ตอนที่ 367 เตรียมชำระแค้น
เฟ่ยหยางเริ่มหัวเสีย
จะไม่ไว้หน้าฉันสักหน่อยหรือ?
เฉินจื้ออวี่ได้ตำแหน่งลูกคนรองตลอดกาลก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ถึงอย่างไรก็เผชิญหน้ากับเซี่ยนอวี๋
ยิ่งไปกว่านั้น เฉินจื้ออวี่ก็เป็นเพียงนักร้องแถวหน้า ไม่เหมือนกับตน ตนเป็นถึงราชาเพลงเชียวนะ แถมยังเป็นราชาเพลงชื่อดังอีกด้วย!
จะมาดูหมิ่นราชาเพลงแบบนี้ไม่ได้!
….ขอโทษที อินไปหน่อย
แต่อย่างที่เห็น เฟ่ยหยางไม่พอใจแล้ว
ผู้ช่วยซึ่งอยู่ด้านข้างย่อมรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นบนปู้ลั่ว
เขาไม่ได้บอกเฟ่ยหยางเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธ ตอนนี้เห็นทีจะปิดบังไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงเอ่ยปลอบ
“พี่เฟ่ยไม่ต้องไปสนใจที่ชาวเน็ตพวกนั้นพูดหรอกครับ วัยรุ่นสมัยนี้ชอบเล่นมุกแบบนี้กัน พวกเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรหรอก”
“เหอะ”
เฟ่ยหยางกล่าว “คอนเสิร์ตครั้งก่อนถูกแอนตีแฟนด่ายกใหญ่ผมยังไม่เก็บมาใส่ใจ นับประสาอะไรกับชาวเน็ตพวกนี้ที่เข้ามาแซว”
“แอนตีแฟน?”
ผู้ช่วยหลุดหัวเราะ “เรื่องแอนตีแฟนครั้งก่อน หลังจากเกิดเรื่องผมก็ได้รับรายงานจากคน แก้สถานการณ์อยู่ตั้งหลายวัน”
“ชิ”
เฟ่ยหยางกลอกตา แค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ “นั่นก็เพราะว่าตอนหลังเจ้านั่นมาด่าคนในครอบครัวผม ผมแค่อยากชนะเซี่ยนอวี๋สักครั้ง ให้เขาได้ลิ้มลองรสชาติของการเป็นที่สองบ้าง”
“เอาน่ะครับ”
แน่นอนว่าผู้ช่วยรู้ว่าเฟ่ยหยางนับว่าเป็นคนอารมณ์ดีในหมู่ราชาเพลง ดังนั้นเขาจึงแค่ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงเท่านั้น “อันที่จริงถ้าอยากเอาชนะเซี่ยนอวี๋ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะนี่ก็ใกล้สิ้นปีแล้ว”
ผู้ช่วยกล่าวราวกับกำลังชี้หนทาง
แววตาของเฟ่ยหยางเป็นประกาย “นั่นสิ ใกล้ปลายปีแล้ว”
หากใช้คำพูดของคนในวงการ สิ้นปีก็คือมหาสงครามเทพเซียนของวงการดนตรีซึ่งเกิดขึ้นปีละครั้ง!
มหาสงครามเทพเซียนนั้นคึกคักมาก
ทุกครั้งที่ช่วงเวลานี้มาถึง ราชาราชินีเพลงและบรรดาพ่อเพลงมากมายจะลงสนามประลอง
ปีที่แล้วเซี่ยนอวี๋ใช้เพลงตะวันฉายขึ้นไปนั่งบัลลังก์แชมป์ของฤดูกาล คนที่ไม่ยอมจำนนนั้นมีอีกมาก ไม่ได้มีเฟ่ยหยางเพียงคนเดียวที่กลั้นใจนึกอยากทวงชัยชนะคืนมา
เพราะฉะนั้น
ปลายปีนี้ เฟ่ยหยางในฐานะราชาเพลงชื่อดัง จะยังคงเข้าร่วมมหาสงครามเทพเซียนครั้งนี้ด้วย!
และเซี่ยนอวี๋เพิ่งกลับมาในเดือนกันยายน แนวโน้มนี้เห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมจะเข้าร่วมมหาสงครามเทพเซียนในครั้งนี้ด้วย
เมื่อถึงตอนนั้น เฟ่ยหยางกับเซี่ยนอวี๋ ก็จะพบกันอีกครั้ง
เฟ่ยหยางซึ่งอดทนมาหนึ่งปี ปีนี้อยากจะถอนตัวออกจากการเป็นลูกคนรองตลอดกาลสักที
“จะว่าไปแล้ว”
ผู้ช่วยเอ่ยเตือนสติ “เซี่ยนอวี๋กล้าปล่อยเพลงสิบปีในเดือนกันยา ไม่ปล่อยช่วงปลายปี หมายความว่าเซี่ยนอวี๋กำลังบอกว่าช่วงสิ้นปีอาจปล่อยเพลงที่ดีกว่านี้!”
“ก็จริง”
แววตาของเฟ่ยหยางจริงจังขึ้นมา
บรรดาชาวเน็ตเรียกเขาว่าลูกคนรองตลอดกาลคนใหม่ ในสถานการณ์เช่นนี้ จะให้เฟ่ยหยางไม่อนาทรร้อนใจได้อย่างไร
นอกจากนั้น เพลงสิบปีโด่งดังถึงขนาดนี้ ต่อให้ไม่ใช่เพลงของเซี่ยนอวี๋ เฟ่ยหยางก็จะฟังอยู่ดี
และระยะนี้ยังมีเพลงวันนี้ปีหน้าโผล่มาอีก เซี่ยนอวี๋เพียงคนเดียวควบถึงสองอันดับแรก ก็เป็นกระแสที่ถูกจับตามองในโลกดนตรีแล้ว
แม้แต่เฟ่ยหยางที่ต้องการแก้แค้นเซี่ยนอวี๋ ก็ยังต้องยอมรับว่าเพลงสิบปีนั้นยอดเยี่ยมมาก
คู่แข่งคนนี้ ไม่ยอมอ่อนข้อให้เฟ่ยหยางอย่างแน่นอน
“นอกเสียจากว่าเซี่ยนอวี๋ไม่เข้าร่วมมหาสงครามเทพเซียนในช่วงปลายปี ถ้าเขาเข้าร่วม เพลงที่เขาหยิบออกมาจะต้องคุณภาพสูงมากแน่ๆ!”
ผู้ช่วยมีสีหน้าจริงจัง
เฟ่ยหยางกัดฟัน “พอเจอเข้าไปเมื่อครั้งก่อน ปีนี้ผมเลยเตรียมตัวอย่างเต็มที่ เริ่มเตรียมเพลงสำหรับปลายปีล่วงหน้าถึงหกเดือน เพื่อสู้กับเขาในสนามประลองสุดโหดครั้งนี้เลยละ!”
ราชาเพลงเฟ่ยเปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยาน
เริ่มเตรียมตัวสำหรับเพลงที่จะปล่อยในช่วงสิ้นปีล่วงหน้าครึ่งปี ความมุ่งมั่นที่จะชำระแค้นแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้
ทุกคนบอกเองไม่ใช่หรือว่าเซี่ยนอวี๋เขียนเนื้อเพลงได้ดี?
บังเอิญเหลือเกินที่เพลงใหม่ซึ่งราชาเพลงเฟ่ยหยางตระเตรียมไว้ในช่วงส่งท้ายปีนั้น เนื้อเพลงและทำนองเข้ากันได้เป็นอย่างดี แถมเนื้อเพลงยังมีความหมายลึกซึ้ง ถ้าแข่งกันเรื่องทำนองก็ไม่กลัว แข่งกันเรื่องเนื้อเพลงก็ยิ่งไม่กลัว!
……
หลินเยวียนไม่รู้ว่าราชาเพลงเฟ่ยกำลังเตรียมล้างแค้น และไม่รู้เลยว่าราชาเพลงเฟ่ยปรารถนาให้เขาได้ลิ้มลองรสชาติของการเป็นอันดับสองมากขนาดไหน
วันที่ 16 กันยายน
หลินเยวียนมายังกองถ่ายเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญู
เขามาที่กองถ่ายด้วยเหตุผลสองประการ เหตุผลประการแรกก็คือ การถ่ายทำเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูเข้าสู่ช่วงท้าย ภาพยนตร์จะปิดกล้องได้ในช่วงปลายเดือน หลินเยวียนต้องมาดูสักหน่อย
เหตุผลประการที่สองคือ ทางอี้เฉิงกงประสบปัญหาระหว่างการถ่ายทำ มีฉากหนึ่งที่ไม่ว่าจะถ่ายทำอย่างไรเขาก็ยังรู้สึกไม่พอใจ จึงติดต่อหลินเยวียนไป เพื่อขอความช่วยเหลือ
หลินเยวียนจึงมาที่นี่
เมื่อเห็นหลินเยวียน อี้เฉิงกงก็แววตาเป็นประกาย รีบวิ่งเข้ามา “ตัวแทนหลิน คุณมาแล้ว!”
หลินเยวียนตัดเข้าประเด็น “ถ่ายฉากไหนไม่ได้เหรอครับ”
อี้เฉิงกงหยิบบทภาพยนตร์ขึ้นมา ชี้ไปยังส่วนหนึ่งในนั้น “วันนี้ศาสตราจารย์เตรียมตัวไปมหาวิทยาลัย แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด วันนี้ปากงถึงมีท่าทีแปลกไป คล้ายกับว่าไม่อยากให้ศาสตราจารย์ไปมหาวิทยาลัย ปกติแล้วปากงไม่ค่อยติดเขาเช่นนี้ ดังนั้นศาสตราจารย์จึงแปลกใจเล็กน้อย เขาเขานั่งอยู่ที่สี่แยกเพื่อรอรถไฟ ในตอนนั้นปากงเดินมาอยู่ข้างขาของศาสตราจารย์พร้อมกับลูกบอลที่คาบอยู่ในปาก…”
หลินเยวียนเข้าใจแล้ว
ฉากนี้จำเป็นต้องมีน้องหมาเข้าฉาก
กล่าวให้ชัดเจนก็คือ จำเป็นต้องให้หนานจี๋เข้าฉาก
หนานจี๋เป็นสุนัขโตเต็มวัยซึ่งปรากฏในฉาก และบทของหนานจี๋ก็มีไม่น้อยเลย
และฉากนี้ใช้จิตวิญญาณของสัตว์เพื่อแสดงให้เห็นว่าปากงได้คาดการณ์ถึงความโชคร้ายที่เจ้าของอาจต้องเผชิญไว้แล้ว
“จนถึงคาบลูกบอลไปอยู่ข้างขาของศาสตราจารย์ ตรงนี้ถ่ายไม่ยาก แต่หลังจากที่รถไฟออกไปแล้ว ปากงจะวิ่งตามรถไฟไปอีกระยะหนึ่ง สุดท้ายก็กลับไปยังจุดที่มันรอเจ้าของกลับมาทุกวัน ตรงนี้ต้องให้หนานจี๋แสดงความรู้สึกสักหน่อย…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ อี้เฉิงกงก็เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “ผมขอมากเกินไปหรือเปล่า?”
ในสถานการณ์ปกติ อี้เฉิงกงคงไม่ได้ตั้งมาตรฐานสูงถึงขนาดนี้ อย่างน้อยกับสุนัขอีกสองตัวที่เหลือ อี้เฉิงกงไม่มีทางบังคับพวกมัน
แต่หนานจี๋นั้นต่างออกไป สุนัขตัวนี้แสนรู้จริงๆ
และเป็นเพราะความแสนรู้ของสุนัขตัวนี้ อี้เฉิงกงจึงอดไม่ได้ที่จะยกระดับมาตรฐานของหนานจี๋ขึ้นอีก เพื่อให้ฉากนี้ได้ใจผู้ชมมากขึ้น
“ผมจะลองดู”
หลินเยวียนเดินเข้าไปข้างหน้าหนานจี๋ นั่งยองลง ยื่นมือไปลูบท้องของมัน “นายเข้าใจความรู้สึกของคนที่สนิทกำลังจะจากนายไปไหม?”
หนานจี๋แลบลิ้นออกมา เลียด้านหลังมือของหลินเยวียน
“ฉันเข้าใจแล้ว”
หลินเยวียนปล่อยให้มันเลีย ในใจเอ่ยเรียกระบบ ให้ระบบจัดหาน้ำยานักแสดงให้กับหนานจี๋
ตั้งแต่หนานจี๋ถ่ายทำมา ไม่เคยใช้น้ำยานักแสดงเลยสักครั้ง เพราะตัวมันเองสามารถแสดงได้ดีมากจริงๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องเผชิญกับฉากที่ค่อนข้างยาก หลินเยวียนเองก็ไม่ได้ตระหนี่เงินในส่วนนี้
หนานจี๋ยังคงเลียมือของเขา
หลินเยวียนพูดอย่างอดไม่ได้ “ถ่ายทำเสร็จก็กลับบ้านได้แล้ว เหยาเหยาก็คิดถึงนายเหมือนกัน เมื่อวานซืนยังกำชับให้อาบน้ำให้นายด้วย”
หนานจี๋กระดิกหาง
หลินเยวียนหยัดกายลุกขึ้น “ถ่ายทำได้แล้วครับ”
อี้เฉิงกงคุ้นเคยกับวิธีพูดคุยกับสุนัขเหมือนกับเป็นคนที่หลินเยวียนใช้ เขาพยักหน้า “งั้นเราเตรียมตัวเลย”
กองถ่ายเริ่มงานต่อในทันที
หลังจากนั้นทุกคนก็ได้เห็นพลังของพ่อมดหลินเยวียนเป็นประจักษ์แก่สายตาอีกครั้ง
หนานจี๋ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยถ่ายทำฉากนี้ได้ดีมาก่อน ก็ให้ความร่วมมือขึ้นมาอย่างน่าประหลาด และถ่ายทำฉากนี้จนสำเร็จ เมื่อหนานจี๋มองไปยังขบวนรถไฟซึ่งแล่นไกลออกไปอย่างเหม่อลอย บางคนถึงขั้นรู้สึกขอบตาร้อนผ่าว
“ไม่ต้องร้องไห้!”
อี้เฉิงกงตวาดลั่น “ให้พวกคุณกินไข่ต้มไปตั้งกี่ฟองแล้ว!”
มีหลายคนซึ่งเดิมทีกำลังจะร้องไห้ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ก็หลุดหัวเราะออกมา
อันที่จริงเป็นเพราะภาพยนตร์เรื่องนี้เรียกน้ำตามากเกินไป เมื่อถ่ายทำไปเรื่อยๆ ทุกคนจึงมักจะร้องไห้น้ำตานองหน้ากันเพราะซาบซึ้งกับเนื้อเรื่อง
บางครั้ง ทุกคนร้องไห้กันวันละหลายรอบ
ร้องไห้หลายครั้ง ต่างคนต่างดวงตาบวมเป่ง กองถ่ายทำได้เพียงแจกไข่ต้มอุ่นๆ ให้ทีมงานประคบลูกตา
ปรากฏว่าเมื่อดวงตาของพวกเขากลับมาดีขึ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ไข่ต้มประคบตาอีกต่อไป จึงปอกกินมันเสียเลย
มีคนพูดอย่างสะท้อนใจ “หนังเรื่องนี้เข้าฉาย จะต้องมีโลหิตรินไหลเป็นสายน้ำกันบ้างแหละ”
คนด้านข้างเอ็ดว่า “แกใช้สำนวนเป็นหรือเปล่าเนี่ย เขาเรียกว่าน้ำตารินไหลเป็นสายน้ำต่างหาก!”
อีกคนหนึ่งส่ายหน้า “เฮ้อ เถียงกันอย่างกับเด็ก”
ส่วนหลินเยวียนเมื่อเห็นฉากนี้ถ่ายทำสำเร็จ ในใจของเขาก็คล้ายกับจะถูกความโศกเศร้าระบาดมาด้วย เศร้าจนรู้สึกปวดฟันขึ้นมาทีเดียว
…………………………………………….