ตอนที่ 397 ถูกจารึกไว้
และคนมากกว่า 3,000 ชีวิตที่ฉางจิงส่งมา จะเดินทางมาถึงเถาหยางในช่วงต้นเดือนสิบเอ็ด ส่วนเรื่องการสร้างที่พักและสนามฝึกซ้อมของพวกเขาอาจจะต้องเลื่อนไปสักสองสามวัน
เพราะตอนนี้ภารกิจเร่งด่วนที่สุดคือตามหาเจียงถง
หลังจากออกจากห้องทำงานของอดีตผู้นำกองทัพ ซูเถาก็เห็นกู้หมิงฉือที่มีรูปร่างผอม สวมเสื้อกันลมสีดำเทา และสวมแว่นตาขอบเงินโดยเอามือล้วงไว้ในกระเป๋ายืนอยู่ด้านหน้า
เมื่อเห็นเธอออกมา เขาก็เชิดคางขึ้นแล้วพูดว่า “เดี๋ยวผมไปส่ง”
“มีเรื่องอะไรที่เรายังคุยกันไม่เสร็จในที่ประชุมเหรอ” ซูเถาถามกลับ
ถึงขั้นต้องมาคุยกันในระหว่างเดินทางกลับ?
แน่นอนว่าไม่มี แต่กู้หมิงฉือก็ตอบว่า “…มี”
ซูเถาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไปบอกเผยตงว่าไม่ต้องไปส่งเธอแล้ว จากนั้นเธอก็ขึ้นไปในรถของกู้หมิงฉือ
ทันทีที่สตาร์ทรถ ซูเถาก็มองตรงมาที่เขาโดยที่สีหน้าของเธอแสดงออกอย่างชัดเจนราวกับมีตัวหนังสือเขียนอยู่บนหน้าเธอว่า “มีเรื่องอะไรก็รีบพูด”
“ผมลืมถามคุณในที่ประชุม พอดีว่าในบริเวณชายฝั่งมีอาหารทะเลมากมาย ในการเดินขบวนในครั้งนี้คุณต้องการอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?” สมองของกู้หมิงฉือปั่นป่วน
“ไม่ล่ะ ตราบใดที่ฉันสามารถนำผลึกนิวเคลียสกลับมาได้ ฉันก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่นี้เหรอที่จะพูด ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม?” ซูเถาโบกมือ
กู้หมิงฉือที่ไม่รู้ว่าจะเอาเรื่องอะไรมาอ้างแล้ว ก็เลยเลือกที่จะเงียบและส่งซูเถากลับไปที่เถาหยางโดยไม่พูดอะไรตลอดทาง
เมื่อมองไปที่ด้านหลังของซูเถาที่รีบลงจากรถและจากไป เขาก็ครุ่นคิดอย่างหนักว่าเขาควรฝึกฝนทักษะการสนทนาของเขาใหม่หรือเปล่า?
……
ในขณะที่ซูเถาไม่ได้เก็บเรื่องที่กู้หมิงฉือถามมาใส่ใจ เธอกลับมาที่เถาหยางก็ตรงไปหาผู้อาวุโสเหม่ย เพื่อที่จะแจ้งเขาว่าจะมีคนอีก 3,000 ชีวิตเข้ามาอาศัยที่เถาหยาง เธอเลยอยากที่จะให้ผู้อาวุโสเหม่ยได้วางแผนการออกแบบไว้คร่าว ๆ ก่อนล่วงหน้า
เมื่อเจิ้งซิงลูกศิษย์คนโปรดของผู้อาวุโสเหม่ยได้ยินว่ามีโครงการใหม่ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้น
ผู้อาวุโสเหม่ยตบไหล่เจิ้งซิง “นายก็ทำการร่ำเรียนมาระยะหนึ่งแล้ว โปรเจกต์นี้ฉันให้นายเป็นคนออกแบบ ส่วนฉันจะเป็นผู้ช่วยเอง”
เจิ้งซิงตื่นตระหนกทันที “เอ่อ ให้อาจารย์ดีกว่าครับ”
ผู้อาวุโสเหม่ยหัวเราะเบา ๆ จากนั้นเขาก็พูดบางอย่างกับลูกศิษย์ให้เขาออกไปก่อน แล้วหันไปพูดกับซูเถา
“ไปกันเถอะ เมื่อคืนนี้เสี่ยวพ่านมาหาฉันในฝัน ในความฝันเธอเฝ้าขอโทษและบอกว่าให้ฉันไปดูลูกชายตัวดีของเธอ ให้ไปช่วยขัดขวางเขา ไม่อยากนั้นเธอคงไม่ได้ตายตาหลับ…”
ซูเถาพยายามปลอบใจเขา และพากันเดินไปที่ฐานทดลองอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับไปติดต่อเสิ่นเวิ่นเฉิงให้เขาเป็นคนนำไปที่ส่วนลึกสุดของห้องปฏิบัติการ
เมื่อประตูรักษาความปลอดภัยขนาดใหญ่เปิดออก ซูเถาก็เห็นโบนวิงส์อีกครั้ง ซึ่งคราวนี้แตกต่างจากครั้งที่แล้ว สิ่งที่เธอเห็นครั้งนี้คือกระดูกของปีกที่แตกเป็นชิ้น ๆ
ร่างกายของมันถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน โดยที่มีชิ้นส่วนปีกก็ถูกแช่อยู่ในขวดโหลต่าง ๆ ซึ่งเมื่อมองไปที่ปีกของมันก็จะพบกับร่องรอยของการถูกตัด
ร่างของมันเปลือยเปล่า และด้านหลังมีรูขนาดใหญ่ โดยที่มีท่อจำนวนมากถูกสอดเข้าไปที่ร่างกาย นอกจากนี้ยังมีกระดูกและข้อต่อจำนวนมากวางอยู่บนโต๊ะด้านข้าง ซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกนำมาจากตัวมัน
โบนวิงส์ นอนหลับตาสงบนิ่งในของเหลวสีเขียวอมฟ้า ดูเหมือนไม่เป็นอันตรายใด ๆ
ใบหน้าของมันเหมือนมนุษย์มาก และเหมือนว่าจะเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ใบหน้าของซูเถาเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเจียงถง พลางถามเสิ่นเวิ่นเฉิงที่กำลังยุ่งกับงานวิจัยของเขา “มันยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมคะ”
เสิ่นเวิ่นเฉิงมองขึ้นไปที่โบนวิงส์ พร้อมกับพยักหน้าและพูดว่า “มันยังมีชีวิตอยู่ การวิจัยในครั้งนี้สำคัญมาก ไม่สามารถปล่อยให้มันตายได้”
หลังจากพูดจบเสิ่นเวิ่นเฉิงก็ก้มหน้าลงเพื่อทำงานอีกครั้ง เขามองไปที่ ‘ตัวอย่าง’ ในมือ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวัง
ซูเถาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามอีกครั้ง “มันจะรู้สึกเจ็บไหมคะ”
เสิ่นเวิ่นเฉิงพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “น่าจะเจ็บ”
ซูเถาหยุดพูดทันทีและไม่ถามคำถามอะไรอีก
ผู้อาวุโสเหม่ยมองไปที่โบนวิงส์จากระยะไกล เขาไม่ได้พูดอะไร แล้วเขาก็เดินจากไปพร้อมกับไม้เท้าของเขา
ซูเถาจึงรีบเดินตามเขาไปทันที
ในฐานการทดลองมีทั้งความโหดร้ายและความหวัง
เมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังจะออกไป เสิ่นเวิ่นเฉิงก็วางงานของเขาลงและส่งพวกเขาออกจากฐาน
“เถ้าแก่ซู เกี่ยวกับตัวอย่างที่สอง…” เสิ่นเวิ่นเฉิงมองไปที่ซูเถาอย่างลังเลและคาดหวัง
ซูเถาเพิ่งพูดว่า “ฉันจะพยายามอย่างเร็วที่สุดนะคะ คุณทำงานวิจัยอย่างสบายใจเถอะค่ะ เร็ว ๆ นี้ทางฉางจิงจะส่งผู้มีความสามารถมากมายมาสนับสนุนเรา คุณไม่ต้องกังวลเรื่องกำลังคนแล้วนะคะ ส่วนอุปกรณ์และเครื่องมือการวิจัยต่าง ๆ ก็จะมาพร้อมกันค่ะ”
ดวงตาของเสิ่นเวิ่นเฉิงเปล่งประกาย เขาอดไม่ได้ที่จะจับมือของซูเถา “เถ้าแก่ซู เราต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน และชื่อของเถาหยางจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์อย่างแข็งแกร่งในยุควันสิ้นโลกแบบนี้”
เขาตัดสินใจเริ่มตั้งแต่วันนี้ และลดเวลานอนลงสองชั่วโมงเพื่อให้วันนั้นมาถึงโดยเร็วที่สุด!
หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด ซูเถาก็รู้สึกตื่นเต้นและกดดันเล็กน้อย
หลังจากออกจากฐานทดลอง ผู้อาวุโสเหม่ยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาทิ้งน้ำหนักตัวลงที่ไม้เท้าและมองไปที่ท้องฟ้าสีครามด้วยสีหน้าโล่งใจ
“หนูเถา ตอนนี้ฉันมีความปรารถนาสองประการ หนึ่งคือไปดูลูกชายตัวดีของเสี่ยวพ่านเพื่อให้เธอรู้สึกสบายใจ และอีกข้อคืออยากให้เจิ้งซิงได้ลงสนามด้วยตัวเอง ตอนนี้ข้อแรกเสร็จเรียบร้อยแล้ว และข้อที่ 2 ก็น่าจะใกล้แล้วเช่นเดียวกัน ฉันมีความสุขมาก”
เขาชกหน้าอกตัวเองด้วยกำปั้น
ซูเถาก็มีความสุขกับเขาเช่นกัน และอดไม่ได้ที่จะนึกถึงความปรารถนาของเธอเอง
ความปรารถนาของเธอคืออะไร?
ตอนแรกเธอแค่ต้องการหนีออกจากบ้านครอบครัวซู แค่อยากจะมีห้องเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง
แต่ตอนนี้ด้วยระบบที่เธอมี ไหนจะเพื่อนสนิทและผู้เช่าจำนวนมาก บวกกับคำพูดของท่านผู้นำสูงสุด ความปรารถนาของเธอกลับยิ่งใหญ่ขึ้นโดยไม่รู้ตัว…เธอต้องการจบวันสิ้นโลกอันเลวร้ายนี้ให้เร็วที่สุด
ผู้อาวุโสเหม่ยเดินออกไปโดยใช้ไม้เท้าพยุง เขามองดูพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน ถึงอารมณ์ของเขาจะเจือไปด้วยความอ้างว้าง แต่มันก็มีความผ่อนคลายปะปนอยู่
หากเจิ้งซิงสามารถจัดการเรื่องการวางแผนและออกแบบได้อย่างสมบูรณ์แบบในครั้งนี้ เขาก็สามารถรับช่วงเป็นอาจารย์ถ่ายทอดวิชาต่อได้ และชีวิตหลังเกษียณของผู้อาวุโสเหม่ย ก็จะได้เริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง
……
ในคืนนั้นก็ยังไม่มีข่าวของเจียงถงในตงหยาง และคนที่ซูเถาส่งไปก็ไม่พบเบาะแสใด ๆ
เธอจึงทำได้แค่ปล่อยหลิงอวี่ให้ออกไปตามหา และในขณะเดียวกันก็ปล่อยข่าวว่าเจียงอวี่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและกำลังจะตาย หากไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือเจียงถงจะไม่ปรากฏตัวเมื่อได้ยินข่าว ก็ถือว่าเธอได้ทิ้งเงื่อนงำเอาไว้แล้ว
หลิงอวี่เริ่มต้นภารกิจการค้นหาด้วยตัวที่สั่นระริก และทุกวันเมื่อมันกลับมา มันจะพูดพล่ามด้วยความหวาดกลัวอยู่พักหนึ่ง
“หลิงอวี่กลัว หลิงอวี่กลัว!”
“เธอต้องการฆ่าฉัน ฆ่าฉัน!”
จากนั้นมันก็เริ่มกินอาหารไม่ลง แม้กระทั่งสตรอว์เบอร์รีของโปรดมันก็ไม่ยอมกิน
วันนั้นดวงตาของฮว่าผีน่าหวาดกลัวสยดสยอง เมื่อใดก็ตามที่เธอพูดถึงการตามหาเจียงถง มันจะนึกถึงดวงตาของฮว่าผีที่เหมือนจ้องจะกินนก
ซูเถาทนไม่ได้จริง ๆ เธอพยายามอยู่สองวันแต่แล้วก็ต้องยอมแพ้ในที่สุด
เธอหันไปสบตากับเฮยจือหม่าที่กำลังหยอกล้ออยู่กับล่าเจียว
เฮยจือหม่าหยุดเลียขนของล่าเจียวทันที จากนั้นมันก็หันหน้าหนีและวิ่งหนีไปทันที
ในตอนเย็นซูเถาบอกสือจื่อจิ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“หลิงอวี่และเฮยจือหม่ารู้สึกถึงอันตรายอย่างมาก ความแข็งแกร่งของฮว่าผีนี้ก็ไม่อาจหยั่งรู้ได้ คุณไม่ต้องไปยั่วยุมันแล้ว ส่วนเรื่องการตามหาเจียงถงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง”
เดิมทีซูเถาต้องการจะบอกว่าคุณเป็นแค่ร่างวิญญาณจะไปทำอะไรได้ แต่หลังจากคิดดูแล้ว ร่างวิญญาณนี้สามารถล่องลอยไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระตอนกลางคืน ดังนั้นมันจึงง่ายกว่าที่จะตามหาใครสักคน
และแม้ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับเจียงถง หรือแม้กระทั่งฮว่าผี พวกเขาจะทำอะไรกับร่างวิญญาณนี้ได้? ออกแรงต่อยร่างวิญญาณก็สลายไป เปลืองแรงเปล่า ๆ
เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูเถาจึงพอใจมาก “ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งใจทำงานนะ จากนี้ไปเวลาเจ็ดโมงเช้าของทุกวัน คุณสามารถมาที่บ้านของฉันเพื่อตอกบัตร แล้วตอนค่ำค่อยออกไปตามหาเจียงถง”
สือจื่อจิ้นได้ยินดังนั้นก็รู้สึกแปลก ๆ เขาไม่รู้ตัวจนกระทั่งเขาถูกเตะออกจากประตูและมองไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิด… เขาถูกสั่งให้ออกไปทำงานเหรอ?
แถมยังเป็นกะกลางคืนอีก?
……
ราตรีอันมืดมิดในสถานที่ที่ปราศจากแสงสว่าง
ฮว่าผีมองไปที่เจียงถงด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับขมวดคิ้วและถามว่า “ไหนบอกว่าจะไปแล้วไง ทำไมถึงกลับมา?”
“ถ้าตอนนี้ฉันไปที่เถาหยางจะเกิดอะไรขึ้น?” เจียงถงตั้งคำถาม
ฮว่าผีเยาะเย้ย “เธอก็จะถูกมนุษย์โง่ ๆ นั้นล้อมน่ะสิ ฉันแนะนำให้เธออยู่ห่างจากสถานที่บ้า ๆ อย่างเถาหยางเลย ตามที่ฉันได้ยินมา ที่นั่นมีโดมป้องกันอยู่ เธอจะไม่สามารถเข้าไปได้ตามอำเภอใจ และหากเธอเข้าไปด้านในเธอก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาข้างนอก อย่าคิดที่จะหนีเชียว”
“ฉันต้องไป พี่ชายของฉันกำลังจะตาย” เจียงถงพูดอย่างดื้อรั้น
ฮว่าผีตัวแข็งไปครู่หนึ่ง และใบหน้าก็เริ่มแสดงความไม่พอใจ ก่อนจะตำหนิเจียงถง
“พวกเผ่าพันธุ์ผสม!”