ตอนที่ 316 เหตุใดจึงกล้าเรียกตัวเองว่าแคว้นที่ยิ่งใหญ่

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 316 เหตุใดจึงกล้าเรียกตัวเองว่าแคว้นที่ยิ่งใหญ่

“ฝ่าบาท หมอหลวงมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ให้หมอหลวงตรวจอาการของพระองค์ก่อนตีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ

เกาเต๋อเม่ากล่าวเสียงเบา

ฮ่องเต้กุมศีรษะอย่างปวดหัว ยื่นมือไปทางเกาเต๋อเม่า ให้เกาเต๋อเม่าส่งผ้าเย็นผืนใหม่ให้เขา แต่ไม่ได้อนุญาตให้

หมอหลวงเข้ามา

“ตั้งแต่ปีที่แล้วยันปีนี้ กลองเทิงเหวินไม่เคยได้หยุดพักเลย ตั้งแต่สมัยของจักรพรรดิเกาจู่จนถึงสมัยของเสด็จพ่อ ต้องการใช้กลองเติงเหวินพิสูจน์ว่าเราเป็นทรราชหรือ

รวมกันคงยังไม่มากเท่าสมัยของเราคนเดียวเลยด้วยช่า

อย่างไรกัน!

หลู่จิ้นรีบคุกเข่าลงบนพื้น “เหล่าบัณฑิตไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าบาทได้โปรดระงับโทสะด้วยค่ะ

ย่ะค่ะ!!

“ระงับโทสะอย่างนั้นหรือ! เราจะกล้าโมโหได้อย่างไร!” ฮ่องเต้หยิบผ้าเย็นไปจากมือของเกาเต๋อเน่าจากนั้นวางทาบ ไว้บนหน้าผาก หลับตาลง หน้าอกสั่นไหวอย่างรุนแรง

“แสร้งทําเป็นสละชีพเพื่อความยุติธรรม แท้จริงแล้วต้องการให้เราขายหน้า! สร้างชื่อเสียงจอมปลอมให้ตัวเอง ให้นักบันทึกจดบันทึกว่าเราเป็นทรราชอย่างนั่นสินะ!”

ฮ่องเต้ปวดศีรษะจนทนไม่ไหว ทางไฟเข้าโจมตีจนเป็นลมหมดสติไปบนเก้าอี้

ฝ่าบาท!

ฝ่าบาท!

ท้องพระโรงโกลาหลวุ่นวาย เกาเต๋อเม่าเข้าไปประคองฮ่องเต้พลางตะโกนเสียงดังลั่น

“หมอหลวง! เร็วเข่า หมอหลวง!”

ภายในวังหลวง ฮ่องเต้โมโหจนเป็นลมหมดสติ

ต้องการเหยียบย่ําาเราเพื่อ

ภายนอกวัง บัณฑิตแห่งสํานักศึกษาทั่วจื่อเจียนคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูอู่เต๋อ พวกเขาคงตะโกนกันสุดเสียงแล้ว

ตอนนี้เสียงที่ตะโกนออกมาจึงมีแต่ความแหบพร่า

“ขุนนางมีอํานาจล้นฟ้า ชาวบ้านไร้ที่พึ่ง ขุนนางตระกูลสูงศักดิ์เข้าข้างพวกเดียวกัน ฝ่าบาทได้โปรดลงโทษคน ทําผิด ลงโทษคนที่ใช้ความรุนแรง เพื่อสร้างคุณธรรมและความยุติธรรมให้แก่แคว้นด้วยเถิดพะย่ะค่ะ”

ประโยคนี้เหมารวมทั้งหลู่หยวนเผิงและไปชิงเหยียน

“ทุกท่าน ทุกท่าน…” รัชทายาทตะโกนเสียงดัง “ศาลต้าหลี่รับทําคดีนี้แล้ว ตอนนี้กําลังตรวจสอบสภาพศพอยู่ ขอ แค่ยืนยันได้ว่าหลินหิ่นอันเสียชีวิตเพราะหลู่หยวนเผิงจริงๆ

ที่สําคัญผู้ที่ไป

เราจะไม่ปกป้องเขาอย่างแน่นอน!

ตรวจสอบสภาพศพในครั้งนี้คือหลิวซานจีนผู้มีประสบการณ์ทางด้านนี้มากที่สุดในเมืองหลวง พวกท่านวางใจได้”

หลิวซานจินขึ้นชื่อเรื่องความตรงไปตรงมา รายงานตามสภาพศพ ไม่เกรงกลัวอํานาจขุนนาง หลิวซานจีนแก้ไข คดียากหลายๆ คดีในเมืองหลวงได้ ตอนที่รื้อฟื้นคดีของอดีตผู้ตรวจการสูงสุดเจียงจงเหวิน บิดาของถุงกุ้ยเฟยเคย

ติดสินบนหลิวซานจินเป็นทองร้อยตาลิ่ง ทว่า หลิวซานจินกลับน่าทองเหล่านั้นไปส่งมอบให้ศาลต้าหลี่

เพราะเหตุนี้หลิวซานจินจึงเป็นที่กล่าวขาน

เมื่อเหล่าบัณฑิตได้ยินว่าหลิวซานจีนเป็นผู้พิสูจน์ศพ ต่างก็พยักหน้าให้กัน

มีบางคนถามฃน “แล้วฝ่าบาทและองค์รัชทายาทจะลงโทษไปชิงเหยียนอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ การตายของสหายหลิน เกี่ยวข้องกับไปชิงเหยียน นางสังหารทหารยอมจํานนตามอําเภอใจ ทําให้แคว้นอื่นเป็นเราเป็นสัตว์ร้าย ไปชิงเหยียน ทําลายคุณธรรมของแคว้นต้าจิ้น เป็นโจรของแคว้น ฝ่าบาทยังทรงแต่งตั้งนางเป็นจวิ้นจี่ ข้าไม่ยอมรับ ฝ่าบาทได้ โปรดลงโทษโจรของแคว้นผู้นี้อย่างหนักด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

“จะกล่าวเช่นนี้ไม่ได้ ข้าแค่มาทวงความยุติธรรมให้สหายหลินเท่านั้น” บัณฑิตบางคนกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย

“ข้าไม่ได้มาเพื่อขอให้ฝ่าบาทลงโทษเงินทั่วจวิ้นจี่ ไม่ว่าอย่างไรเป็นถั่วจวินก็ทําไปเพื่อปกป้องแคว้น เอาชนะศัตรู

ได้ด้วยกําลังที่น้อยกว่า หากไม่สังหารทหารยอมจํานนเหล่านั้น ผู้ที่ถูกเหลียงรุกรานคงจะกลายเป็นชาวบ้านต้าจิ้น

ของเรา”

“เจ้าลืมสิ่งที่ชาวเว่ยผู้นั้นกล่าวแล้วหรืออย่างไร ในสายตาของแคว้นอื่นๆ ชื่อเสียงของแคว้นต้าจิ้นเสื่อมเสียหมด แล้ว เป็นดังทีสหายหลินกล่าว ไปชิงเหยียนสังหารทหารนับแสนของซีเหลียง ภายภาคหน้า เหลียงก็ต้องสังหาร ชาวต้าจิ้นหนึ่งแสน สองแสน สามแสน สี่แสน….กระทั่งมากกว่านั้น แต่ไรมาวิญญูชนสร้างโลกด้วยคุณธรรม กษัตริย์ สร้างแคว้นด้วยศีลธรรม แคว้นยิ่งใหญ่ได้เพราะมีคุณธรรมและศีลธรรม แคว้นต้าจิ้นของเรายิ่งใหญ่เกรียงไกรมา หลายสิบปี เป็นตัวอย่างที่ดีให้ทุกแคว้น บัดนี้สังหารทหารยอมจํานน หากแคว้นอื่นเลียนแบบ ใต้หล้าคงการเป็น ขุมนรกดีๆ นี่เอง”

“แล้วเหตุใดตอนนั้นพวกเจ้าจึงไม่ใช้คุณธรรมและศีลธรรมของพวกเจ้าขับไล่กองทัพซีเหลียงไปเล่า”

รัชทายาทมองดูเหล่าบัณฑิตทีเริ่มถกเถียงกันเอง ไม่มีโอกาสให้เขาได้กล่าวแก้ต่างแทนไปชิงเหยียนเลย เขาได้

แต่ยืนมองดูด้านข้างนิ่งๆ

จู่ๆ ขันทีเล็กคนหนึ่งก็ออกมาจากประตูอู่เต๋อ กระซิบรายงานข้างหูรัชทายาทเรื่องที่ฮ่องเต้เป็นลมหมดสติ รัช

ทายาทตึงเครียด รีบตามยันทีเล็กเข้าไปในวังทันที

ยามเหงาของเช้าวันรุ่งขึ้น

ไปชิงเหยียนเพิ่งออกจากจวนก็ได้ยินว่านักปราชญ์ผู้เฒ่ากวนยงฉงเซียนเชิงนั่งรถม้ามาจากนอกเมือง มุ่งหน้าไป

ยังประตูอู่เต๋อ

ไปจีนซื้อที่จะเดินทางไปยังชั่วหยางกับไปชิงเหยียนได้ยินก็ตะลึง กําบังเหียนแน่น สาวน้อยหันกลับไปมองไปชิง

เหยียน “พี่หญิงใหญ่…”

นักปราชญ์ผู้เฒ่ากวนยงฉงเซียนเชิงเป็นอาจารย์ของไปชิงเหยียน เป็นนักปราชญ์ผู้เก่งกาจพอ ๆ กับนักปราชญ์ผู้

เฒ่าชุยสอเหยียนเหียนเชิง

ปรัชญาของนักปราชญ์คือความเมตตากรุณา ความชอบธรรม มารยาท สติปัญญาและความศรัทธา ผู้เฒ่ากวนยงฉงเซียนเชิงเป็นนักปราชญ์ผู้โด่งดังในตอนนั้น ไปจีนซื้อกลัวว่าเขาจะรับไม่ได้ที่พี่หญิงใหญ่สังหาร ทหารยอมจํานน หากแม้แต่อาจารย์ของพี่หญิงใหญ่ยังคิดว่าพี่หญิงใหญ่ทําผิด เช่นนั้นพี่หญิงใหญ่ก็คงไม่อาจพิสูจน์ ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้อีกแล้ว

นักปราชญ์และบัณฑิตเหล่านั้นอยู่ห่างไกลจากสงคราม พวกเขาจะรับรู้ถึงความโหดร้ายในสงครามได้อย่างไร หากไม่ฆ่าศัตรู ศัตรูก็ต้องฆ่าเรา!

ไปชิงเหยียนก้าวไปบนหลังม้า เอ่ยขึ้น “ไปดูสักหน่อย….”

เมื่อไปชิงเหยียนไปถึง รถม้าของนักปราชญ์ผู้เฒ่ากวนยงฉงเซียนเชิงหยุดอยู่ที่หน้าประตูอู่เต๋อแล้ว เมื่อเหล่า บัณฑิต นักศึกษาถั่วจื่อเจียนทราบว่านักปราชญ์ผู้เฒ่ากวนยงฉงเซียนเชิงมา พวกเขาต่างคิดว่าเขามาเพื่อสนับสนุน

พวกเขา ต่างพากันท่าความเคารพอย่างนอบน้อม

“กวนเหล่าเขียนเชิง เหตุใดท่านจึงลําบากมาถึงที่นี่ขอรับ”

ผู้เฒ่ากวนยงฉงเซียนเชิงเดินลงมาจากรถมาโดยมีบ่าวรับใช้คอยประคอง ถือโคมไฟจ้องมาที่เขาอย่างตื่นเต้น กล่าวขึ้น

กวาดสายตามองไปยังเหล่าบัณฑิตที่

“ได้ยินว่าบัณฑิตจากสํานักศึกษาทั่วจื่อเจียนคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูอู่เต๋อเพื่อขอร้องให้ฮ่องเต้ลงโทษหลานชายของ หลู่เซียงและไปชิงเหยียนซึ่งเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้า ข้าจึงตั้งใจมาดูสักหน่อย”

สีหน้าของเหล่าบัณฑิตเปลี่ยนไปในทันที ไปชิงเหยียนเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของผู้เฒ่ากวนยงฉงเซียนเชิง

อย่างนั้นหรือ

ทว่า ไปชิงเหยียนเป็นสตรีไม่ใช่หรือ!

“ข้าได้ยินเรื่องการสังหารทหารยอมจํานนของซีเหลียงที่หุบเขาเวิ่งแล้ว เมื่อครู่ข้าได้ยินบัณฑิตผู้หนึ่งกล่าวว่า วิญญูชนสร้างโลกด้วยคุณธรรม กษัตริย์สร้างแคว้นด้วยศีลธรรม แคว้นยิ่งใหญ่ได้เพราะมีคุณธรรมและศีลธรรม ข้า เห็นด้วยยิ่งนัก!”

เมื่อได้ยินผู้เฒ่ากวนยงฉงเซียนเชิงกล่าวเช่นนี้ บัณฑิตที่กล่าวประโยคนี้ออกมารับโน้มกายคํานับผู้เฒ่ากวนยงฉง

เขียนเชิง ใบหน้าส่อแววยินดีอย่างปิดไม่มิด

ทว่า ผู้เฒ่ากวนยงฉงเซียนเชิงกลับกล่าวต่อ “ทว่า ซีเหลียงรุกรานต้าจิ้น กองทัพไปที่แข็งแกร่งที่สุดของแคว้นต้า จิ้นตกหลุมพรางกลอุบายชั่วร้าย ถูกสังหารจนเกือบหมดสิ้น เทียนเหมินกวนของแคว้นต้าจิ้นถูกโจมตีจนแตก ประตู ถูกเปิดออก ชาวบ้านต่างหวาดหวั่น หากต้าจิ้นไม่กล้าโจมตีศัตรู เอาแต่ถอยหนีอย่างขี้ขลาดจะกล้าเรียกตัวเองว่า แคว้นที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร ควรสํานึกตัวเอง ว่าเหตุใดแคว้นที่แข็งแกร่งอย่างต้าจิ้นจึงอ่อนแอลงถึงจะถูก”

ผู้เฒ่ากวนยงฉงเซียนเชิงกล่าวออกมาอย่างไม่รีบร้อน น้ําเสียงหนักแน่น “จริงอยู่ที่แคว้นยิ่งใหญ่ได้เพราะมีคุณ ธรรมและศีลธรรม ทว่า ทุกท่านจงอย่าลืมว่าพระผู้เป็นเจ้าเคยกล่าวไว้ว่า…ยามยากจงเฝ้ารักษาความดีเฉพาะตน เมื่อ บรรลุผลอย่าลืมส่งผ่านความดีงามสู่แผ่นดิน ชาวบ้านแคว้นต้าจิ้นกําลังตกอยู่ในอันตรายจนแทบเอาตัวไม่รอด จะ มีใจค่านิ่งเผื่อแผ่ความดีงามสู่แผ่นดิน คํานึงถึงคุณธรรมศีลธรรมของแคว้นได้อย่างไรกัน แม้สงครามที่หุบเขาเพิ่งจะ เป็นเป็นการทําสงครามเพื่อยุติสงคราม แต่ก็เป็นสงครามที่ถูกบีบบังคับ หลีกเลี่ยงไม่ได้ มิเช่นนั้น นางที่เป็นเพียง

สตรีที่ได้รับบาดเจ็บหนักจนสูญสิ้นวิทยายุทธ สามารถหลบอยู่แต่ในเมืองหลวงก็ได้ รักษาตัวเองให้รอด ไม่จําเป็น ต้องเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายในสงครามเช่นนั่น