ตอนที่ 395 สายเรียกเข้าจากท่านผู้นำสูงสุด

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 395 สายเรียกเข้าจากท่านผู้นำสูงสุด

ในตอนเช้าซูเถาก็พยายามลุกขึ้นจากเตียง เธอยังมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตัว และมีไข้สูง

หลิงอวี่กระพือปีกที่ขอบหน้าต่างแล้วพูดว่า “พักผ่อน พักผ่อน”

ในขณะที่ซูเถาขยี้ศีรษะ เธอก็ถามหลิงอวี่ว่า “สือจื่อจิ้นบอกแกเหรอ”

หลิงอวี่ผิวปากเพื่อระบุว่าใช่

ซูเถาโบกมือพร้อมกับยืนขึ้นด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิด จากนั้นเธอก็ไปล้างหน้าแปรงฟันและเปลี่ยนเสื้อผ้า

เธอไม่สามารถอยู่บนเตียงได้ทั้งวัน

วันนี้เธอไม่เพียงต้องไปที่ตงหยางเพื่อจัดการประชุมสำคัญกับกู้หมิงฉือ หารือเกี่ยวกับการจัดตั้งทีมในการขายสินค้าตามแนวชายฝั่ง เพื่อที่จะได้เป็นช่องทางหาผลึกนิวเคลียสจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังนัดหมายกับเสิ่นเวิ่นเฉิง เพื่อพาผู้อาวุโสเหม่ยไปดูโบนวิงส์

และสุดท้ายก็ต้องสรุปแผน ‘การสรรหาผู้มีความสามารถพิเศษ’ ที่จะเปิดตัวในเดือนสิบเอ็ดกับจวงหว่าน แต่ละเรื่องเธอต้องจัดการด้วยตัวเองไม่สามารถละเลยได้

หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเรียบร้อย เธอก็เตรียมตัวออกจากห้องนอน แต่แล้วก็เห็นว่าเฮยจือหม่าเพิ่งเอาเท้าสกปรก ๆ ของมันออกจากแก้วน้ำของเธอ

“…แกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องของล่าเจียวและหั่วเยี่ยนเป็นเวลาสามวัน” ซูเถาเอ่ยเสียงเข้ม

เมื่อเธอพูดจบก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไปทันทีโดยไม่สนใจเสียงคร่ำครวญของเฮยจือหม่าแม้แต่น้อย

ระหว่างที่เดินทางไปประชุมที่ตงหยาง ซูเถารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอุณหภูมิรอบกายลดลงเล็กน้อย และแทบไม่มีคนอยู่บนถนนเลย

คนขับรถที่มารับเธอก็ถอนหายใจและอธิบายว่า “เป็นเพราะว่าช่วงนี้มีเรื่องการฆ่าถลกหนังออกมา ผู้คนเลยกลัวที่จะออกไปข้างนอก บางคนถึงขั้นหนีไปที่ฐานอื่นชั่วข้ามคืน แม้แต่คนไร้บ้านและขอทานรอบ ๆ ตงยางก็หายไปกว่าครึ่ง”

ซูเถานึกถึงจำนวนคนไร้บ้านรอบ ๆ เถาหยางในตอนนี้ ก็รู้สึกได้ว่าน้อยลงมาก

คนขับรถยังกล่าวต่ออีกว่า “ผมได้ยินมาว่ามันเป็นซอมบี้ระดับสูงตัวใหม่ ที่มีพลังมากกว่าพวกที่มีปีกเสียอีก เถ้าแก่ซู จะไม่เป็นอะไรใช่ไหมถ้าผมอยากจะบอกความจริงอะไรบางอย่างกับคุณ ถ้าตงหยางไม่เพิ่มค่าจ้างให้ผมล่ะก็ ผมเองก็คงไม่กล้ามารับคุณเหมือนกัน ผมว่าคนใหญ่คนโตอย่างพวกคุณ ถ้าใส่ใจเรื่องความปลอดภัย ช่วงนี้ควรงดเว้นการประชุมไปดีกว่า หรือไม่ก็น่าจัดประชุมออนไลน์ไม่ได้เหรอ?”

คำถามของคนขับก็เป็นสิ่งที่กู้หมิงฉือต้องการถามเช่นกัน

เมื่อเขาเห็นซูเถามา ใบหน้าของเขาก็สลดลงทันที และเขาก็ก้าวไปและพูดออกมาอย่างไม่พอใจ

“เมื่อกี้ผมโทรหาคุณ ทำไมถึงไม่รับสาย” เขาไม่อยากให้ซูเถาเดินทางมาที่นี่

แต่แล้วผู้หญิงคนนี้ก็ไม่รับสายเขาอีกเหมือนเคย

ซูเถาหยิบอุปกรณ์สื่อสารออกมาดู และพบว่ามีเฉพาะสายเรียกเข้าของกู้หมิงฉือเท่านั้นที่ตั้งค่าเป็นห้ามรบกวนโดยเฉพาะ

เธอจึงหรี่ตาลงเล็กน้อย

ไม่ต้องคิดเลยว่าวิญญาณตนไหนเป็นคนทำ

“…ขอโทษ ฉันไม่ได้ยิน”

กู้หมิงฉือเห็นว่าสีหน้าของเธอไม่สู้ดีนัก เหมือนเธอจะดูอ่อนล้าและไม่ค่อยมีแรงเท่าไหร่ในการพูด ความไม่พอใจที่เขามีต่อเธอก็หายไปทันที

“พักผ่อนเยอะ ๆ” เขาตอบเสียงแข็งทื่อ

ซูเถาพยักหน้าอย่างนอบน้อม

การประชุมทั้งหมดดำเนินไปประมาณหนึ่งชั่วโมงและได้ข้อสรุปว่าขบวนจะออกเดินทางสู่ชายฝั่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ของเดือนหน้า และสินค้าชุดแรกส่วนใหญ่เป็นยาและอาหาร

นักบัญชีตงหยางตัวน้อยผู้ชาญฉลาดก็คำนวณบัญชีอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน หากไม่มีอะไรผิดพลาด จากการเดินทางในครั้งนี้น่าจะได้ผลึกนิวเคลียสมา 6,000 อัน

เมื่อซูเถาได้ยินตัวเลขนี้ หัวของเธอก็ไม่เจ็บปวดอีกต่อไป

แต่อารมณ์ที่มีความสุขและผ่อนคลายนั้นอยู่ได้ไม่นาน เพราะทันทีที่การประชุมสิ้นสุดลง อดีตผู้นำกองทัพก็เชิญเธอไปที่สำนักงานและยื่นโทรศัพท์ให้

“ผู้นำสูงสุดต้องการคุยกับคุณก่อน”

ซูเถาตกใจ และอารมณ์ดี ๆ ของเธอกลายเป็นประหม่าขึ้นมาทันที

ท่านผู้นำสูงสุดต้องการคุยกับเธอจริงเหรอ

ปีที่แล้วเธอเป็นเพียงคนชั้นต่ำในตงหยางและใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังที่จะทำให้ครอบครัวซูพอใจเพื่อให้ได้อาหารเพิ่มขึ้นเท่านั้น

เธอไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่าวันหนึ่งผู้นำสูงสุด ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดนี้จะโทรหาเธอ

ซูเถาสงบสติอารมณ์ลงแล้วพูดว่า “สวัสดีค่ะ จ๋งถ่ง*[1]”

ฝั่งตรงข้ามเป็นเสียงของชายชรา ที่มีรูปร่างท้วม “นั่นคือเถ้าแก่ซูใช่ไหม”

ซูเถารู้ว่าท่านผู้นำสูงสุดอายุหกสิบเศษแล้ว ตอนที่ยังเด็กเธอเคยเห็นเขาทางทีวี เขาเป็นชายที่ดูสุขุมเยือกเย็น

“ใช่ค่ะ ฉันเอง…ท่านไม่ต้องเรียกฉันว่าเถ้าแก่หรอกค่ะ เรียกว่าเสี่ยวซูเฉย ๆ ก็ได้”

เมื่อได้ยินเสียงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของเธอ ท่านผู้นำสูงสุดก็พูดออกมาว่า “คุณเป็นคลื่นลูกใหม่จริง ๆ ผมได้ยินสวี่ฉางบอกว่าคุณอายุเพียงสิบแปดเท่านั้น คุณเรียกผมว่าปู่ได้เลยนะ เอาล่ะเด็กดี ผมจะไม่พูดเรื่องไร้สาระกับคุณ ผมรู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับเถาหยางแล้วนะ ทางฉางจิงตกลงรับรองว่าเถาหยางมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์สำหรับการสมัครก่อตั้งเป็นฐานทัพ ยกเว้นระยะเวลาการก่อตั้งสถานที่เท่านั้น แต่ผมได้ส่งอีเมลไปยังหัวหน้าฐานต่าง ๆ แล้ว เพื่อให้รับรู้โดยทั่วกันว่าเถาหยางได้เลื่อนขั้นเป็นฐานระดับที่สาม”

หัวใจของซูเถาแทบจะหยุดเต้น

ถ้าเธอจำไม่ผิด หัวหน้าสวี่ได้สมัครให้เถาหยางเลื่อนขั้นเป็นชุมชนเท่านั้นไม่ใช่เหรอ

ทำไมมันถึงได้ก้าวกระโดดแบบนั้นล่ะ อีกทั้งยังได้รับการเลื่อนขั้นโดยตรงไปยังฐานระดับสามเช่นเดียวกับตงหยาง

ต้องเท้าความก่อนว่าอดีตผู้นำกองทัพต้องต่อสู้กว่า 20 ปี เพื่อทำให้ตงหยางเป็นฐานระดับที่สาม

ท่านผู้นำสูงสุดยิ้มและพูดว่า “แปลกใจเหรอ? คงคิดไม่ถึงล่ะสิว่าคนเก่าคนแก่อย่างพวกเราจะกล้าแหกกฎน่ะ?”

ซูเถาพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเล็กน้อย”

เธอเคยคิดว่าฉางจิงจะปฏิเสธใบสมัครของเถาหยาง

เถาหยางมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตงหยาง และสือจื่อจิ้นก็ได้บอกเธอก่อนหน้านี้ว่าอดีตผู้นำกองทัพมีปัญหากับคนใน ฉางจิง

ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวว่า “กฎถูกสร้างไว้เป็นบรรทัดฐานก็จริง แต่เถาหยางเป็นสิ่งมหัศจรรย์และไม่สามารถตีกรอบได้”

ต่อไปผู้นำสูงสุดก็ได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการสนับสนุนและความช่วยเหลือของฉางจิงต่อเถาหยาง

และซูเถาก็ได้รู้แล้วว่าเรื่องที่น่าเซอร์ไพรส์ที่หัวหน้าสวี่ฉางบอกเธอก่อนไปมันคือเรื่องอะไร

ประการแรก ทางฉางจิงได้ส่งกองทหารราบติดอาวุธไปยังเถาหยาง รวม 3,000 นาย โดยมี 800 นายเป็นผู้ที่มีพลังวิเศษ

นำทีมโดยหัวหน้ากองทหารตั่งเหวยหรานที่มาประจำการในเถาหยาง เพื่อรักษาความปลอดภัยของเถาหยาง

โดยที่ตั่งเหวยหรานจะรับคำสั่งจากซูเถาโดยตรง ก็เท่ากับเป็นการให้เถาหยาง เป็นกลุ่มอิสระที่ทรงพลัง การสนับสนุนนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง จนถึงขณะนี้ยังไม่มีฐานใดที่ได้รับเกียรติเช่นนี้

เห็นได้ว่าฉางจิงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเถาหยางเป็นอย่างมาก

ประการที่สอง คือการสนับสนุนอาวุธ ปืนและกระสุนชนิดใหม่ ๆ ที่พร้อมใช้งาน ซึ่งเพียงพอสำหรับ 5,000 คนต่อปี

ในที่สุด สิ่งที่ซูเถาสนใจมากที่สุดคือการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการสนับสนุนทางชีวภาพ

ฉางจิงจะส่งทีมงาน 200 คนไปที่เถาหยาง และจัดหาอุปกรณ์และเครื่องมือทดลองครบชุดไปด้วย

เลือดของซูเถากำลังเดือดพล่าน มือและเท้าของเธอสั่นเมื่อได้ยินเสียงจากปลายสาย

เธอรู้ว่าการหาผู้มีความสามารถและอุปกรณ์การวิจัยทางวิทยาศาสตร์นั้นยากเพียงใด เพราะว่าจวงหว่านที่เป็นผู้คัดสรรคน พยายามเสนอเงินเดือนและสวัสดิการสูง ยังไม่สามารถคัดเลือกผู้มีความสามารถที่เหมาะสมและมีความสามารถที่แท้จริงได้

ไม่ต้องพูดถึงด้านหม่าต้าเพ่าที่เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการหาอุปกรณ์ทดลองระดับไฮเอนด์ เขาบอกว่าทุกสิ่งล้วนหายากยิ่งกว่าอาหารและน้ำ

การสนับสนุนของฉางจิงได้แก้ปัญหาและข้อบกพร่องในปัจจุบันของเถาหยางเกือบทั้งหมด

ท่านผู้นำสูงสุดพูดคร่าว ๆ เสร็จแล้วก็ถามเธอด้วยรอยยิ้ม “คุณพอใจกับสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นไหม”

ซูเถากลืนน้ำลายของเธอ “…พอใจแล้วค่ะ ฉางจิงต้องการให้เถาหยางทำอะไร หรือจัดหาอะไรให้เป็นพิเศษไหมคะ”

เธอไม่ใช่เด็กสาวที่ไร้เดียงสาอีกต่อไป และไม่น่าเป็นไปได้ที่ฉางจิงจะให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

ทางนั้นอาจต้องการได้บางอย่างจากเถาหยาง แต่ใครจะรู้ แท้จริงแล้วมันเป็นเธอเองที่มองในแง่ร้าย

หลังจากฟังท่านผู้นำสูงสุดก็ถอนหายใจ จากนั้นเขาก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า

“ผมเขาใจว่าคุณอาจเห็นว่าผมเป็นคนแบบนั้น แต่จริง ๆ แล้วฉางจิงไม่มีแผนใด ๆ พูดให้ชัดคือจริง ๆ เราก็มีแผนเช่นกัน แต่แผนคือให้เถาหยางสามารถพัฒนาและเติบโตได้อย่างราบรื่น ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น และให้มนุษยชาติมีอนาคตที่สดใสแค่นั้น”

“ผมเกรงว่าคุณจะไม่รู้ว่าในปีหน้า โลกทั้งใบจะอยู่ในวิกฤตการณ์ขาดแคลนอาหารและน้ำครั้งใหญ่ และซอมบี้ก็พัฒนาอย่างรวดเร็วเช่นกัน คุณคิดว่าแค่โบนวิงส์ ฮว่าผี หรือแม้กระทั่งน้องสาวแซ่เจียงของเพื่อนข้างกายคุณเป็นซอมบี้กลายพันธุ์หรือเปล่า”

“เพราะมันปรากฏตัวในพื้นที่ชายฝั่งด้วย และมีสามกรณีในต่างประเทศ ซึ่งจำนวนยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน”

“ดังนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ส่วนใหญ่จะสูญพันธุ์ภายในสามปี เถาหยางคือปาฏิหาริย์และถือว่าเป็นเรือโนอาห์*[2]ลำสุดท้ายของวิกฤตครั้งนี้”

“เมื่อคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม ฉางจิงจะสนับสนุนการพัฒนาของเถาหยางอย่างไม่มีเงื่อนไข”

[1] จ๋งถ่ง (总统) แปลว่า ผู้นำสูงสุด

[2] เรือโนอาห์ คือ เรื่องเล่าขานจากคัมภีร์ไบเบิ้ลที่กล่าวว่า เป็นเรื่อลำใหญ่ที่บรรทุกสิ่งมีชีวิตทั้งปวงเพื่อให้รอดพ้นจากอุทกภัยครั้งใหญ่