ตอนที่ 325 อารมณ์ที่ก่อตัว (1)

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

ตอนที่325 อารมณ์ที่ก่อตัว (1)

ตอนที่325 อารมณ์ที่ก่อตัว (1)

เว้นช่องไฟสักครึ่งจังหวะ เขากล่าวต่ออีกว่า

“ในเมื่อมีเพลิงพิภพเก้าดุษณีอยู่ในตัว แสดงว่าเจ้าก็ย่อมทราบดีว่า กว่าจะฉกชิงไฟวิเศษชนิดนี้ออกมาจากปากมังกรบรรพกาลตนนั้นได้ มันยากลำบากปานใด แต่ทั้งหมดนี้เราชายชราขอมอบแก่เจ้า ถือซะเป็นของขวัญสำหรับสะใภ้ตระกูลหลัว เพราะหากเจ้าไม่ยอมมาเป็นสะใภ้ตระกูลหลัวของข้า เราชายชราคนนี้เองคงไม่ยอมปล่อยให้เพลิงพิภพเก้าดุษณีไปตกอยู่ในมือใครคนอื่นเช่นกัน”

คำกล่าวของผู้อาวุโสอินทรีโลหิตเปล่งดังก้อง และประโยคสุดท้ายที่เอ่ยออกมา คล้ายเป็นการปลดปล่อยรัศมีจิตสังหารขุมเย็นยะเยือกแผ่ซ่าน ทำเอาผู้คนทั้งหลายใจสั่นกันถ้วนหน้า

“ท่านปู่…”

เมื่อได้เห็นความจริงใจของผู้อาวุโสอินทรีโลหิตที่เผยแสดงออกมา หลัวซีก็ยิ่งรู้สึกเป็นกังวลหนักข้อขึ้นไปใหญ่ ขณะที่กำลังจะปริปากพูด แต่ทันใดนั้นก็ถูกเซียถงขัดจังหวะเสียก่อน นางเอ่ยแทรกขึ้นว่า

“เพลิงพิภพเก้าดุษณีอะไรนั่นข้ามิได้สนใจเลย ขอเพียงช่วยชีวิตหลัวซีขจัดพิษที่ตกค้างในร่างกายของเขาได้เป็นพอ เพราะไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าชีวิตของเขาอีกแล้ว”

วาทศิลป์ของเซียถงนับว่าเป็นเลิศ ฉลาดในการเลือกคำสรรหามาใช้ตามโอกาสต่างๆ และถึงแม้จะไม่เห็นปฏิกิริยาตอบรับใดๆ เลยจากผู้อาวุโสอินทรีโลหิต แต่ประโยคคำกล่าวสุดท้ายของนางย่อมต้องทำให้จิตใจของคนเป็นปู่สั่นไหวกันบ้าง ทั้งอากัปกิริยาของนางที่เผยแสดงออกมา ใครเห็นก็รู้ว่าจริงใจแน่นอน

ผู้อาวุโสโลหิตแลเห็นความมุ่งมั่นที่อยากจะช่วยเหลือชีวิตหลานชายของเขา ผ่านสายตาคู่ของเซียถง เขาก็ลอบพยักหน้ากับตัวเองเบาๆ ด้วยความพึงพอใจ รัศมีจิตสังหารอันเย็นยะเยือกที่ฉาบเคลือบบนร่างกายของเขาอันตรธานหายไปทันที และเปิดกล่องใบน้อยตรงหน้าออกมา ก่อนจะเดินไปหยุดหน้าเตาหลอมกลั่น เทวัตถุดิบสำคัญใส่ลงไป

เซียถงสืบเท้าเดินติดตามไปอยู่เคียงข้างอีกฝ่าย หนึ่งความคิดเคลื่อนขยับ ก็บังเกิดเปลวเพลิงสีทองอร่ามเดือดปะทุขึ้นบนฝ่ามือสีขาวผ่องของนางทันที ในครั้งนี้ตัวเพลิงสีทองอร่ามดวงนี้ดูคึกคักตื่นเต้นเป็นพิเศษ ยามที่สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเศษส่วนร่างตนเองจากตัวผู้อาวุโสอินทรีโลหิต

เซียถงปลดปล่อยความคิดอื่นใดจนหมดสิ้น และควบคุมเปลวเพลิงสีทองอร่ามลงเข้าไปในเตาหลอมเบื้องหน้า

ทางด้านผู้อาวุโสอินทรีโลหิตเองก็ปลดปล่อยเปลวเพลิงสีทองอร่ามใสพิสุทธิ์ลงไปตามเช่นกัน

เปลวเพลิงทั้งสองสายเข้าพัลวันสอดประสานจนเป็นหนึ่ง ร่ายระบำอยู่ในเตาหลอมโอสถ และทันใดนั้นเอง ขนาดของเปลวเพลิงสีทองอร่ามก็ลุกโชนสูงกว่าหลายสิบนิ้ว อุณหภูมิภายในห้องหลอมโอสถเพิ่งสูงขึ้นทันที ไม่นานหลังจากนั้น คล้ายกับว่าเปลวเพลิงทั้งสองสายเริ่มที่จะปรับตัวกันได้ ส่งผลให้ขนาดและอุณหภูมิของความร้อนลดลงกลับมาเป็นปกติดังเดิม

เซียถงเฝ้ามองการหลอมรวมของเปลวเพลิงทั้งสองสาย สีหน้าเป็นกังวลอยู่บ้างไม่น้อย แม้ได้เห็นเปลวเพลิงสีทองอร่ามตรงหน้าขยายใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่าทวีจากเดิม รวมไปถึงพลานุภาพอันทรงพลังที่แกร่งกล้ายิ่งขึ้น นางเองก็รู้สึกดีใจอย่างมาก ในที่สุดตอนนี้ก็ได้ครอบครองเพลิงพิภพเก้าดุษณีที่สมบูรณ์แบบแล้วก็จริง แต่อาศัยพลานุภาพอันทรงพลังของมัน ตัวนางจะสามารถควบคุมได้ดั่งใจนึกได้ใช่หรือไม่? แล้วพึ่งพาเจ้าสิ่งนี้ จะสามารถหลอมกลั่นโอสถระดับสูงชนิดใดได้บ้าง? คิดไปพินิจมา ชักจะเริ่มคันไม้คันมือ อยากจะหลอมกลั่นโอสถสักตั้งขึ้นมาแล้ว

สีหน้าการแสดงออกของผู้อาวุโสอินทรีโลหิตดูซับซ้อนกว่าเก่ามาก เจ้าตัวทั้งรู้สึกดีใจ เสียใจ รวมไปถึงไม่เต็มใจในเวลาเดียวกัน เหลียวมองไปทางเซียถงที่ซึ่งยืนอยู่เคียงข้าง เผยแววตาที่มิอาจคาดเดาได้ออกมาชั่วขณะ เพราะในเวลานี้ เพลิงพิภพเก้าดุษณีของเขาตกไปอยู่ในมือของคนอื่นแล้ว และหากตัวเจ้ามีความจำเป็นต้องใช้มันในอนาคต ก็ต้องมาขอยืมจากคนอื่นเท่านั้น

ยิ่งได้เห็นสีหน้าเปี่ยมล้นความสุขของเซียถง รัศมีจิตสังหารที่ถูกยับยั้งอันตรธานก็ได้ผุดปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ตราบใดที่เขาสังหารสาวน้อยนางนี้ได้สำเร็จ เพลิงพิภพเก้าดุษณีที่สมบูรณ์แบบก็จะกลายมาเป็นของเขาทันที ณ อึดใจดังกล่าว เปรียบเสมือนว่า กำลังมีปีศาจด้านมืดในจิตใจของตัวเขากำลังพรายกระซิบเกลี้ยกล่อมให้ลงมือ ส่งผลให้ไอเย็นยะเยือกเล็ดลอดออกมาจากร่างกายของเขาโดยไม่รู้ตัว

“ท่านปู่ ยังไม่เริ่มลงมือหลอมกลั่นโอสถรึ?”

หลัวซีที่สัมผัสได้ถึงจิตสังหารของท่านปู่ตนเอง ก็รีบหันไปกล่าวทักทามหวังให้ฟื้นสติตื่นรู้ขึ้นมา

“โอ้? ใช่แล้ว ปู่คนนี้ต้องหลอมกลั่นโอสถขับพิษให้เจ้า เช่นนั้นเริ่มเลยดีกว่า”

คล้อยหลังได้ยินเสียงเตือนสติของหลัวซี ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตก็ถอดถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง ยามนี้เพิ่งตระหนักได้ว่า เสื้อผ้าทั่วตัวเขาเปียกชุ่มเหงื่อมากปานใด

“เซียถง เจ้าเป็นนักหลอมโอสถระดับชั้นใด?”

แลเห็นทักษะการควบคุมเพลิงพิภพเก้าดุษณีที่ดูเป็นธรรมชาติช่ำชอง ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตพินิจวิเคราะห์อยู่ภายในใจ ระดับฝีมือของสาวน้อยนางนี้ไม่ควรอยู่ต่ำ

“บรรลุราชาโอสถชั้นสูงแล้ว”

เซียถงกล่าวตอบไปตามความจริง เพราะเพียงแค่เฝ้ามองท่ามือของผู้อาวุโสอินทรีโลหิตที่สอดผสานประกอบกันหลายท่าร่ายดั่งเงาภูตพิสดาร นางก็รู้แจ้งได้ทันทีว่า ผู้อาวุโสคนนี้เป็นยอดฝีมือด้านหลอมกลั่นโอสถคนหนึ่ง กล่าวคือ พูดโกหกอะไรไปก็มิอาจหลบเลี่ยงสายตาของอีกฝ่ายได้

“เช่นนั้น เจ้ามีหน้าที่คอยควบคุมระดับความแรงของเปลวเพลิงทั้งหมดหลังจากนี้”

สิ้นเสียงผู้อาวุโสอินทรีโลหิต เขาก็มุ่งความสนใจทั้งหมดจมสู่ห้วงสมาธิ คอยจดจ่ออยู่กับการหลอมกลั่นโอสถตรงหน้า เฝ้าสังเกตอยู่สักครู่ จะเห็นได้ว่า เขาปลดระวางการควบคุมเปลวเพลิงทั้งหมดในเตาหลอม ร่ายท่ามือประกอบกันอย่างไร เปลวเพลิงเหล่านั้นก็มิได้เคลื่อนไหวตามอีกต่อไป ดังนั้นจึง ตกเป็นหน้าที่ของเซียถงในการควบคุมระดับเปลวเพลิงในระหว่างขั้นตอนหลอมกลั่นโอสถแทน

เซียตะลึงงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นไม่นานนางก็เพิ่งตระหนักได้ว่า เพลิงพิภพเก้าดุษณีทั้งหมดที่เคยเป็นส่วนของผู้อาวุโสอินทรีโลหิต ในเวลานี้พวกมันได้รับใช้นางในฐานะเจ้านายโดยสมบูรณ์แบบแล้ว นั่นหมายความว่า คนเดียวที่สามารถควบคุมเพลิงพิภพเก้าดุษณีได้ในขณะนี้ก็คือนางเท่านั้น

หนึ่งห้วงความคิดเคลื่อนขยับ เปลวเพลิงสีทองอร่ามลุกโชติช่วงโหมเป็นคลื่นยักษ์ในทันใด พอผู้อาวุโสอินทรีโลหิตได้เห็นเปลวเพลิงมหึมาตรงหน้า สีหน้าของเขาก็ดูตื่นตระหนักตกใจมิใช่น้อยกับทักษะการควบคุมเปลวเพลิงของสาวน้อยนางนี้

เซียถงยังคงยุ่งย่างอยู่กับการควบคุมเพลิงพิภพเก้าดุษณีในเตาหลอมกลั่นโอสถ สังเกตเห็นได้ถึงร่องรอยความสุขใจของนางที่ฉายผ่านบนใบหน้า ที่สามารถทำให้เพลิงพิภพเก้าดุษณีนี้กลายมาเป็นของนางได้โดยสมบูรณ์ หลัวซีแลเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกยินดีแทน แต่ในทางกลับกัน สีหน้าการแสดงออกของเขาก็เผยถึงแววความกังวลที่เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

หากท่านปู่รู้ว่า เซียถงแสร้งทำเป็นแต่งงานกับเขา เพื่อหลอกเอาเพลิงพิภพเก้าดุษณีมาจากท่านปู่ เกรงว่าหลังจากนี้มีฉากนองเลือดครั้งใหญ่เกิดขึ้นแน่นอน แล้วตัวเขาจะทำอย่างไรดี?

ในเวลานี้เอง ผู้อาวุโสอินทรีโลหิตจดจ่ออยู่กับเตาหลอมกลั่นโอสถตรงหน้า ซึ่งเซียถงก็กำลังควบคุมระดับความร้อนของเปลวเพลิงผ่านความคิด ให้สอดคล้องกับกระบวนการหลอมกลั่นของอีกฝ่าย เสมือนผืนพิภพเกิดสภาวะเงียบสงัดไปชั่วขณะ ไม่มีสุ้มเสียงใดเล็ดลอดจากในห้องหลอมกลั่นโอสถอีกต่อไป เพราะต่างคนต่างต้องเพ่งสมาธิในส่วนหน้าที่ของตนเอง ทางด้านหลัวซีเองก็ยืนนิ่งเฝ้ามองการทำงานของทั้งสองอย่างใจจดใจจ่อ ไม่กล้าคลายอ่อนเลยแม้แต่น้อย พินิจมองแววตาใสพิสุทธิ์ของเซียถงที่กำลังมีสมาธิกับสิ่งตรงหน้า

ทันใดนั้นเอง หลัวซีก็ย้อนกลับไปนึกถึงคำพูดของนางก่อนหน้า ‘ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าชีวิตของเขาอีกแล้ว’ และจู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นอารมณ์แปลกๆ ที่ถาโถมเข้าสู่หัวใจดวงนี้ ถึงแม้จะตระหนักทราบดีว่า ที่นางต้องพูดเช่นนี้ออกไปก็เพื่อ ดับรัศมีจิตสังหารและความระแวงของผู้อาวุโสอินทรีโลหิตที่มีต่อนางทิ้งไป แต่ในอีกด้านหนึ่ง…ถ้าหากประโยคนี้ที่นางกล่าวออกมา มีความจริงผสมอยู่บ้างสักหนึ่งส่วน มันคงทำให้ตัวเขามีความสุขไม่น้อยเลย…