แน่นอนว่าน่าขายหน้า แต่มาร้องไห้เสียงดังท่ามกลางผู้คนมากมายเพียงนี้ ก็เปิดเผยเกินไปหรือไม่
เฉินฮุ่ยฝูที่กำลังร้องไห้ฟูมฟาย มีใครเข้าใจความรู้สึกที่พังทลายของสาวน้อยคนนี้บ้าง!
ริมฝีปากของเจียงซื่อโค้งงอ พอขยับสายตาก็สบตาเข้ากับสายตาของอวี้จิ่นพอดี
อวี้จิ่นแอบกะพริบตาให้นางหนึ่งที
เขาเป็นห่วงเสียเปล่าจริงๆ ไม่มีความจำเป็นต้องยื่นมือช่วยเลยสักนิด อาซื่อได้จัดการแทนเขาหมดแล้ว
แต่ว่า…มีความสงสัยลางๆ เกิดขึ้นกับเขา
เริ่มจากการทำให้ดอกตูมผลิออก จากนั้นคือกิริยาประหลาดของสตรีชั้นสูง ทั้งหมดนี้ทำให้เขารู้สึกคุ้นๆ
หรือว่าอาซื่อกับชนเผ่าอูเหมียวที่อยู่แถบทิศใต้มีความเกี่ยวข้องกัน
จะเป็นไปได้หรือ!
อวี้จิ่นส่ายหัวเบาๆ เพื่อลบความคิดไร้สาระนี้ออกไป
เจียงซื่อยกน้ำชาลำไยผสมพุทราแดงขึ้นดื่ม
กลิ่นหอมจางๆ ของพุทรากับความหวานที่พอดี พอดื่มเข้าไปก็รู้สึกมีความอุ่นสบาย ก็เหมือนกับอารมณ์สบายๆ ของนางในตอนนี้
นางเคยพูดแล้ว หากเงื่อนไขเอื้ออำนวย พยายามอย่าให้ความแค้นอยู่ข้ามคืน การแก้แค้นทันทีจะสบายใจที่สุด
เจียงซื่อใช้สายตาเย็นชามองดูเฉินฮุ่ยฝูที่ร้องไห้ดังลั่น ภายในใจนั้นไม่มีความรู้สึกใดๆ
เป็นเด็กโง่จริงๆ ตอนนี้รู้แล้วใช่หรือไม่อะไรที่เรียกว่าดูไม่ได้
สตรีชั้นสูงที่นั่งด้านข้างเฉินฮุ่ยฝูอดไม่ได้จึงปลอบใจ “คุณหนูเฉิน อย่าร้องไห้อีกเลย เหนียงเหนียงทั้งสองท่านกับท่านอ๋องยังมองอยู่นะเจ้าคะ…”
พอเฉินฮุ่ยฝูได้ฟัง เสียงร้องไห้ก็ดังขึ้นกว่าเดิม
สตรีที่ปลอบใจทำตัวไม่ถูกอย่างที่สุด
สีหน้าของเสียนเฟยยิ่งอยู่ก็ยิ่งนิ่ง
งานเลี้ยงคัดเลือกพระชายาเอก มีปลาเน่าโผล่มาได้อย่างไร
“พาคุณหนูเฉินไปพักสักหน่อย” เสียนเฟยทนไม่ไหว จึงสั่งนางในด้านข้างเบาๆ
นางในเดินไปหาเฉินฮุ่ยฝูและกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เชิญเจ้าค่ะ คุณหนูเฉิน”
การที่ไม่ถูกเลือกยังไม่ขายหน้าเท่าไรนัก แต่การถูกนำตัวออกไปกลางคันในขณะที่งานเลี้ยงล่วงเลยมาแล้วครึ่งงาน มันช่างน่าอายถึงที่สุด
สายตาที่นางในมองเฉินฮุ่ยฝู ราวกับมองตัวตลก
เฉินฮุ่ยฝูลุกขึ้นทันที นางปิดหน้าและวิ่งหนีออกไป
เหล่าหญิงสาวพลางแสดงสีหน้าทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
คนแวดวงเดียวกันแต่ทำตัวเช่นนี้ ก็น่าขายหน้าจริงๆ
เสียนเฟยทำลายความอึดอัดด้วยการกล่าวขึ้นมา “การแสดงของทุกคนเมื่อสักครู่นี้ยอดเยี่ยมมากๆ มีใครอยากออกมาแสดงอีกหรือไม่”
ชื่อของเฉินฮุ่ยฝูไม่ได้อยู่ในรายชื่อของเสียนเฟยอยู่แล้ว สำหรับนาง นั่นเป็นแค่ตัวตลกจอมก่อกวนเพียงเท่านั้น พอตัวตลกเดินออกไป หูก็สงบลงทันตาเห็น
เหล่าหญิงสาวมองหน้ากันและกัน
ออกไปแสดงในเวลานี้ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อดีคือหลังจากเฉินฮุ่ยฝูก่อความวุ่นวายนี้ขึ้นมาเสร็จ ดูเหมือนว่าแค่แสดงความสามารถออกไปให้ราบรื่น แล้วทุกอย่างก็จะเรียบร้อยเอง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นข้อเสียไปด้วย
ตอนนี้ความคิดของทุกคนกำลังขึ้นๆ ลงๆ ความสามารถที่แสดงออกมา นอกเสียจากว่า มีความงดงามเหมือนกับการเต้นหูสวนของโค่วหลิงปัว หรือมีฝีมืออันน่าอัศจรรย์ที่ทำให้ดอกไม้ผลิบานได้อย่างคุณหนูเจียง หากทำไม่ได้ ก็จะกลายเป็นบทนำเพียงเท่านั้น
หากเป็นได้เพียงบทนำ แล้วจะออกไปแสดงเพื่ออะไร
จี้ฟังหวาลุกขึ้นยืน นางยิ้มและกล่าว “ท่านอาเพคะ หลานขอแสดงดีดพิณให้ท่านอากับจวงเฟยเหนียงเหนียงสักบทเพลง หวังว่าท่านอากับจวงเฟยเหนียงเหนียงจะไม่รังเกียจในความไม่ชำนาญของหลาน”
อวี้จิ่นเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของเขานี่เอง
น้องสาวจากจวนอันกั๋วกง?
พอนึกถึงจวนอันกั๋วกง อวี้จิ่นพลันรู้สึกพะอืดพะอมราวกับกินแมลงวันเข้าไป
หมั้นหมายกับอาซื่อ จากนั้นยกเลิกงานหมั้นกับอาซื่อ ช่างเป็นที่ๆ ชุบเลี้ยงคนโง่จริงๆ
ไม่ว่าอวี้จิ่นพูดให้ร้ายแค่ไหน จี้ฟังหวาก็เดินมาถึงกลางเวทีอย่างสง่าผ่าเผย และนั่งลงด้านข้างขาตั้งพิณ
เมื่อเพลงบรรเลงจบลงอย่างไพเราะ ถึงไม่ยอดเยี่ยมที่สุดและไม่มีทักษะพิเศษอะไร แต่มันกลับทำให้ความวุ่นวายภายในใจของทุกคนสงบลง
จี้ฟังหวาย่อตัวให้เสียนเฟยกับจวงเฟย จากนั้นก็เดินไปทางที่เจียงซื่ออยู่
ตรงนั้นเป็นที่นั่งของนางอยู่แล้ว แต่นางถูกท่านป้าเรียกให้ไปนั่งข้างๆ จะกลับไปนั่งก็กระไรอยู่
เสียนเฟยเห็นดังนั้นพลางขยับปากเล็กน้อย แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่สะดวกที่จะพูด
นางมีความพึงพอใจในตัวหลานสาวคนนี้ นางเป็นเด็กเชื่อฟัง ปากหวาน อีกทั้งยังรู้จักกู้สถานการณ์กลับคืนมา แต่น่าเสียดายที่หลานสาวจากครอบครัวฝั่งมารดากับตำแหน่งพระชายาเอกของเยี่ยนอ๋องไมมีวาสนาต่อกัน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสียนเฟยพลางรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งเกิดขึ้นมา แล้วถ้าเจ้าสี่ช่วงชิงตำแหน่งนั้นมาได้จริงๆ ถ้าเช่นนั้น ตำแหน่งฮองเฮาจะให้คนธรรมดาได้รับตำแหน่งพระชายาเอกในฉีอ๋องได้อย่างไร
ถึงตอนนั้น นางกับเจ้าสี่ไม่ต้องยอมคนนอกแต่ฝ่ายเดียว และมันก็ถึงเวลาแล้วที่นางควรจะปูทางให้กับครอบครัวฝั่งมารดา เช่นนั้น แล้วเหตุใดหลานสาวของนางจะเป็นฮองเฮาไม่ได้เล่า
ความคิดของเสียนเฟยพลุ่งพล่านไม่หยุด นางรู้สึกว่าแผนการนี้ช่างดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย ริมฝีปากของนางดูเหมือนจะยิ้มและไม่ยิ้ม
มีจี้ฟังหวาออกไปกู้สถานการณ์ ไม่นาน ความคึกคักก็กลับคืนมาเหมือนเดิม
หลังจากที่เหล่าหญิงสาวแสดงความสามารถกันพอสมควรแล้ว เสียนเฟยสบตากับจวงเฟยหนึ่งที
เสียนเฟยทำให้ลำคอโล่ง จากนั้นยิ้มและกล่าว “น้องจวงเฟย เจ้ารู้สึกคลื่นลูกใหม่พัดคลื่นลูกเก่าเหมือนกันหรือไม่ วันนี้ข้าได้เปิดหูเปิดตาเป็นอย่างมาก”
จวงเฟยเอ่ยตอบอย่างอ่อนโยน “ศิษย์ได้รับการอบรมสั่งสอนจากครู แต่เก่งกว่าครูอีก และความสามารถของทุกคนก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพคะ หากว่าพี่เสียนเฟยดูแล้วรู้สึกอิจฉา ไม่มีความจำเป็นเลยเพคะ”
เสียนเฟยหัวเราะเสียงดัง “ข้าอายุปูนนี้แล้ว จะไปเปรียบเทียบกับสาวงามปานบุปผาเหล่านี้ได้อย่างไรเล่า แต่ว่าเด็กเหล่านี้มีความสามารถกันทุกคน จนข้านั้นวิจารณ์ไม่ถูกเลยทีเดียว”
“จริงเพคะ” จวงเฟยพยักหน้าเบาๆ
เสียนเฟยหันไปทางสู่อ๋องกับอวี้จิ่น “เอาอย่างนี้แล้วกัน วันนี้ให้ท่านอ๋องทั้งสองคนทำหน้าที่นี้แทนข้ากับจวงเฟย เลือกสตรีชั้นสูงที่มีการแสดงยอดเยี่ยม พวกข้าจะได้มีโอกาสนำของขวัญเล็กๆ ที่เตรียมไว้มอบให้กับพวกนางด้วย ไม่รู้ว่าท่านอ๋องสองท่านคิดเห็นว่าอย่างไร”
สู่อ๋องลุกขึ้นกุมหมัด “ถ้าเหนียงเหนียงเชื่อใจ ข้าก็ขอเลือกอย่างใจกล้า แต่ถ้าข้าตาไม่ถึง ได้โปรดเหนียงเหนียงทั้งสองพระองค์อภัยให้ข้าด้วย”
อวี้จิ่นไม่มีความถ่อมตนเหมือนกับสู่อ๋อง เขากล่าวออกไปอย่างตรงไปตรงมา “ขอบพระทัยในโอกาสที่เหนียงเหนียงมอบให้พ่ะย่ะค่ะ”
เสียนเฟยกับจวงเฟยยิ้มแต่ไม่เอ่ยคำใด ส่วนเหล่าหญิงสาวเริ่มพากันหน้าแดง
ไม่ว่าจะเป็นสู่อ๋องที่มีความสง่าผ่าเผย หรือเยี่ยนอ๋องที่มีรูปหล่ออย่างหาที่เปรียบมิได้ ก็ล้วนแต่ทำให้พวกนางตั้งตารอการมอบดอกไม้ต่อไป
ไม่รู้ว่าวันนี้จะถูกเลือกกี่คน
ในไม่ช้า นางกำนัลสองคนต่างก็ถือตะกร้าดอกไม้เข้ามา ภายในตะกร้าเป็นดอกเหมยสีเขียวนับไม่ถ้วน
เหล่าหญิงสาวพยายามคงไว้ด้วยความสงบ แต่ภายในใจได้แอบนับจำนวนดอกเหมยแล้ว
หนึ่งดอก สองดอก…
แต่ละตะกร้ามีดอกเหมยสีเขียวทั้งหมดหกดอก ดอกเหมยในตะกร้าหนึ่งผูกไว้ด้วยผ้าสีชมพู ส่วนอีกตะกร้าหนึ่งผูกไว้ด้วยผ้าสีฟ้า
เหล่าหญิงสาวเริ่มตื่นเต้นและมีพลังขึ้นมาทันใด
ตะกร้าดอกไม้หนึ่งตะกร้ามีดอกเหมยสีเขียวหกดอก แสดงว่าท่านอ๋องสองท่านจะเลือกออกมาคนละหกคน ถ้าเช่นนั้น ก็มีทั้งหมดสิบสองคนในงานที่จะถูกเลือก ซึ่งถือว่ามีโอกาสไม่น้อย
เมื่อเห็นว่านางกำนัลสองคนยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าองค์ชายทั้งสองคนเรียบร้อย เสียนเฟยจึงพยักหน้าเบาๆ เป็นความหมายว่าเริ่มได้
สู่อ๋องมองอวี้จิ่น
อวี้จิ่นยิ้มและกล่าว “เชิญพี่หกก่อนขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้น หากข้าปฏิเสธก็คงจะไม่ดีนัก” สู่อ๋องหยิบดอกเหมยผูกผ้าสีฟ้าขึ้นมาหนึ่งดอกและเริ่มเดินไปหาเหล่าหญิงสาว
เมื่อเดินมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ หัวใจของเหล่าหญิงสาวก็พองโต
เมื่อมาถึงข้างๆ เจียงซื่อ ฝีเท้าของสู่อ๋องชะงักเล็กน้อย แล้วเขาก็เดินหน้าต่อไป
เขาแอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ ช่างเถิด นี่เป็นการเลือกพระชายาเอก ไม่ใช่พระชายารอง ชาติตระกูล อุปนิสัยล้วนสำคัญกว่ารูปลักษณ์ภายนอก
ห้ามใช้อารมณ์ตัดสินใจ ห้ามทำให้เสด็จแม่ผิดหวัง…
อวี้จิ่นจับจ้องแผ่นหลังของสู่อ๋อง จากนั้นยกริมฝีปากขึ้น
เจ้าหกยังถือว่ารู้จักกาลเทศะ
และในตอนนั้น สู่อ๋องที่เดินผ่านเจียงซื่อไปแล้วพลันหันกลับมา เข้าก้าวเท้า ฉับๆ กลับมาและนำดอกเหมยที่ถือเอาไว้ วางลงบนจานหยกสีขาวตรงหน้าเจียงซื่อ
ช่างชาติตระกูล อุปนิสัยล้วนแต่สำคัญกว่ารูปลักษณ์ภายนอกนี่มันปะไร ที่พูดเช่นนี้ เพราะสตรีนางอื่นสวยไม่พอ และไม่มีความสามารถในการทำให้ดอกตูมผลิบานแน่ๆ!
“…”