บทที่ 308 ด้านนอกประตูศาล

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

วารุณีก็ไม่ปิดบังเขา มองเขาแล้วตอบว่า:“ปาจรีย์”

นัทธีพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ถามอีก

วารุณีกดปุ่มพูด“โอเคปาจรีย์ พอก่อนนะ ฉันไปทำธุระต่อแล้ว”

ปาจรีย์ตอบอีโมจิ OK มา

เห็นแบบนี้ วารุณีก็หัวเราะ ปิดโทรศัพท์ แล้วยื่นมือไปเก็บเสื้อผ้าที่พื้น เตรียมลงจากเตียงไปอาบน้ำ

แต่ว่าเธอเจ็บตรงนั้นมาก และยังอยู่ตรงกลางเตียงด้วย มือจึงเอื้อมไปไม่ถึงใต้เตียง

หมดหนทาง เธอได้แต่ทำปากจู๋ มองนัทธีอย่างน่าสงสาร อยากให้เขาช่วย

นัทธีอ่านความหมายในแววตาของวารุณีออก ริมฝีปากบางๆยกขึ้น“ก็ไปเลยไม่ได้หรือไง?”

“ฉันไม่ได้สวมเสื้อผ้า!”วารุณีจึงมองเขาอย่างไม่พอใจ

นัทธีเงยคางขึ้น“ผมรู้ ทั้งตัวคุณผมเห็นหมดแล้ว ทำไมต้องอายด้วย?”

“คุณ……”วารุณีโกรธกับประโยคหน้าไม่อายของเขา จึงคว้าหมอนโยนใส่เขา

นัทธีเอาผ้าขนหนูพาดไว้ที่หลังคอ แล้วคว้าหมอนที่โยนมาไว้

วารุณีก็โล่งอก ถึงแม้ว่าเธอจะโกรธจนเขวี้ยงหมอนออกไป แต่ก็เป็นห่วงว่าจะโยนไปโดนเขา

ยังดี ที่เขาตอบสนองได้ทันเวลา

นัทธีก็รู้ว่าคำพูดของตัวเอง ทำให้วารุณีเขินอาย จึงไม่หยอกเธอ หลังจากเอาหมอนวางไว้ที่เตียงแล้ว ก็เก็บเสื้อผ้าที่พื้นยื่นให้เธอ“ให้”

วารุณีทำเสียงฮึดฮัด ดึงชุดกระโปรงมาสวม ลงจากเตียงไปอาบน้ำ

ตอนที่เธออาบน้ำ นัทธีก็โทรสั่งอาหารเช้าไปที่เบอร์ภายในโรงแรม

รอวารุณีอาบน้ำเสร็จออกมา อาหารเช้าก็มาส่งหมดแล้ว

ทานข้าวเสร็จ มารุตก็มา แล้วยังเอาเสื้อผ้าของทั้งสองคนมาด้วย

หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จ ทั้งสองคนก็ออกไปจากโรงแรม

บนรถ วารุณีจัดผมเผ้าแล้วพูด:“ไปส่งฉันที่ศาลก่อนละกัน วันนี้แม่ต้องฟ้องร้องคดีกับสุภัทร ฉันอยากไปดู”

“ครับคุณผู้หญิง”มารุตพยักหน้า

คำว่าคุณผู้หญิงของเขา เปลี่ยนเป็นคำนี้มาตั้งแต่วันนั้นที่วารุณีกับนัทธีได้ทะเบียนสมรสมา เช่นเดียวกับป้าส้ม

พอวันที่สองเป็นต้นมา วารุณีก็ชินแล้ว ไม่เขินแบบนั้นเหมือนตอนแรกที่ได้ยิน

แป๊บเดียว ก็มาถึงศาล

วารุณีลงจากรถ ยืนอยู่ข้างถนนแล้วโบกมือให้นัทธี“เจอกัน!”

นัทธีตอบอือ“มีเรื่องอะไร โทรหาผมนะ”

“โอเค ฉันรู้แล้ว”วารุณีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

นัทธีเอากระจกขึ้น แล้วมารุตก็สตาร์ทรถออกไป

นัทธีลูบขมับ พูดเสียงหม่นว่า“ไปโรงพยาบาล”

“ไปเยี่ยมคุณนวิยาเหรอครับ?”มารุตมองกระจกมองหลังอย่างแปลกใจ

นัทธีเม้มปาก“ไม่ใช่”

ได้ยินคำปฏิเสธของเขา มารุตจึงเข้าใจทันที ละสายตามองไปที่ถนนตรงหน้าแล้วพูดว่า:“ประธาน เรื่องที่คุณรักษาตัว จะไม่บอกคุณผู้หญิงจริงๆเหรอครับ?”

“ไม่จำเป็นต้องบอกเธอ”นัทธีมองไปนอกหน้าต่าง พูดเสียงเย็นชาเล็กน้อย

ผู้ชายคนหนึ่ง เรื่องที่เป็นหมันแบบนี้ เขาจะให้เธอรู้ได้ไง

พอเธอรู้แล้ว จะมีปฏิกิริยาอย่างไร รังเกียจเขาไหม?

มารุตเงียบลง

เขารู้ว่าประธานกำลังกังวลอะไร และก็เข้าใจดี ยังไงนี่ก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับศักดิ์ศรีของผู้ชายคนหนึ่ง

ก็แค่……

ลังเลอยู่สองสามวินาที สุดท้ายมารุตก็สูดหายใจลึกๆ พูดว่า:“แต่ว่าประธาน ต่อไปคุณจะต้องไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลบ่อยๆ ร่องรอยการเดินทางของคุณผู้หญิงต้องรู้อยู่แล้ว ถ้าเธอเข้าใจผิดว่าคุณไปหาคุณนวิยาที่โรงพยาบาลจะทำอย่างไรครับ?”

ได้ยินคำนี้ สายตาของนัทธีก็สั่นคลอน ไม่พูดจา

มารุตเห็นเขาแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแล้ว

ยังไงความคิดของเจ้านาย ใครก็เดาไม่ออก

วารุณีไม่รู้บทสนทนาของนัทธีกับมารุต ตอนนี้กำลังยืนอยู่หน้าประตูศาล โทรหาวรยา ถามว่าตอนนี้วรยาอยู่ไหน

วรยาลดกระจกรถลง มองรถที่ติดด้านนอกกระจก ก็ตอบกลับอย่างปวดหัวว่า:“ตอนนี้แม่ยังอยู่บนรถกำลังไปศาล รถติด”

“แบบนี้นี่เอง งั้นฉันรอแม่ที่ศาลนะ”วารุณีมองประตูศาลแล้วพูด

วรยาพยักหน้า“โอเค”

โทรศัพท์เสร็จ วารุณีก็วางโทรศัพท์ลง กำลังจะหาที่นั่งรอการมาของวรยา จู่ๆด้านหลังก็มีเสียงแก่ๆพร้อมประหลาดใจดังขึ้นมา“วารุณี?”

ได้ยินเสียงนี้ วารุณีที่อารมณ์ดีก็หายไป เม้มริมฝีปากแล้วหันไป สุภัทรกำลังยืนอยู่ไม่ไกล ยิ้มมาให้เธอ

แต่ขยานีที่อยู่ข้างเขากลับไม่ยิ้ม ดวงตาทั้งสองข้างกำลังจ้องมา จ้องดูเธออย่างร้ายกาจ เหมือนว่าเธอไปทำเรื่องอะไรที่ร้ายแรงให้

แต่ว่าวารุณีไม่แคร์ มองขยานีแล้ว ก็ไม่สนอีก เอาสายตามองไปที่สุภัทร

ไม่รู้ว่าเธอรู้สึกไปมั่วเองหรือไม่ สุภัทรในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าแก่กว่าครั้งที่แล้วไปเล็กน้อย

กลัวว่าจะเป็นเพราะว่าขยานีจัดการเขาไปไม่น้อย หลังจากที่ครั้งที่แล้วเธอกับนัทธีออกไปจากงานศพพิชญาน่ะสิ

คิดไป วารุณีก็ทนไม่ไหวยิ้มออกมา

สุภัทรคิดว่าเธอยิ้มให้เขา ช่วงเอวก็ยืดออกมาเยอะขึ้นทันที

ดูเหมือนว่ายัยเด็กนี่ จะยังอยากกลับตระกูลศรีสุขคํา

คิดแบบนี้ สุภัทรก็ยื่งยิ้มให้วารุณีอย่างสดใส ใจดีมากขึ้น น้ำเสียงก็ยิ้มอ่อนโยนเอ็นดูมากขึ้น“วารุณี ลูกมาทำอะไรที่นี่ล่ะ?”

วารุณีแอบกลอกตาใส่ในใจ ตอบกลับด้วยเสียงเย็นชา:“วันนี้เป็นวันพิจารณาคดีของคุณกับแม่ฉัน ฉันในฐานะสมาชิกครอบครัว ก็ต้องมาฟังอยู่แล้ว ไม่งั้นจะทำอะไรล่ะ?”

สุภัทรกระอักกระอ่วน ทันใดนั้นก็พูดไม่ออก

ขยานีกอดแขนของเขา พูดอย่างทนไม่ไหว:“พอเถอะ พวกเราเข้าไปกันเถอะ”

“รีบทำไมล่ะ?”สุภัทรดึงมือออกมาด้วยใบหน้าไม่สู้ดีนัก

ตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่งานศพพิชญา เขากับผู้หญิงคนนี้ก็ถือว่าเบื่อขี้หน้ากันมาก

ดังนั้นไม่ว่าอยู่นอกบ้านหรือในบ้าน ก็ไม่จำเป็นต้องพูดจาคำนึงถึงหน้าของอีกฝ่ายแล้ว

วารุณีมองเห็นฉากนี้ ก็พอจะเดาได้ถึงความบึ้งตึงในความสัมพันธ์ตอนนี้ของทั้งสองคน จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะไปอย่างเย็นชา“พวกคุณมีเรื่องอะไรไหม ถ้าไม่มี กรุณาอย่ามารบกวนฉัน ฉันยังรอแม่อยู่”

“คือแบบนี้”หน้าแก่ๆของสุภัทรถอนหายใจอย่างเศร้าโศก“วันนี้เหตุผลที่พ่อกับแม่แกพิจารณาคดีแกก็รู้สินะ”

“ฉันรู้ เพื่ออำนาจในการปกครองของศรัณย์”วารุณีมองเขาอย่างเย็นชา

ขยานีที่อยู่ข้างๆได้ยินคำนี้ มือทั้งสองข้าง ก็อดไม่ได้ที่จะกำขึ้นมา

วารุณีเห็น นัยน์ตาดอกท้ออันสวยงามก็อดไม่ได้ที่จะส่องประกายหม่นๆ

ดูเหมือนว่าขยานีจะคิดเหมือนพวกเธอสองคนแม่ลูก ไม่อยากให้ศรัณย์กลับไปที่ตระกูลศรีสุขคํา

ก็ใช่ ถึงแม้สุภัทรจะล้มละลาย แต่ก็ยังมีเงินสดบางส่วน ศรัณย์กลับไป ทายาทก็ต้องเป็นศรัณย์ ขยานีจึงไม่ยอม

สุภัทรไม่รู้ความคิดที่ซ่อนไว้ระหว่างวารุณีกับขยานี กำลังทำเป็นพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ:“ใช่ พิชญาเสียไปแล้ว พ่อก็มีแค่ศรัณย์กับลูกแค่สองคน ถ้าพ่อไม่สู้เอาอำนาจในการปกครองของคนใดคนหนึ่งในพวกลูกกลับมา ต่อไปสมบัติของพ่อใครจะสืบทอดล่ะ”

พอได้ยิน วารุณีก็มองไปที่ขยานีอีก

อย่างที่คิดไว้เลย ขยานีชักสีหน้าใส่ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปลื้มปริ่ม แต่ใบหน้ากลับไม่แสดงออก พูดไปอย่างราบเรียบ“คุณสุภัทร คุณจะเอาทสมบัติให้ศรัณย์ แต่ดูเหมือนว่าคุณน้าขยานีจะไม่เห็นด้วยนะ”

ขยานีคิดไม่ถึงว่าจู่ๆวารุณีจะฟ้อง ก็ตกใจ

และดังนั้น เธอที่ชักสีหน้าอยู่นั้นยังเก็บไปไม่ทัน ก็ถูกสุภัทรเห็น

ดวงตาสุภัทรหรี่ลงอย่างเย็นชา“เธอไม่ยอมแล้วจะทำไม สมบัติเป็นของพ่อ พ่อจะให้ใครก็ได้”

“สุภัทร คุณอย่ามาทำตัวเกินไปนะ”ขยานีตะโกนไปอย่างโกรธเคือง:“ฉันไม่ยอมแน่ที่คุณจะเอาคืนไปให้ไอ้ลูกนอกคอกนั่นหมด!”

ลูกนอกคอก?

สีหน้าวารุณีหม่นลง รอบๆตัวนั้นเย็นลง“ขยานี ฉันแนะนำให้คุณพูดดีๆหน่อยนะ ถ้าศรัณย์เป็นลูกนอกคอก งั้นที่คุณคลอดมาคืออะไร ลูกของคุณล้วนแต่เป็นลูกนอกสมรสที่ผิดศีลธรรมหมด ไม่เหมาะที่จะคู่ควรกับว่าลูกนอกคอกสามคำนี้ มากกว่าเหรอ?