ความสามารถ แต่ข้าก็ยังอยากจะประลองกับศิษย์พี่รองให้ได้สักครั้ง” เมื่อไม่นานมานี้ต้วนมู่เฉิงได้ทำตามคำสั่งของลู่โจวอย่างเคร่งครัด ตัวเขาได้ฝึกฝนตัวเองอยู่ภายใต้น้ำตกโดยที่ไม่ใช้พลังลมปราณมาโดยตลอด แต่สิ่งเดียวที่ต้วนมู่เฉิงต้องการนั่นก็คือคู่ฝึก การที่จะหวังให้ผู้อาวุโสแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้ามาเป็นคู่ฝึกดูอะไรที่ยากเกินไปสักหน่อย ถ้าหากฝึกฝนโดยที่ไม่ใช้พลังลมปราณต้วนมู่เฉิงก็จะไม่มีวันวัดระดับพลังของตัวเองได้ ไม่ว่าจะฝึกฝนไปอีกนานแค่ไหนตัวเขาก็คงจะไม่พอใจเพราะไม่รู้พลังของตัวเองแบบนี้ เมื่อได้ยินมาว่าศิษย์พี่รองของเขากลับมาพร้อมกับถูกผนึกพลังวรยุทธเอาไว้ ต้วนมู่เฉิงจึงมีความหวังขึ้นมาในทันที แม้จะมีแนวโน้มว่าตัวเขาจะต้องพ่ายแพ้แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังคุ้มค่าที่จะลองอยู่ดี

ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดออกมาหลังจากที่ถอนหายใจไป “ต้วนมู่เฉิงยังคงเฝ้าท้าประลองผู้คนต่อไปแม้ว่าตัวเขาจะพ่ายแพ้มามากมายแล้วก็ตาม…ข้าน่ะไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ”

ฮั๊วยู่จิงได้พึมพำออกมา “แต่ดูเหมือนว่าท่านต้วนมู่เฉิงจะไม่ได้ตามหาท่านมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วนิคะ”

เมื่อได้ยินแบบนั้นสีหน้าของฮั๊ววู่เด๋าก็ดูเปลี่ยนไป ตัวเขาได้ไอออกมาในทันที

“ท่านผู้อาวุโสสบายดีไหม?” ฮั๊วยู่จิงถาม

“ข้าสบายดี”

ในตอนนั้นเองยู่ฉางตงก็ได้จ้องมองไปยังตัวของต้วนมู่เฉิงก่อนที่จะพูดออกมาอย่างนุ่มนวล “ถ้าหากจะให้ข้าพูดตามตรง เจ้าน่ะยังอ่อนแอจนเกินไป”

“ท่านจะรู้ได้ไงว่าข้าอ่อนแอถ้าหากพวกเรายังไม่ได้ประมือกัน?” ต้วนมู่เฉิงได้ยกหอกราชันย์ของเขากระแทกลงบนพื้น “ข้าจะไม่เอาเปรียบท่านหรอกนะศิษย์พี่ ในระหว่างประลองข้าจะไม่ใช้พลังลมปราณ”

ในตอนนั้นเองซู่ฮ่องกงก็เดินตรงมายังทางเข้าถ้ำเช่นกัน ตัวเขาได้โบกมือทักทายผู้เป็นศิษย์พี่ “ศิษย์พี่รอง เกิดอะไรขึ้นอย่างงั้นหรอ?”

“ถอยไปซะศิษย์น้องแปด” ต้วนมู่เฉิงพูดออกมาโดยที่ไม่ได้หันกลับไปมองซู่ฮ่องกงซะด้วยซ้ำ

ยู่ฉางตงที่เห็นแบบนั้นได้ส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจออกมา “ตามที่เจ้าปรารถนาก็แล้วกัน” ตัวเขาได้ยกดาบยืนยาวในมือขึ้น

ชิ๊ง!

ยู่ฉางตงได้ชักดาบยืนยาวออกมาจากฝัก ตัวเขาได้ถือดาบเอาไว้ที่มือข้างซ้ายก่อนที่จะใช้มันเคาะไปที่ม่านพลังและเดินออกมาราวกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อเห็นแบบนั้นฝานลี่เทียนก็ได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดชมเชยออกมา “เป็นอย่างที่ข้าคิดไว้ไม่มีผิด”

“หมายความว่ายังไงกัน?”

“เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างอาวุธกับเจ้าของสูงจนสมบูรณ์แบบได้ เจ้าของก็จะสามารถควบคุมอาวุธชิ้นนั้นได้อย่างแม่นยำและยังใช้มันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย และถ้าหากคนคนนั้นเป็นผู้ที่รอบรู้เกี่ยวกับพลังของเขตแดน แน่นอนว่าเขาจะต้องเดินผ่านเขตแดนออกมาได้แน่” ฝานลี่เทียนอธิบายเรื่องนี้ออกมา ตัวเขาเคยพูดเรื่องนี้กับหยวนเอ๋อมาก่อน

ยู่ฉางตงได้เดินออกมาจากถ้ำ ตัวเขาได้เดินไปหาต้วนมู่เฉิง เมื่ออยู่ไกลกันเพียงครึ่งก้าวยู่ฉางตงก็ได้หยุดเดินในทันที

ในแง่ของส่วนสูงดูเหมือนว่ายู่ฉางตงจะมีส่วนสูงที่มากกว่าต้วนมู่เฉิงเล็กน้อย ในแง่ของความกำยำดูเหมือนว่าต้วนมู่เฉิงจะชนะขาด ยู่ฉางตงเป็นเพียงแค่ชายผู้ที่มีรูปร่างเพรียวบางเท่านั้น ยิ่งยืนใกล้กันความแตกต่างระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ผู้ที่มีฝีมือที่แท้จริงมักจะเป็นผู้ที่มีความกล้าหาญ แม้ว่ายู่ฉางตงจะไม่มีพลังลมปราณแล้วแต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็กล้าที่จะเผชิญหน้ากับต้วนมู่เฉิง

เป็นไปตามที่ต้วนมู่เฉิงคาดไว้ ตัวเขาได้ก้าวถอยหลังก่อนที่จะคารวะ “ข้าขอคำแนะนำด้วยศิษย์พี่รอง”

“ไม่ต้องพูดหยอกล้อข้าหรอก นี่เป็นเพียงแค่การประมือกันระหว่างศิษย์สาวกก็เท่านั้น” ยู่ฉางตงเอาดาบยืนยาวแทงลงไปบนพื้น ตัวเขากำลังจ้องมองต้วนมู่เฉิงอย่างเยือกเย็นอยู่ สีหน้าของยู่ฉางตงไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ

เมื่อเห็นแบบนั้นต้วนมู่เฉิงก็รู้สึกรำคาญนิดหน่อย ยู่ฉางตงทำราวกับว่าตัวเขานั้นอยู่เหนือกว่า ต้วนมู่เฉิงได้ยกหอกราชันย์ขึ้นมาก่อนที่จะพุ่งตรงไปยังด้านหน้า

เทคนิคการใช้หอกและดาบแท้จริงแล้วคล้ายคลึงกัน เคล็ดวิชายุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ถือว่าเป็นเคล็ดวิชาที่ใช้สำหรับการฝึกฝนดาบและหอก อันที่จริงแล้วการที่คนคนหนึ่งจะสามารถปลดปล่อยพลังของหอกราชันย์มาได้มากขนาดนี้เป็นเพราะพลังความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อของต้วนมู่เฉิงทั้งนั้น

ยู่ฉางตงยังคงไม่เคลื่อนไหว

พรึ๊บ!

ปลายหอกราชันย์ได้เปล่งประกายออกมาก่อนที่จะพุ่งตรงไปยังหน้าของยู่ฉางตง ยู่ฉางตงได้หันข้างไปเล็กน้อยก่อนที่จะยกมือของตัวเองขึ้นมา

พรึ๊บ!

ยู่ฉางตงได้จับหอกราชันย์เอาไว้ด้วยมือเปล่า!

ทุกๆ คนที่เห็นแบบนั้นต่างก็ตกใจ ‘เขาทำถึงขนาดนั้นได้จริงๆ หรอ?’

หลังจากนั้นยู่ฉางตงก็ได้ผลักหอกกลับไป

ต้วนมู่เฉิงที่ถูกผลักโซเซไปที่ด้านหลังในขณะที่ยู่ฉางตงก้าวไปที่ด้านหน้าก่อนที่จะโจมตีด้วยฝ่ามือ

สีหน้าของยู่ฉางตงเปลี่ยนไป ตัวเขาถอยห่างกลับมาเพื่อหลบการโจมตี

ในตอนนั้นเองยู่ฉางตงก็ได้พูดขึ้นมาอย่างช้าๆ “ความแข็งแกร่งของเจ้าน่ะมีมากกว่าทักษะ เจ้าน่ะยังขาดประสบการณ์ในการต่อสู้จริง…ศิษย์น้อง หนทางของเจ้าน่ะยังอีกยาวไกล”