บทที่ 369 มีคนมากมายที่ตั้งครรภ์โดยบังเอิญในช่วงปลอดภัย

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

หลานเสี่ยวถางชะงักหยุดอย่างสั่นเทาเลยจริง ๆ “คุณไม่เป็นไรใช่ไหมคะ? คุณไม่ได้รักษาหายดีแล้วหรือไงกันน่ะ? ทำไมถึงต้องทำราวกับว่ากำลังฝากฝังเรื่องไว้กับคนรุ่นหลังละคะ?”

สือเพ่ยหลินสบตามองเธอ ก่อนจะเผยรอยยิ้มอบอุ่น “คุณก็แค่บอกผมมา ว่าอยากฟังหรือไม่อยากฟังก็พอแล้ว”

หลานเสี่ยวถางในตอนนี้ รู้สึกไม่แคร์แล้วจริง ๆ แต่ทว่า เธอก็ถูกสือเพ่ยหลินหยอกล้อจนรู้สึกสนุกขึ้นมาบ้างแล้วเล็กน้อย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงพยักหน้า “ใช่ค่ะ อยากฟัง แต่ทว่านะคะ ก่อนหน้านี้ฉันเอาชีวิตของคุณมาไล่ต้อนคุณ คุณก็ล้วนแล้วแต่ไม่ยอมเรียกเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งยังแสร้งร้องไห้ให้ฉันเห็นด้วยใช่ไหม? ฉันยังกล้าที่จะไปรังแกคุณอีกที่ไหนกัน——”

เพียงแต่ คำพูดของเธอยังไม่ทันที่จะได้เอ่ย ก็ได้ยินสือเพ่ยหลินเอ่ยปากขึ้นมาแล้วว่า “อาสะใภ้ครับ”

ดวงตาของหลานเสี่ยวถางเบิกกว้างกลมโตทันที ก่อนจะสบตามองเขา “สือเพ่ยหลิน คุณไม่เป็นไรใช่ไหมคะ? คุณรักษาหายดีแล้วจริง ๆ ใช่ไหมคะ?”

สือเพ่ยหลินเห็นสีหน้าของหลานเสี่ยวถางในตอนนี้ หัวใจก็รู้สึกเจ็บปวดทันทีในเวลาเดียวกัน แต่ทว่ากลับมีความปีติยินดีจำนวนมหาศาลพรั่งพรูออกมาด้วย ทันใดนั้นเองมันก็แผ่กระจายไปทั่วทรวงอก

เขาสบตามองเธอ “หรือว่าคุณยังมีความรู้สึกนั้นอยู่ใช่ไหม ที่เป็นห่วงผมน่ะ? ไม่อยากให้ผมตายใช่หรือเปล่า?”

หลานเสี่ยวถางไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าเขานั้นรักษาหายดีเป็นปกติแล้วจริง ๆ หรือว่าอะไรกันแน่ แต่ทว่า เมื่อครู่นี้สือเพ่ยหลินจู่ ๆ ก็เอ่ยเรียกเธอออกมาว่า ‘อาสะใภ้’ นั่นเป็นสิ่งที่ต่อให้ตีเขาจนตายในตอนแรกก็ไม่มีทางเรียกอย่างเด็กขาด เธอรู้สึกว่า ตอนนี้สือเพ่ยหลินกำลังฝากฝังคำพูดให้กับคนรุ่นหลังเอาไว้แทน

มีคำบอกเอาไว้ว่าคนก่อนที่จะตายนั้นคำพูดก็มักจะจิตใจดีมีเมตตา สือเพ่ยหลินตรงหน้าเธอรู้สึกว่าไม่รู้จักเขาเลยสักนิด แต่ทว่า มันกลับราวกับว่าเรียกความทรงจำในตอนแรกให้ตื่นขึ้นมาแทนเสียแล้ว

ผู้ชายคนที่มองดูแล้วหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน ภายใต้แสงอาทิตย์ เขากันมายิ้มให้เธอเล็กน้อย

คนที่จะตายนั้นล้วนถือเป็นเรื่องใหญ่ หลานเสี่ยวถางหันไปพยักหน้ากับสือเพ่ยหลิน “ฉันย่อมต้องไม่หวังให้คุณตายอยู่แล้วค่ะ คุณไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”

สือเพ่ยหลินหัวเราะ นัยน์ตาเป็นประกายหยาดสีใสแวววาว “ผมไม่เป็นไรครับ”

พูดจบ เขาก็มองหลานเสี่ยวถางอยู่ครู่หนึ่งอีกครั้ง หลังจากนั้นจึงเอ่ยว่า “ขอโทษนะครับ ที่ตอนนั้นทำร้ายคุณไปแบบนั้น ผมรู้สึกเสียใจในภายหลังเป็นอย่างมากเลย ผมไม่ได้รักษาคุณเอาไว้ แต่ทว่าคุณอาของผมเป็นคนดีมากเลยนะครับ เขาเป็นเลิศกว่าผมในทุก ๆ ทางเลย คุณอยู่ด้วยกันกับเขา จะต้องมีความสุขมากแน่ ๆ!”

พูดจบ เขาไม่รอให้หลายเสี่ยวถางเอ่ยอะไร ก็จากไปอย่างรวดเร็วแล้ว ก่อนจะหายไปในโถงทางเดิน

เขาคิด หลังจากนี้ เขาก็คงจะไม่ไปพบเจอความเขาทั้งสองคนอีกครั้งแล้วล่ะ!

หรือว่าอาจจะเจอกัน ก็อาจจะเป็นในหลายปีหลังจากนี้ เขากลับมาเยี่ยมเยียนลูกชายลูกสาวของทั้งคู่ที่กำลังปรนนิบัติพวกเขา ส่งอั่งเปาที่เขาตระเตรียมเอาไว้แล้วให้กับเด็ก ๆ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับพวกเด็ก ๆ ที่เดิมก็ไม่รู้จักมักจี่เขาเลยว่า “พวกเธอดูสิว่าฉันน่ะหน้าตาเหมือนกับพ่อของพวกเธอนิดหน่อยน่ะ? แต่ฉันน่ะมีฐานะเป็นผู้อาวุโสไม่มากนักหรอกนะ พวกเธอเรียกฉันว่าพี่ชายก็ได้นะ!”

อืม เรียกพี่ชาย ก็ยังคงดูหนุ่มอยู่นี่เนอะ! สือเพ่ยหลินกำลังคิด……

ช่วงเวลา ค่อย ๆ ผ่านไปทีละนิด มันใกล้เข้ามาถึงพิธีมงคลสมรสที่จะจัดขึ้นร่วมกันระหว่างฟู่สีเกอและหันจื่ออี้แล้ว

เริ่มตั้งแต่กลางเดือนแปดไปจนถึงต้นเดือนเก้า อีกทั้งก็เป็นครึ่งเดือนไปแล้วด้วย ทั้งสามทางที่ช่วยกันลงแรงนั้นยังคงไม่ได้รับข่าวคราวอะไรที่เกี่ยวกับโอหยางจวิ้นและหวันหว่านเลยแม้แต่นิดเดียว

วันนี้ สือมูเฉินสบตามองปฏิทินบนหัวเตียงนอน ระยะห่างระหว่างงานแต่งงานของฟู่สีเกอนั้นใกล้เข้ามามากแล้ว

ถึงแม้ว่าความคิดในหัวใจของเขาเองนั้นยังไม่ปล่อยวางลง แต่ทว่า ฟู่สีเกอเองก็เป็นสหายที่ดีของตนเอง เฉียวโยวโยวก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของหลานเสี่ยวถางอีกด้วย ดังนั้นแล้ว สือมูเฉินนั้นจังไปถึงก่อนหน้าสองวันพร้อมกับหลานเสี่ยวถาง ก่อนจะนั่งเครื่องบินแล้วกลับไปที่หนิงเฉิงก่อนแล้ว

เฉียวโยวโยวรับรู้เรื่องราวจากหลานเสี่ยวถางที่สนามบิน เรื่องที่หวังหว่านนั้นหายตัวไปแล้ว เฉียวโยวโยวเองก็ทราบ เธอสวมกอดหลานเสี่ยวถาง “เสี่ยวถาง ฉันไม่รู้ว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น มิฉะนั้นแล้ว พวกเราก็จะไม่จัดงานแต่งงานในเวลานี้แล้วล่ะ!”

หลานเสี่ยวถางส่ายหน้า “โยวโยวจ๊ะ งานแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตของเธอเพียงแค่ครั้งเดียว จะให้เรื่องในบ้านของฉันมากระทบได้อย่างไรล่ะ? เธอวางใจเถอะ ผ่านไปเดือนกว่าแล้ว ฉันเองก็ได้มีการเตรียมใจเอาไว้นานแล้วด้วย อีกอย่างหนึ่ง ฉันเชื่อว่าไม่มีข่าวอะไรเลยนั่นก็คือข่าวดี หวันหว่านจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ ๆ ฉันกับมูเฉินสัมผัสได้จ้ะ!”

“อืม ฉันก็เชื่อว่าลูกสาวบุญธรรมของฉันจะต้องไม่เป็นอะไรแน่!” เฉียวโยวโยวจับมือของหลานเสี่ยวถางเอาไว้ “เสี่ยวถางฉันจะบอกอะไรเธอให้นะ เดือนนี้ฉันประจำเดือนไม่มา ไม่แน่ว่าอาจจะมีแล้วก็ได้นะ! ฉันยังไม่ทันได้บอกกับสีเย็นเลย ประเดี๋ยวหลังจากที่งานแต่งเสร็จแล้ว ฉันจะไปซื้อกระดาษทดสอบมาสองทดสอบดู”

หลานเสี่ยวถางตกตะลึงในทันที “โยวโยว ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้บอกหรือไง พวกเธอมีมาตรการป้องกันกันเอาไว้แล้ว ว่าจะไม่มีตอนที่กำลังแต่งงานน่ะ? แบบนี้มันเหนื่อยมากเลยนะ!”

“โดยปกติแล้วก็มีมาตรการกันนั่นแหละนะ แต่ทว่า ก่อนหน้านี้มันเกิดขึ้นในช่วงปลอดภัยครั้งหนึ่ง ดังนั้นก็เลย……” เฉียวโยวโยวเอ่ย “หลังจากนั้นฉันก็ไปค้นหาในอินเทอร์เน็ต ก่อนจะค้นพบว่ามีคนมากมายที่ตั้งครรภ์ในช่วงปลอดภัยกันเยอะน่ะ……”

“ถ้าอย่างนั้น——” หลานเสี่ยวถางเอ่ย “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ลองทดสอบดูก่อน ถ้าหากว่ามีแล้ว นั่นก็ถือเป็นเรื่องดีนะ! แต่ว่านะ วันนี้เธออย่างพึ่งดื่มเหล้าเลยก็แล้วกัน แล้วก็อย่าเหนื่อยมากด้วยล่ะ ทางที่ดีก็ควรที่จะบอกกับสีเกอสักหน่อย แบบนี้เขาจะได้สามารถช่วยเธอกันเหล้าได้!”

“จริงด้วยสิ ทำไมฉันถึงลืมเรื่องนี้ไปได้กันนะ!” เฉียวโยวโยวพยักหน้า “ได้จ้ะ ประเดี๋ยวฉันจะไปบอกเขาเอง!”

ทางสองคนเดินไปพูดคุยกันไปพลาง ก่อนจะขึ้นรถไปพลาง

หลานเสี่ยวถางเป็นเพราะว่านั่งเครื่องบินมานานมากแล้ว ดังนั้นวันนี้จึงเหนื่อยล้าเล็กน้อย หลังจากที่ขึ้นรถได้ไม่นานนัก เธอก็หลับไปแล้ว

มาถึงที่คฤหาสน์ เฉียวโยวโยวไปที่บ้านของหลานเสี่ยวถางก่อนเพื่อที่จะพูดคุยกับหลานเสี่ยวถาง ก่อนจะมองภาพถ่ายเมื่อสามวันก่อนของหวันหว่าน จนกระทั่งถึงช่วงค่ำ จึงจะจากไปแบบไม่เต็มใจนัก

ตามกำหนดการก่อนหน้านี้ เฉียวโยวโยวจะแต่งงานที่คอนโดมิเนียมที่เธอและบิดามารดาของเธอร่วมซื้อด้วยกัน

ส่วนฮั่วชิงชิง เป็นเพราะว่าบ้านไม่ได้อยู่ในหนิงเฉิง ดังนั้นแล้ว เธอจึงแต่งงานที่โรงแรมที่ตนเองพักอยู่ หันจื่ออี้ในตอนที่งานแต่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็รับเธอไปที่บ้านใหม่ของพวกเขา

ในที่สุดแล้วก็มาถึงวันแต่งงาน เฉียวโยวโยวไม่สนใจว่าหลานเสี่ยวถางจะแต่งงานแล้วหรือเปล่า ก่อนจะดึงดันให้หลานเสี่ยวถางเป็นเพื่อนเจ้าสาว

หลานเสี่ยวถางสบตามองตนเองที่เป็นเพราะว่าพึ่งจะให้กำเนิดเจ้าตัวน้อยมา ร่างกายอวบอั๋นเล็กน้อยจนทำให้เธอปวดหัว ทางด้านข้าง สือมูเฉินก็ปลอบประโลมเธอว่า “เสี่ยวถางครับ ถึงแม้ว่าตอนนี้เอวของคุณจะหนาขึ้นไปนิดหน่อย แต่ทว่าหน้าอกใหญ่มากนะ ยังคงเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเอวเล็กน่ะ”

หลานเสี่ยวถางได้ยินคำพูดตรงไปตรงมาของเขา ใบหน้าแดงซ่านในทันที ก่อนจะผลักเขาไปทีหนึ่ง “อีกประเดี๋ยว ไม่อนุญาตให้คุณกับพวกเขาหัวเราะเยาะฉันนะคะ!”

พูดไปแล้ว เธอก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “น่าเสียดายที่เสี่ยวจิ่นไม่ได้มาด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว พวกเราก็จะได้กลับไปเป็นเหมือนในงานแต่งงานของฉันตอนนั้นกัน!”

สือมูเฉินหวนนึกถึงซูสือจิ่น ก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ในครึ่งปีมากนี้ ผมเองก็เคยส่งอีเมลไปหาสือจิ่น แต่ทว่า ถึงแม้ว่าเธอจะตอบกลับมา แต่ทว่าก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่เธออยู่ที่ไหนเลยแม้แต่คำเดียว”

“อันที่จริงแล้ว ฉันเห็นชิงเจ๋อเองแล้วก็รู้สึกเวทนานิดหน่อยนะคะ” หลานเสี่ยวถางเอ่ย “ในตอนที่พวกเราแยกจากกันไปครึ่งปี อีกทั้งยังเป็นในตอนที่ตามหาหวันหว่านมาเดือนกว่าด้วยแล้ว ฉันนั้นสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยค่ะ ความเจ็บปวดของการแยกจากกันนั่นน่ะ! หวังว่าสือจิ่นจะสามารถปล่อยวางได้ แล้วกลับมาโดยเร็วนะคะ!”

“อืม การ์ดมงคลของวันนี้ สีเกอเองก็ส่งไปให้สือจิ่นตั้งนานแล้วด้วย อีกทั้งเขาก็ยังได้รับคำอวยพรจากสือจิ่นมาแล้ว ดังนั้นแล้วเธอคงจะเห็นแล้วล่ะนะ” สือมูเฉินเอ่ย “หวังว่าเธอจะเซอร์ไพรส์อะไรพวกเราสักอย่างเถอะ!”

“มูเฉินคะ คุณว่าเธอจะกลับมาไหมคะ?” หลานเสี่ยวถางเอ่ย

สือมูเฉินส่ายหน้า “ไม่รู้สิครับ” เขานั้นมักจะรู้สึกว่าตนเองนั้นมีข้อมูลเชิงลึกไม่น้อยเลย แต่ทว่า ในตอนที่หยานชิงเจ๋อกับซูสือจิ่นนั้นรักกัน เขานั้นไม่รู้เลยแม้แต่นิดเดียวจริง ๆ

ช่วงเช้ามืด ช่างแต่งหน้ามาจัดการแต่งตัวให้หลานเสี่ยวถาง เธอเปลี่ยนไปสวมใส่ชุดเพื่อนเจ้าสาว ก่อนจะคู่กันกับสือมูเฉินที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว แล้วนั่งรถคันแต่งงานคันเดียวกันไปกับฟู่สีเกอ ก่อนจะขับไปยังบ้านของเฉียวโยวโยว

แต่ทว่าในเวลานั้นเอง หันจื่ออี้กับเพื่อนสองสามคนของเขา บวกเข้ากับลูกสาวของพ่อบุญธรรมต่างประเทศของเขาด้วยกันแล้ว พวกเขาเองก็ขับรถไปยังโรงแรมที่ฮั่วชิงชิงพักอยู่

ภายในตัวโรงแรม ฮั่วชิงชิงสวมใส่ชุดแต่งงานนั่งอยู่บนเตียงกว้าง ใบหน้าแดงซ่านเล็กน้อย

ทางด้านข้าง ฮั่วเหมียวเหมี่ยวหันไปเอ่ยกับเธอว่า “พี่สาวคะ วันนี้พี่สวยมากเลยค่ะ! ประเดี๋ยวหากสามีของพี่มาเห็นเขา เขาจะต้องหลงพี่แน่ ๆ เลย!”

“ที่ไหนกันละจ๊ะ——” ฮั่วชิงชิงคว้าจับเข้าที่กระโปรง ใบหน้าเหนียมอาย “จื่ออี้ไม่ใช่เป็นคนที่ดูรูปลักษณ์ภายนอกของคนนะ…..”

“ฮ่า ๆ ๆ ถ้าอย่างนั้นแล้วเขาต้องตกหลุมรักจิตใจภายในของพี่แน่ ๆ เลยใช่ไหมคะ?”ฮั่วเหมียวเหมี่ยวจ้องเขม็ง “พี่สาวทั้งบริสุทธิ์มีเมตตาทั้งอบอุ่น ถ้าหากว่าฉันเป็นผู้ชาย ฉันก็จะชอบผู้หญิงแบบพี่สาวนะคะ!”

ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกับอยู่ ฮั่วเหมียวเหมี่ยวก็ได้ยินเสียงประกาศจากทางด้านนอกแล้ว เธออดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืน “นี่ หรือว่าพวกสามีของพี่จะมากันแล้ว?”

ฮั่วชิงชิงได้ยินประโยคนี้เข้า ทันใดนั้นเองร่างทั้งร่างก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที

ในครึ่งปีมานี้ เธอนั้นยอมรับและปรับตัวเข้ากับอายุของตนเองที่แปรเปลี่ยนไปได้แล้ว ปรับเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของรอบข้างได้แล้วด้วย

ในครึ่งปีมากนี้เอง เธอเริ่มเรียนรู้ความรู้ต่าง ๆ ที่เธอพลาดไปกว่าเก้าปี ส่วนหันจื่ออี้เอง เขาก็คอยสอนอยู่ข้างกายเธอมาตลอด ทีละเล็กทีละน้อย ก่อนที่จะทำให้เธอที่ไม่รู้อะไรเลย ค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่

ดังนั้นแล้ว ในตอนที่เขาขอเธอแต่งงาน อีกทั้งในตอนที่ยังเอ่ยขึ้นมาอีกด้วยว่าหวังว่าจะสามารถแต่งงานกันได้เร็ว ๆ ภายในหัวใจของเธอนั้นโบยบินอย่างปีติ

หลังจากในคืนที่เธอตอบตกลงเขาไปแล้วนั้น เธอเอนตัวนอนอยู่ในห้องนอนของตระกูลฮั่วของตนเอง คิดถึงคำพูดที่หันจื่ออี้เอ่ยบอกกับเธอเมื่อตอนกลางวัน หัวใจนั้นราวกับถูกกวางชน

ที่แท้แล้ว เธอนั้นสามารถมีความสุขกับตนเองได้แล้วจริง ๆ แต่ทว่า ตอนนี้หวนนึกถึงฟู่สีเกอแล้ว เธอนั้นแทบจะมีเพียงแค่ความรู้สึกยินดีของคนใกล้ชิดแทน อีกทั้งก็ยังไม่มีอาการหัวใจเต้นแรงอย่างนั้นอีกแล้ว

ในตอนนั้นเอง เธอก็รู้ได้แล้ว ว่าหัวใจของตนเองนั้นถูกหันจื่ออี้ค่อย ๆ ยึดครองไปแล้ว มันไม่หลงเหลือเขาอีกแล้ว

ในตอนนี้ เธอคิดว่าตนเองนั้นจะต้องแต่งงานแล้วจริง ๆ ดังนั้นจึงตื่นเต้น ภายในหัวใจล้วนแล้วแต่มีความคาดหวังและความสุข

จนกระทั่ง มีเสียงฝีเท้ามาหยุดอยู่ที่หน้าประตูแล้ว หลังจากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น——

หัวใจของฮั่วชิงชิงเต้นจนแทบจะทะลุดวงตา ก่อนจะสบตามองฮั่วเหมียวเหมี่ยว เป็นสัญญาณให้เธอเอ่ยปาก

“ใครคะ?” ฮั่วเหมียวเหมี่ยวเอ่ยถาม

“ผมเองครับ” เสียงของหันจื่ออี้ดังขึ้นทางนอกประตู “ชิงชิง ผมมารับคุณแล้ว! เหมียวเหมี่ยว เปิดประตูให้พี่หน่อยได้ไหม?”

ฮั่วเหมียวเหมียวยังอายุไม่ถึงสิบเก้าปี ไม่กลัวอะไรเลย ดังนั้นแล้ว เธอเริ่มก่อความยากลำบากให้แก่หันจื่ออี้แล้ว “ไม่ได้ค่ะ ฉันต้องได้ยินพี่ร้องเพลงเพลงหนึ่งก่อนถึงจะเปิดประตู ร้องไม่เพราะก็ต้องร้องจนกว่าฉันจะพอใจ!”

ทางด้านข้าง ฮั่วชิงชิงได้ยินเช่นนั้นแล้ว ดังนั้นจึงรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาแล้ว ก่อนจะหันไปดึงแขนของฮั่วเหมียวเหมี่ยวเอาไว้

แต่ทว่า ฮั่วเหมียวเหมี่ยวกลับหันไปส่งสายตาให้เธอครั้งหนึ่ง หลังจากนั้น ก็หันไปเอ่ยกับหันจื่ออี้ที่อยู่ด้านนอกว่า “เริ่มร้องเพลงเถอะค่ะ!”

“เธอเป็นเจ้าสาวของพี่ เธอเป็นคนอื่นที่ยกหัวใจเอาไว้ให้พี่ดูแล พี่จะต้องใช้ทั้งชีวิตของพี่เพื่อดูแลเป็นอย่างดี ทุกข์ยากหรือว่าสุขสันต์ล้วนแล้วแต่ต้องแบ่งปันกัน……”

ก่อนหน้านี้หันจื่ออี้นั้นเป็นคนที่ขึ้นชื่อว่าร้องเพลงเพราะที่โรงเรียน น้ำเสียงของเขาดังผ่านประตูเข้ามา ฮั่วชิงชิงที่อยู่บนเตียงกว้างชะงักนิ่งไป

“ต้องเป็นพรหมลิขิตที่เป็นพิเศษแน่ ถึงสามารถแปลเปลี่ยนจากคนที่เดินอยู่ข้างถนนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน นับแต่นี้ต่อไปไม่ได้เป็นแค่ตัวเองเพียงคนเดียวแล้ว ในทุกช่วงเวลาต่อจากนี้ล้วนคิดถึงแต่พวกเรา……”

ใช่สิ จะต้องเป็นพรหมลิขิตที่พิเศษแน่ ๆ ดังนั้นแล้ว เขาถึงยืนหยัดที่จะช่วยเหลือเธอที่มองดูแล้วเป็นแค่คนแปลกหน้าที่ไม่มีความหวังที่จะสามารถตื่นขึ้นมาเลย

อีกทั้งก็ยังเป็นพรหมลิขิตที่พระเจ้าใส่ใจด้วย เธอถึงตื่นขึ้นมาจากการหลับลึก เปิดเปลือกตา ก่อนจะตามหาเขาที่เดิมไม่คิดว่าจะสามารถเป็นคนที่ได้อยู่ด้วยกันเลย

เรื่องราวทุกอย่างบนโลกใบนี้นั้นล้วนแล้วแต่แปลกประหลาดมากจริง ๆ เคยคิดเอาไว้ว่าเพื่อที่จะปกป้องชีวิตของคนคนหนึ่ง แต่ทว่ากลับเป็นเพราะว่าประสบเหตุไม่คาดฝันจนต้องแยกจากกันไปไหล

แต่ทว่าพรหมลิขิตทั้งหมดนี้ มันกลับน่าประหลาดใจมากขนาดนี้ เธอกับฟู่สีเกอแต่งงานกันในวันเดียวกัน เธอไม่ใช่เจ้าสาวของเขา เขาเองก็ไม่ใช่เจ้าบ่าวของเธอ แต่ทว่า กลัวมีความสุขกันทั้งสองฝ่าย