บทที่ 325 ความเข้าใจของเหยาเฉาที่มีต่อภรรยา

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 325 ความเข้าใจของเหยาเฉาที่มีต่อภรรยา

บทที่ 325 ความเข้าใจของเหยาเฉาที่มีต่อภรรยา

เป็นเพราะเรื่องร้านอาหารที่กำลังจะกลับมาเปิดกิจการใหม่ ช่วงนี้จึงเป็นเวลาที่หญิงสาวค่อนข้างยุ่งมากเป็นพิเศษ

ถึงแม้เหยาซูจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงการตกแต่งภายในภัตตาคารมากนัก เพียงจัดตกแต่งห้องอาหารส่วนตัว กับเปลี่ยนมุมบางมุมของห้องโถงที่ดูไม่เข้าที่เข้าทางเท่าใดนัก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เหยาซูยุ่งจนไม่สามารถปลีกตัวไปทำอย่างอื่นได้เลย

ในที่สุดวันเปิดร้านก็มาถึง แม้เหยาซูจะได้หยุดพักบ้าง แต่กว่านางจะได้กลับจวนอีกทีก็เป็นเวลามืดค่ำ

เหยาเฉาจัดการเรื่องราวภายในบ้านเสร็จสิ้น แต่ชายหนุ่มยังไม่ได้ให้เหยาซูและหลินเหราเข้ามาดู มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เอ่ยขอเวลาจากน้องสาวของตนในตอนกลางวัน ครั้นโอกาสมาถึงจึงรีบเอ่ย “อาซู พรุ่งนี้เจ้าพอจะมีเวลาหรือไม่”

เหยาซูที่เดินอยู่ชะงักฝีเท้าลง มองไปยังพี่รองที่ชอบใส่ชุดสีขาวกำลังยืนอยู่ใต้ต้นมู่ฝูหรง[1] ชายหนุ่มมีผิวที่สะอาดและนิสัยเฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยม

หญิงสาวหัวเราะและพยักหน้า “มีสิ ถ้าเป็นพี่รองข้ามีเวลาให้เสมอ”

เหยาเฉารุดขึ้นหน้า ใช้พัดที่ถืออยู่ในมือเคาะเบา ๆ ไปที่หัวของน้องสาวพร้อมกล่าวว่า “เจ้ากล้าที่จะต่อปากต่อคำกับพี่รองเจ้าแล้วหรือ?”

ดวงตาดอกท้อที่เหมือนกันทุกประการของสองพี่น้อง จ้องมองกันแล้วส่งเสียงหัวเราะออกมา ภายในดวงตาที่เป็นประกายของเหยาซูก็ฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างชัดเจน

เหยาเฉาทำท่าจะเคาะศีรษะน้องสาวของเขาอีกครั้ง คราวนี้เหยาซูรีบคว้าพัดโดยพลัน “ไหนขอดูหน่อยว่าด้านบนของพัดอันนี้มีสตรีนางใดเชียนชื่อเอาไว้หรือไม่ อีกไม่กี่วันพี่สะใภ้รองก็จะมาถึงเมืองหลวงแล้ว ถ้านางถามข้าจะได้ให้คำตอบนางได้”

ชายหนุ่มรูปงามท่าทางดูอบอุ่นคนนั้นได้หายไปครู่หนึ่ง “เจ้าเด็กคนนี้ ไปเรียนรู้จากผู้ใดมา สิ่งดี ๆ มีไม่เรียนรู้ เรียนรู้มาแต่สิ่งไม่ดี ถึงได้เละเทะเยี่ยงนี้อย่างไรเล่า เจ้าอย่าไปพูดกับพี่สะใภ้รองแบบนี้เด็ดขาดเชียวนะ”

เหยาซูยิ้มอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม “ข้ารู้ดีว่าเมื่อพูดถึงพี่สะใภ้รองจะสามารถหยุดพี่ได้”

เหยาเฉาส่ายหน้าอย่างจนปัญญาแล้วหัวเราะ “เจ้าจะหยุดข้าไปเพื่ออะไร คนที่เจ้าควรหยุด ข้าคิดว่าควรเป็นอาเหรามากกว่านะ”

สองพี่น้องหยอกล้อกันอยู่พักใหญ่ เหยาซูจึงเอ่ยถึงเรื่องของนาง “พี่รอง ที่ท่านถามข้าว่าวันพรุ่งมีเวลาหรือไม่ มีเรื่องใดหรือ”

เหยาเฉาเดินเคียงข้างน้องสาวเข้าไปในจวน “ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก ตอนนี้ข้าเก็บกวาดบ้านที่พวกเราไปดูกันเมื่อครั้งก่อนเสร็จแล้ว อยากจะให้เจ้ากับหลินเหราเข้าไปดูสักหน่อย จะได้รู้จักกับคนรับใช้ที่ซื้อตัวมาใหม่”

เหยาซูพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดีเลย ช่วงนี้ข้ามีเวลาบ้างแล้ว ข้าจะลองถามอาเหราให้…”

เหยาเฉาหัวเราะ “เด็กโง่ ข้ากับอาเหราอยู่ด้วยกันทั้งวัน ยังไม่รู้เลยว่าเขามีเวลาหรือไม่ แต่ว่าพรุ่งนี้พวกข้าสองคนไม่ต้องเข้าเวร เรื่องนี้เจ้าวางใจเถอะ”

เหยาซูมองพี่ชาย และบ่นอุบ “อะไรคือการที่เรียกว่าพวกท่านอยู่ด้วยกันทั้งวัน ความรู้สึกที่ท่านพูดมานั้นช่างคล้ายกันมาก…”

เหยาเฉาที่หูตาไว ก็ได้ยินสิ่งที่เหยาซูพึมพำได้อย่างชัดเจน จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วยเสียงสูง “ว่าอย่างไรนะ? ไหนพูดอีกทีสิ หึงหวงอะไรไม่เข้าท่า”

เหยาซูยิ้มและหัวเราะ ขมวดคิ้วโดยไม่เอ่ยเอื้อนสิ่งใด

ผู้คนทั่วไปมักจะบอกว่าเวลาเหยาซูอยู่ข้างหลินเหรา นางก็ดูเพียบพร้อมทั้งด้านความงาม ความเฉลียวฉลาด และความสามารถ แต่หญิงสาวกลับไม่ได้มองตัวเองเป็นดังที่ทุกคนกล่าว

ในทางกลับกันหลินเหราและเหยาเฉา หนึ่งคนที่สวมใส่อาภรณ์สีดำ หนึ่งคนสวมใส่สีขาว ความสูงของทั้งคู่ไม่แตกต่างกันนัก ประกายนี้ทำให้ผู้คนที่พบไม่อาจละสายตาไปจากชายหนุ่มรูปงามทั้งสองได้

ถึงแม้ว่าหนึ่งคนจะเป็นสามี หนึ่งคนเป็นพี่ชาย

บางครั้งเหยาซู ก็อดคิดไม่ได้เกี่ยวกับความเพ้อฝันของหญิงสาวในยุคนี้ที่ต้องการจะแต่งงานกับชายหนุ่มที่ตนชอบ

วันนี้ก็นับได้ว่าเป็นวันสบาย ๆ อีกวันหนึ่ง นางไม่ได้ตั้งใจจะสื่อความหมายแบบนั้นต่อหน้าเหยาเฉา

เหยาเฉาที่เห็นน้องสาวได้แต่ยิ้มไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ก็พูดอย่างจนปัญญา “ถึงแม้หญิงสาวจะมีความคิดที่ละเอียดอ่อน แต่นี่เป็นความอิจฉาที่ไม่มีที่มาที่ไป อย่างไรเสียก็ต้องลดมันลงบ้าง”

เหยาซูรู้สึกขบขันภายในใจ เพียงแค่เม้มปากแล้วส่ายหัว “ข้าไม่ได้อิจฉา พี่รองท่านคิดผิดแล้ว”

เหยาเฉา “เช่นนั้นแล้วหมายความว่าอย่างไร”

เหยาซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หากแต่นางก็เลือกแสดงออกมาในท่าทีที่นุ่มนวล “ก็แค่รู้สึกว่า อาเหราที่ดูเคร่งขรึมเย็นชา กับพี่รองที่โดยปกติจะอ่อนโยนและอบอุ่น จะเข้ากันได้ดีเป็นพิเศษอย่างไม่ขัดตายามอยู่ด้วยกัน”

ก่อนที่นางจะกล่าวออกมา หญิงสาวได้เปลี่ยนคำว่า ‘งดงามสบายตา’ สี่คำนี้ เปลี่ยนไปเป็น ‘อย่างไม่ขัดตา’

คิ้วของเหยาเฉาขมวดเข้าหากันด้วยความสับสน ไม่เข้าใจในสิ่งที่น้องสาวพูดถึง

เหยาซูหัวเราะ “เอาเถอะ เอาเถอะ ข้าไม่พูดแล้ว พี่รองจะไปกับอาจื้อ อาซือ และข้าหรือไม่? สองพี่น้องคุยไว้ว่าวันนี้จะแข่งกันเขียนตัวอักษร”

เหยาเฉาที่เห็นน้องสาวไม่ได้กล่าวอะไรต่อ จึงปัดหัวข้อสนทนานั้นตกไป

ชายหนุ่มยื่นมือไปหยิบพัดของตนที่อยู่ในมือของเหยาซู ส่ายหัวแล้วพูดว่า “พูดถึงเรื่องนี้ข้าก็รู้สึกปวดหัวกับตัวหนังสือของเอ้อหลางนัก”

เหยาซูหัวเราะ “มันไม่ได้แย่แบบที่ท่านพูด เอ้อหลางตั้งใจเขียนมาก เขียนได้เป็นระเบียบและสวยงามนะเจ้าคะ”

สีหน้าของเหยาเฉานิ่งงัน เขารู้สึกว่าคำพูดของเหยาซูไม่ได้ดูน่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย “เป็นระเบียบและสวยงามหรือ? หากจดหมายฉบับนั้นหากมีเพียงสองสามบรรทัด ข้าจะไม่มีข้อปรามาสเลย”

เหยาซูกลับมาคิดทบทวนเกี่ยวกับจดหมายจากบ้านตระกูลที่เอ้อหลางเขียน พลางมองท่าทางที่ปวดหัวของเหยาเฉา แล้วก็เอ่ยปลอบใจ “เอ้อหลางรักอิสระมาแต่ไหน ใช่ว่าพี่รองไม่เคยรู้ ยิ่งบ้านเรามีพี่สะใภ้รองคอยดูแล เขาย่อมอ่านเขียนหนังสือได้ เพียงแค่ลายมือจะไม่ดีหน่อย เรื่องนี้ท่านอย่าพึ่งรีบร้อนเลย”

เหยาเฉาถอนหายใจ “ข้าเองก็รู้ มันไม่ง่ายเลยที่อาเวยจะดูแลบ้านและดูแลลูก ๆ ข้าเองก็ไม่กล้าที่จะคาดหวังกับนางมากขนาดนั้น ดูเหมือนว่าในฐานะพ่อ ข้าไม่มีวินัย แต่อยากให้ลูกเป็นเครื่องมือ”

เหยาซูหัวเราะ รีบพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นแหละ”

เหยาเฉาชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจอารมณ์และความคิดของน้องสาว “เหตุใดเจ้าถึงดูมีความสุข”

เหยาซูไม่สามารถคุยกับชายหนุ่มได้ หญิงสาวจำนวนมากในยุคปัจจุบันละทิ้งอาชีพการงาน และพยายามดูแลครอบครัวอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ดี

ทุกครั้งที่พวกเขาถูกกล่าวหาว่าไม่ให้การศึกษาแก่ลูก ๆ และทำกับข้าวไม่อร่อย ผู้หญิงเหล่านี้จะรู้สึกโกรธและเศร้าใจเช่นกันหรือไม่?

หญิงสาวละทิ้งความคิดเหล่านี้ ได้แต่เพียงยิ้มและพูดกับเหยาเฉาว่า “ข้าคิดว่าพี่รองมีน้ำใจต่อพี่สะใภ้รอง และยินดีกับนาง”

ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

เมื่อทั้งสองมาถึงห้องที่เด็ก ๆ สองคนกำลังฝึกคัดลายมือ ทั้งคู่ก็พบหลินเหราที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะ ถือพู่กันขนหมาป่าไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วกดแขนเสื้อด้วยมืออีกข้างหนึ่ง เขียนอะไรบางอย่างบนกระดาษ

เด็กทั้งสองใจจดใจจ่อกับกระดาษ จนไม่ทันสังเกตว่ามีใครเดินเข้ามา

รอหลินเหราเขียนเสร็จ ค่อย ๆ วางพู่กันไว้บนแท่นวางพู่กัน อาจื้อกับอาซือถึงจะเริ่มหายใจอีกครั้ง

เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ มองตัวอักษรที่เขียนลงไปอย่างละเอียดรอบคอบแล้วพูดว่า “เห็น ๆ อยู่ว่าเป็นตัวเดียวกัน แต่ที่ท่านพ่อเขียนช่างแตกต่างกับอักษรที่พวกเราเขียนมากนัก”

เหยาซูก้าวไปหยุดข้างหญิงสาว จึงรู้ว่าบนโต๊ะมีพระราชโองการสองฉบับ แบ่งออกเป็นฉบับที่อาจื้อและอาซือเขียน

อาจื้อที่ได้ยินเสียง จึงได้เอ่ยทักทายทั้งสอง “ท่านแม่! ท่านลุง!”

เหยาซูยิ้มแล้วค่อย ๆ ลูบหัวของเด็กชาย แล้วถามอาซือว่า “วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง เขียนอักษรเหนื่อยหรือไม่”

เด็กสาวได้วิ่งมาถึงด้านหน้าทั้งสองคน จับเหยาซูด้วยมือข้างหนึ่งและจับชายเสื้อของเหยาเฉาด้วยมืออีกข้างหนึ่ง เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นและเอ่ยยิ้ม ๆ “ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ ท่านพ่อเพิ่งจะเริ่มสอนข้ากับท่านพี่ว่าเขียนอักษรอย่างไรให้ดูมีพลัง ท่านแม่ ท่านลุง รีบไปดูอักษรที่ท่านพ่อเขียนเร็วเข้า”

ใบหน้าของเหยาเฉาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเอนตัวลงลูบหัวอาซือเบา ๆ แล้วกล่าวอย่างอบอุ่น “อื้ม ไหนขอลุงดูหน่อย เอ้อเป่าเขียนสวยหรือไม่”

อาซือเขินอายเล็กน้อย หากแต่ก็ยังพยักหน้า

เหยาจับซูจับมือเด็กทั้งสองคนแล้วเดินไปหน้าโต๊ะ

หญิงสาวคลี่ยิ้ม สายตาหยุดลงบนใบหน้าอันสมบูรณ์แบบของหลินเหรา เมื่อเห็นรอยยิ้มในดวงตาของชายหนุ่ม ก็ก้มมองอักษรบนโต๊ะ

พวกเขาสามพ่อลูก เขียนสี่วรรคแรกของบทกวี ‘เทียนเวิ่น’ ของนักกวีชวีเหยียน

“遂古之初, 谁传道之?上下未形, 何由考之?冥昭瞢闇, 谁能极之?冯翼惟象, 何以识之?”

(ต้นบรรพกาล…ผู้ใดกำหนด? ฟ้าดินไร้รูป…ไยต้องทดสอบ? มืดสว่างยากแยก…อย่างไรดีชอบ? หลงงมงายแล้ว…รู้แจ้งอย่างไร?)

ไม่ต้องพูดถึงตัวอักษรของหลินเหรา มันช่างแตกต่างจากตัวอักษรของเหล่าบัณฑิต ในเวลานั้นถึงแม้ว่าจะเป็นอักษรข่ายซู[2] ที่ซื่อตรง แต่ความรู้สึกที่แสดงออกมาจากตัวอักษรทำให้คนพบเห็นรับรู้ถึงพลังความเข้มแข็ง ราวเหมือนกับว่าพันธนาการถูกทำลายลง และกลายเป็นตัวอักษรเฉ่าซู[3] ที่ตวัดไปมา

อักษรที่เด็กทั้งสองเขียน ทุก ๆ เส้นขีดของอาซือเขียนได้ละเอียดถี่ถ้วน ตัวอักษรของอาจื้อประหนึ่งว่าถูกพิมพ์ออกมา ขนาดของตัวอักษรสามารถเขียนได้ออกมาได้เท่ากันและเหมือนกันหมด เห็นได้ชัดว่าเด็กชายผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก

เหยาเฉาตั้งใจดูอักษรที่เด็กทั้งสองเขียน พอดูถึงตัวอักษรที่อาซือเขียน ก็ถอนหายใจยาว ๆ

อาซือเงยหน้าขึ้น ถามด้วยความสงสัย “ท่านลุงถอนหายใจทำไมหรือเจ้าคะ หรือว่าข้า…เขียนไม่สวย”

เหยาเฉาส่ายหัวโดยไม่เอ่ยอะไร หลังจากนั้นเหยาซูก็ได้พูดกับลูกสาวว่า “ไม่ใช่หรอก ท่านลุงรู้ว่าเอ้อเป่าเขียนอักษรได้สวยงาม คงจะคิดถึงพี่รองของเจ้า จึงเกิดความกังวลขึ้นมา”

เด็กทั้งสองคนหัวเราะ

เหยาเฉาและเด็กทั้งสองพูดคุยกันเกี่ยวกับการเขียนอักษร อีกทั้งยังอธิบายให้พวกเขาว่าทำไมถึงมีอักษรเหมือนกัน ตัวอักษรของอาจื้อนั้นสมบูรณ์แบบ แต่ไม่ได้มีพลังเหมือนของหลินเหรา

หลินเหราเดินมาหยุดข้างภรรยา ควบคุมอารมณ์ไม่ให้สัมผัสปลายนิ้วของนาง แล้วกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “วันนี้กลับมาไว จัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้วหรือ เหนื่อยหรือไม่”

เหยาซูขมวดคิ้ว รอยยิ้มที่ผ่อนคลายพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง ก่อนที่จะส่ายหัวแล้วพูดว่า “ข้าไม่เหนื่อย วันนี้ภัตตาคารเปิดใหม่ มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย แต่ข้าไม่จำเป็นต้องคอยอยู่จัดการ พี่รองบอกว่า วันพรุ่งพวกท่านสองคนไม่ได้อยู่เวรใช่หรือไม่”

ชายหนุ่มตอบรับเบา ๆ หนึ่งคำ สายตากวาดมองไปยังผู้ใหญ่หนึ่งคนและเด็กอีกสองคนที่กำลังพูดคุยเกี่ยวการเขียนพู่กันอยู่ จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปจับมือเรียวขาวของเหยาซูมากุมเอาไว้ในฝ่ามือ

หญิงสาวยิ้มแล้วพยายามขัดขืน ก็ไม่สามารถสู้แรงของชายหนุ่มได้ พลางหยอกล้อว่า “วันนี้ได้อยู่ดูแลต้าเป่ากับเอ้อเป่า ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง รู้สึกรำคาญไหม”

หลินเหราตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำที่ฟังแล้วดูอบอุ่น “ไม่รำคาญ”

เหยาซูขมวดคิ้ว “งั้นครั้งต่อไปท่านเพิ่มซานเป่าไปด้วย ห้ามให้ใครมาช่วย ท่านจะยังรู้สึกไม่รำคาญอยู่หรือไม่”

หลินเหราชอบลักษณะท่าทางของหญิงสาวมาก ชายหนุ่มกุมมือของอีกฝ่ายไว้แน่น กล่าวเสียงเบา “ไม่ว่าจะสามคน สี่คน หรือห้าคน ข้าก็ดูแลได้”

เหยาซูหัวเราะกับคำเช่นนี้ที่จู่ ๆ อีกฝ่ายก็พูดออกมา และรีบเบนสายตาไปมองที่โต๊ะหนังสือ หญิงสาวรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าทั้งเหยาเฉาและเด็ก ๆ ไม่สนใจการเคลื่อนไหวตรงนี้

จากนั้นนางจึงบ่นอุบ “สี่หรือห้าอะไรกัน เลี้ยงแค่สามคนนี้ให้ดีก่อนค่อยมาพูด!”

หลินเหลาไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แต่ใบหน้ากลับเผยให้เห็นถึงความอ่อนโอนและอบอุ่น

บรรยากาศภายในห้องที่เป็นปกติ พลันอุ่นขึ้นมาแปลกประหลาด

……………………………………………………………………………………………………..

[1] ต้นมู่ฝูหรง คือ ต้นพุดตาน

[2] อักษรข่ายซู มีลักษณะเป็นทรงตรง มีเหลี่ยมมุมและบรรจง จึงพัฒนามาเป็นมาตรฐานการเขียนอักษรจีนในปัจจุบัน

[3] อักษรเฉ่าซู มีลักษณะเป็นเส้นหวัด เขียนด้วยความรวดเร็ว

สารจากผู้แปล

จริงๆ แล้วพี่เฉาก็คิดถึงภรรยาแหละ

อาซูแสดงท่าทางแบบนี้คือจะต่อเรือพี่ชายตัวเองกับอาเหราเหรอคะ

ไม่แน่น้า ถ้ามีซื่อเป่าอู่เป่ามาอีกพี่เหราก็เลี้ยงไหว

ไหหม่า(海馬)