ตอนที่ 400 สว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าพลุ

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

ตอนที่ 400 สว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าพลุ

เมื่อใกล้เวลาหนึ่งทุ่ม ดวงอาทิตย์เริ่มตก ตำหนักพระจันทร์ก็เปิดไฟสว่างไสว

เจ้าสาวมาในชุดเกาะอกสีน้ำเงินแบบสบายๆ ช่วยขับให้ผิวขาวเนียนไร้ที่ติดุจหยกยิ่งขาวผ่อง

ถังถังดวงตาเปล่งประกาย “อาเย่ว์ใส่สีน้ำเงินก็สวยมาก!”

เหลียงจีพูดต่อ “ชุดเจ้าสาวสีน้ำเงินงามสง่า ไม่ฉูดฉาด แต่คงความหรูหรา มีความหมายคือความรักที่ไม่เปลี่ยนตลอดกาล เหมาะสมกับหัวหน้าเผ่ามาก!”

มู่เถาเยามองอากับอาเขยที่กำลังยิ้มพร้อมยกสุราดื่มกับพวกผู้อาวุโส ดวงตากวางกลมโตเต็มไปด้วยความคาดหวังที่ใครก็ไม่เข้าใจ

เยี่ยนหังน้องชายของเธอใกล้จะมาแล้ว!

สองมือของมู่หว่านเท้าใบหน้ามองแบบเคลิบเคลิ้ม “อาเย่ว์กับอาเขยเหมาะสมกันจริงๆ!”

ทั้งโต๊ะพากันพยักหน้า “นั่นสิ อาหารตาชัดๆ!”

อายุที่แท้จริงของพวกเขาดูแก่ไปหน่อยเมื่อเทียบกับบ่าวสาวทั่วไป แต่ถ้ามองรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่าคู่นี้อายุยี่สิบกว่า แต่งงานตามวัย!

ปาอินพูดด้วยความอิจฉา “เสี่ยวเยาเยา เธอกับอาเย่ว์มีใบหน้าแบบตุ๊กตาเหมือนกัน งั้นต่อไปพวกเราแก่ลง เธอกลับยังเหมือนเด็กสาว!”

มู่เถาเยายิ้มตาโค้ง “เดี๋ยวทำเครื่องสำอางบำรุงผิวให้ ทุกคนอ่อนเยาว์ไปด้วยกัน”

“เอาสิๆ”

งานเลี้ยงฉลองแต่งงานที่แสนครึกครื้นดำเนินต่อเนื่องไปจนเสร็จสิ้นประมาณสามทุ่ม แต่พลุที่ข้างนอกกำลังสว่างไสว

ทุกคนย้ายไปที่สนามหญ้าด้านนอกเพื่อชมพลุหลากสี

ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว พลุหลากสีสันสว่างไสวดุจสวนดอกไม้นานาพันธุ์ งดงามเหลือเกิน

อวิ๋นไป๋โอบเย่ว์เลี่ยงยืนอยู่บนหอดูดาวที่สูงที่สุดของตำหนักพระจันทร์

เจ้าสาวกำลังดูพลุ เจ้าบ่าวมองเจ้าสาว

“เย่ว์เลี่ยง ชีวิตของผมสมบูรณ์แล้ว ขอบคุณนะที่ยอมแต่งงานกับผม”

เย่ว์เลี่ยงหันมายิ้ม “ยังขาดอีกหน่อย ลูกยังไม่มาเลยนะ”

“ผมไม่เอาลูกก็ได้”

“แต่ฉันอยากได้”

ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยนหัง เธอไม่เอาก็ได้เหมือนกัน แต่เยี่ยนหังเป็นความดันทุรังของเธอ

อวิ๋นไป๋จูบแก้มของเย่ว์เลี่ยง “งั้นพวกเราลงไปผลิตลูกที่ห้องหอกันเถอะ”

“…หลังจากวันนี้ห้ามดื่มเหล้าแล้ว” ต้องเตรียมตั้งครรภ์

“เย่ว์เลี่ยง ผมฟังคุณทุกอย่าง”

“…ลูกต้องชื่อเยี่ยนหัง”

“อืม แซ่เดียวกับคุณก็ได้”

“แซ่อวิ๋น”

เธอมีหลานชายสองคน หลานสาวหนึ่งคน ตระกูลเย่ว์ไม่ขาดแคลนลูกหลาน

“ได้ อวิ๋นเยี่ยนหัง ถ้ามีลูก ผมอยากได้ลูกสาวที่เหมือนกับคุณเปี๊ยบ ชื่อเย่ว์อู๋ซวง” งดงามไร้ใครเทียบได้แบบเย่ว์เลี่ยง

เขาพอใจชื่อที่พ่อตาแม่ยายตั้งให้ลูกเหลือเกิน!

“แล้วแต่วาสนา”

“อืม ที่รักจ๋าคุณหิวไหม เมื่อกี้ไม่ค่อยได้กินอะไร ผมลงไปเอาอะไรมาให้กินหน่อยดีไหม”

เย่ว์เลี่ยงเหม่อ

เธอไม่รู้สึกแปลกกับคำว่า ‘ที่รัก’ เพราะพี่ชายเธอเรียกพี่สะใภ้แบบนี้ทุกวัน แต่พอตัวเองถูกเรียกกลับรู้สึกไม่ชินเลย

“ที่รัก?”

“หืม? คุณลงไปเอาอะไรมากินหน่อยก็ได้”

“เรียกที่รักสิ” อวิ๋นไป๋ประคองใบหน้าของเย่ว์เลี่ยง ดวงตาเปล่งประกายยิ่งกว่าพลุที่อยู่เหนือศีรษะ

“…”

“ที่รัก คุณยังไม่เคยเรียกผมว่าที่รักเลยนะ”

“…”

“ที่รัก…” อวิ๋นไป๋ลากเสียงยาวราวกับออดอ้อน

เย่ว์เลี่ยงรู้สึกว่าสีหน้าของเขาดูรุกเร้า

“ที่รัก ที่รัก ที่รัก…”

“…เอาล่ะ รีบไปสิ ฉันอยากกินปลานึ่ง”

“เรียกที่รักคำเดียวผมไปเลย”

เย่ว์เลี่ยงอยากมองบนใส่เหลือเกิน “ที่รัก”

อืม เรียกออกไปก็ไม่รู้สึกแปลกอะไร

อวิ๋นไป๋จับใบหน้าเย่ว์เลี่ยงแล้วจุ๊บรัวๆ ถึงปล่อยเธอ กระโดดโลดเต้นพลางพูด “ฉันเป็นสามีของเย่ว์เลี่ยง! ฮ่าๆ ฉันเป็นสามีของเย่ว์เลี่ยงแล้ว…”

เวลานี้ดูเหมือนเย่ว์เลี่ยงจะสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นดีใจขั้นสุดของอวิ๋นไป๋

มองเขากระโดดโลดเต้นเดินไปทางลิฟต์ หัวใจที่แข็งกระด้างก็อ่อนลงอย่างอดไม่ได้

แต่งงานก็ไม่ได้แย่!

พออวิ๋นไป๋ลงไปแล้ว เย่ว์เลี่ยงก็นั่งบนเก้าอี้โยก ยิ้มมองดวงดาวเต็มท้องฟ้ากับพลุ

เมื่อชาติก่อนเธอแพ้ให้กับความรักอย่างหมดรูป

มาวันนี้ ใบหน้าของคนคนนั้นก็เริ่มเลือนราง

ชาตินี้สวรรค์ส่งอวิ๋นไป๋มาชดเชยให้เธอ

ความรักความชังก่อนหน้านี้ถือว่าเจ๊ากันไป วันหน้าเปิดใจให้กว้าง รับชีวิตใหม่ สร้างช่วงเวลาที่ดี

อวิ๋นไป๋ควรค่าแก่การให้เธอเชื่อใจและผ่อนคลายได้หมดใจ

ใบหน้าของเย่ว์เลี่ยงมีรอยยิ้มเล็กน้อย เธอค่อยๆ หลับตาลงสัมผัสกับสายลมในฤดูใบไม้ร่วงและพลุอันร้อนแรง

เมื่ออวิ๋นไป๋ยกถาดที่มีข้าวสองชาม ผัดผักหนึ่งจาน ปลานึ่งหนึ่งจานขึ้นมา เย่ว์เลี่ยงก็หลับไปแล้ว

ถึงแม้ใบหน้าของเธอจะไม่มีความเหนื่อยล้า แต่ก็หลับสบายมาก

อวิ๋นไป๋ตัดใจปลุกไม่ลง แต่ก็ไม่อยากให้เธอท้องหิวขณะหลับ เขาลังเลเหลือเกิน

สายลมแผ่วเบาพัดมา อวิ๋นไป๋ถึงตัดสินใจได้ว่าจะอุ้มเธอไปพักผ่อนก่อน รอเธอตื่นมาค่อยกิน

ขณะที่โน้มตัวอุ้มเธอขึ้นมาเย่ว์เลี่ยงก็ลืมตาขึ้น

“ฉันหลับเหรอ”

“ใช่ เมื่อกี้คุณหลับ ผมกำลังจะอุ้มคุณไปที่ห้อง กลัวไม่สบาย”

“ปล่อยฉันลง ฉันเดินเอง คุณยกกับข้าว พวกเราไปกินกันที่ห้อง”

“ได้”

อวิ๋นไป๋วางเย่ว์เลี่ยงลงด้วยความระมัดระวัง

“วันนี้คุณเหนื่อยแย่”

“ฉันไม่ได้รู้สึกเหนื่อย อาจเพราะลมกลางคืนมันเย็นสบายก็เลยเผลอหลับไป”

“อืม ไม่เหนื่อยก็ดี”

เข้าไปในลิฟต์ เย่ว์เลี่ยงมองปลาที่อยู่ในถาดบนมืออวิ๋นไป๋แล้วขมวดคิ้ว

อวิ๋นไป๋มองถาดตามสายตาของเย่ว์เลี่ยง ไม่ได้รู้สึกว่าผิดปกติอะไร

“มีอะไรเหรอที่รัก”

“ปลานี่สดหรือเปล่า”

“สดจ้ะ จับเมื่อคืนใส่มาพร้อมน้ำทะเล”

อวิ๋นไป๋พูดจบก็ขยับหน้าเข้าไปดมใกล้ถาด “ที่รัก กลิ่นปกตินะ คุณว่ามันผิดปกติเหรอ”

“ฉันว่ามันดูคาวกว่าปกติ”

“งั้นผมไปเปลี่ยนตัวใหม่”

“ช่างเถอะ กินๆ ไปก่อน ห้องครัวยุ่งมาทั้งวันแล้ว”

“เดี๋ยวผมทำให้กินเอง ไม่นานหรอก”

เย่ว์เลี่ยงส่ายหน้า “ไม่ต้อง แค่นี้เองกินได้”

ทั้งสองคนกลับเข้าห้อง นั่งตรงโต๊ะหันหน้าเข้าหากัน

อวิ๋นไป๋คีบเนื้อปลาตรงส่วนที่นุ่มที่สุดใส่ชามของเย่ว์เลี่ยง “ปลาหิมะที่คุณชอบกินที่สุด”

“อืม”

เย่ว์เลี่ยงยกชาม คีบเนื้อปลาเข้าปาก แต่ก็อ้วกออกมาทันที

“อูแหวะ!”

อวิ๋นไป๋หน้าซีด รีบทิ้งชามข้าวลุกไปหาเย่ว์เลี่ยง

“เป็นไงบ้างเย่ว์เลี่ยง”

“อูแหวะ…ประคองฉันไปห้องน้ำหน่อย” เย่ว์เลี่ยงพูดจบก็เอามือปิดปาก

อวิ๋นไป๋ที่หน้าซีดอุ้มเย่ว์เลี่ยงวิ่งไปทางห้องน้ำ

เย่ว์เลี่ยงอาเจียนอยู่สักพักก็เอาของที่กินตอนงานเลี้ยงออกมาจนหมด

“เย่ว์เลี่ยง เย่ว์เลี่ยง คุณเป็นยังไงบ้าง” อวิ๋นไป๋ลูบหลังเย่ว์เลี่ยง ร้อนใจจนเหงื่อแตก มือเท้าสั่นไปหมด

“อาจเพราะเมื่อกี้กินมั่วไปหมด ท้องไส้เลยปั่นป่วน คุณโทรไปถามพี่ชายฉันหน่อยว่ามีใครเป็นแบบฉันไหม”

“โทร…จริงสิ เสี่ยวเยาเยา…” อวิ๋นไป๋วิ่งออกจากห้องน้ำแล้วหยิบโทรศัพท์โทรหามู่เถาเยา

“เสี่ยวเยาเยา รีบมาที่ห้องพวกเราหน่อย อาเธอเกิดเรื่องแล้ว”

อวิ๋นไป๋พูดเสียงสั่น กลัวจนจะร้องไห้