ตอนที่ 343

My Disciples Are All Villains

ลู่โจวจ้องมองไปที่ฝานลี่เทียนผู้ที่กำลังนั่งอยู่ที่ด้านข้าง ฝานลี่เทียนเป็นผู้ที่เคยเดินทางไกลในโลกกว้างมาก่อน แน่นอนว่าความรู้ที่ฝานลี่เทียนมีจะต้องเทียบเท่าได้กับความรู้ที่เล้งลั่วมีแน่ ฝานลี่เทียนได้พูดออกมา “ข้าเองก็เคยได้ยินแบบนั้นเช่นกัน จะมีดอกไม้ชนิดหนึ่งที่จะเบ่งบานในตอนเช้าก่อนที่จะเหี่ยวเฉาไปในยามค่ำคืน ดอกไม้ทุกดอกจะอยู่ได้แค่ในเวลากวางวัน ส่วนในเวลากลางคืนพวกมันก็จะร่วงโรยไป ดอกไม้ดอกใหม่จะเบ่งบานขึ้นมาแทนที่ดอกที่ตายไปแล้ว ดอกไม้ดอกนั้นมีอีกชื่อหนึ่งว่าดอกไม้อายุยืน…เมลิล็อตเป็นดอกไม้ที่มีช่วงชีวิตที่สั้นมาก เพราะแบบนั้นมันจึงได้รับชื่ออื่นๆ อีกมากมายด้วยกัน ส่วนดอกไม้อายุยืนที่ข้าพูดถึงมันหมายถึงดอกไม้ที่จะเบ่งบานไปตลอดกาลโดยที่ไม่มีวันร่วงโรย”

ฮั๊ววู่เด๋าคารวะก่อนที่จะพูดออกมา “วันนี้ข้าได้เปิดหูเปิดตาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อีกแล้วสินะ”

“…” ลู่โจวหวังว่าฮั๊ววู่เด๋าจะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้บ้าง แต่เท่าที่ดูจากการตอบสนองแบบนั้นแสดงว่าชายชราคนนี้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่

เล้งลั่วได้พูดต่อ “เมลิล็อตเป็นสิ่งที่มีความพิเศษอยู่ มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการอยากจะครอบครองมัน ในตอนนี้การจะหามันในยุทธภพได้คงจะเป็นเรื่องที่ยากน่าดู ข้าอยากจะรู้เหตุผลที่ท่านถามคำถามนี้จริงๆ ท่านปรมาจารย์?”

ลู่โจวไม่ได้ตอบคำถามในทันที ข้อมูลที่ได้มาจากฝานลี่เทียนและเล้งลั่วใกล้เคียงกับสิ่งที่ตัวเขารู้อยู่ก่อนแล้ว ตัวเขาพยายามเชื่อมโยงสิ่งนี้กับสิ่งที่ยู่ฉางตงพูด ดอกไม้ที่ผลิบานอยู่ที่บ้านเกิดที่ยู่ฉางตงพูดถึงจะต้องเป็นเมลิล็อตไม่ผิดแน่ ดูเหมือนว่าพืชชนิดนี้จะมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ดินแดนของเหล่าชนชั้นสูง

ยู่ฉางตงเป็นคนที่มาจากดินแดนชนชั้นสูง นอกจากนี้ระบบที่คอยช่วยเหลือลู่โจวก็ยังมอบภารกิจให้ตามหา ‘เมลิล็อตอายุวัฒนะ’

หรือว่าตัวตนของยู่ฉางตงจะเกี่ยวข้องกับความทรงจำที่ขาดหายไปกัน? เพราะอะไรยู่ฉางตงถึงได้พูดแบบนั้นในตอนที่ตัวเขาถูกจับกลับมา

นี่เป็นเพียงการอนุมานของลู่โจวโดยใช้สิ่งที่รับรู้มาเท่านั้น และเมื่อคิดได้แบบนั้นลู่โจวก็ไม่คิดที่จะถามหารายละเอียดเกี่ยวกับเมลิล็อตอีกต่อไป “ผู้อาวุโสทั้งหลายพวกเจ้ารู้จักดินแดนของเหล่าชนชั้นสูงไหม?”

เมื่อฝานลี่เทียนได้ยินแบบนั้นตัวเขาก็พยักหน้าก่อนที่จะตอบกลับมา “ท่านปรมาจารย์ เมื่อนึกย้อนไปข้าเคยได้ยินเรื่องๆ หนึ่งมา มีหนังสือหลายเล่มบันทึกเอาไว้ว่าเมลิล็อตจะเติบโตในตลอดทั้งปีในดินแดนชนชั้นสูง…แต่น่าเสียดาย สถานที่ที่ว่าไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว”

“ทำไมสถานที่แห่งนั้นถึงได้หายไปกันล่ะ?” ลู่โจวได้ถามออกมา

“ว่ากันว่าเหล่าชนชั้นสูงที่ว่ามีช่วงชีวิตที่สั้นเหมือนกับเมลิล็อต นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาชื่นชอบที่จะดูแลดอกไม้นั่นเป็นอย่างดี แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามก็น่าเสียดาย…ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังมีช่วงอายุขัยที่สั้นอยู่ดี แม้แต่ผู้ฝึกยุทธเองก็ยังมีช่วงชีวิตที่สั้นกว่าผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่ เพราะเหตุนั้นดินแดนของเหล่าชนชั้นสูงจึงค่อยๆ เสื่อมสลายหายไปตามกาลเวลา”

เล้งลั่วได้พูดต่อ “ช่างน่าขัน เมื่อพูดถึงดินแดนของเหล่าชนชั้นสูงข้าก็คิดถึงหมู่บ้านของเหล่ามนุษย์เผือก ดินแดนทั้งหมดได้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่มาอย่างเนิ่นนานแล้ว ที่แห่งนั้นได้กลายเป็นที่ที่มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี ปัจจุบันที่แห่งนั้นจึงไม่มีใครอยู่อีกต่อไป”

“แล้วหุบเขาน้ำกร่อยอยู่ที่ไหนกัน?” ลู่โจวได้ถามออกมาอีกครั้ง

ในตอนนั้นเองฝานลี่เทียนก็ได้คารวะก่อนที่จะพูดออกมา “หุบเขาแห่งนั้นตั้งอยู่ที่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลหยง…” ฝานลี่เทียนได้ถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “ช่างน่าเสียดาย…ตอนที่ข้าอยู่ที่เขตพรมแดน ในตอนนั้นพวกเรากำลังไล่ล่าชนเผ่าอื่นๆ จากทิศตะวันตกเฉียงใต้ให้ไปยังทิศเหนือ แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ได้รับบาดเจ็บหนักก่อนที่จะถูกจับเป็นเชลยไป พวกเราถูกชนเผ่าอื่นๆ ขับไล่ไปทางหรงเป่ย พวกเราได้เดินทางผ่านหุบเขาน้ำกร่อยก่อนที่จะเดินไปตามทาง แม้ว่าจะอยู่ใกล้ๆ กับหุบเขานั้นแต่มันก็ยังไม่ได้ดูยิ่งใหญ่อะไรเลย ท้ายที่สุดแล้วข้าก็ถูกโยนไปยังป่าทมิฬ และเนื่องจากข้าได้ผ่านประสบการณ์ที่ยากลำบากมาก่อนทำให้ข้าสามารถเอาชีวิตรอดออกมาจากป่าแห่งนั้นได้ด้วยความโชคดี…”

“ทำไมท่านถึงได้ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่ะท่านปรมาจารย์?” ฮั๊ววู่เด๋าได้ถามออกมา

ลู่โจวมองไปที่ฮั๊ววู่เด๋าด้วยหลากหลายความรู้สึก ตัวเขาไม่ได้ตอบคำถามของฮั๊ววู่เด๋า ลู่โจวตัดสินใจที่จะไม่สนใจเขาจะดีกว่า ‘ตาแก่นี่นอกจากจะพึ่งพาอะไรไม่ได้แล้วยังมีคำถามอะไรมากมายอีก ช่างน่ารำคาญซะจริง’

ยู่ฉางตงมาจากดินแดนของเหล่าชนชั้นสูง ตัวเขาอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้มากว่า 275 ปีแล้ว ยู่ฉางตงสามารถอยู่รอดมาจนาถึงตอนนี้ได้ยังไงกัน? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ลู่โจวก็ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ก่อนที่จะพูดออกมา “ไม่มีอะไรทั้งนั้น ทุกคนอย่าได้ใส่ใจเลย”

“ถ้างั้นข้าน้อยขอลา”

“ถ้างั้นข้าเองก็ขอลา”

หลังจากที่ฝานลี่เทียนและฮั๊ววู่เด๋าจากไป ในตอนนั้นลู่โจวก็ได้ถามคำถามกับเล้งลั่วขึ้นมา “หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านฤดูร้อน ในตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นต่อกัน?”

เล้งลั่วได้ตอบกลับมา “หลังจากที่ม่อหลี่ได้ตายจากไป เจียงอาเฉียนก็ได้สังหารองค์ชายสองอย่างหลิวหยวน ส่วนจ้าวยู่ถือว่าเป็นองค์หญิงคนหนึ่ง และเนื่องจากนางได้รับการสนับสนุนมาจากพระอัครมเหสีดังนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องกังวลอะไรเกี่ยวกับนาง ปัจจุบันคนที่น่าจะเจอปัญหามากที่สุดก็คือเจียงอาเฉียนซะมากกว่า”

“เจียงอาเฉียนฆ่าหลิวหยวนอย่างงั้นหรอ?” ลู่โจวรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินแบบนั้น ท้ายที่สุดแล้วเจียงอาเฉียนก็ให้ความสำคัญกับชีวิตของตัวเองเหนือสิ่งอื่นใด การที่คนรักชีวิตจะสังหารเจ้าชายได้ช่างเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันซะจริงๆ

“ข้าคิดว่าพวกเขาทุกคนคงจะกลับมาในเร็ววันแน่” เล้งลั่วพูดต่อ

“ดีมาก” ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพยักหน้า

“ถ้าหากเป็นเรื่องอื่นๆ เห็นทีท่านต้องลองถามจากหมิงซี่หยินดูซะแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อน” เล้งลั่วได้คารวะขึ้นมาก่อนที่จะเดินจากไป

ลู่โจวโบกมือให้อย่างไม่แยแส

เล้งลั่วได้เดินออกจากห้องโถงใหญ่ไป ลู่โจวสังเกตเห็นว่าความจงรักภักดีของเล้งลั่วเพิ่มสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน เป็นเรื่องดีที่ผู้มีฝีมืออย่างเล้งลั่วจะเต็มใจอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ามากขึ้น ลู่โจวคิดมาตลอดว่าการจะจัดการกับเล้งลั่วได้คงจะเป็นเรื่องยาก แต่ท้ายที่สุดแล้วเมื่อเรื่องราวผ่านพ้นไป สิ่งต่างๆ ก็เป็นไปได้ด้วยดี ดีกว่าที่ลู่โจวได้คาดหวังเอาไว้ซะอีก ลู่โจวได้ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะเลิกคิดเรื่องนี้ไป

ในเวลาเดียวกันที่หนึ่งในสำนักย่อยของสำนักอเวย์จี ในห้องโถงขนาดใหญ่มีแสงสลัวๆ ที่ส่องออกมาจากทางด้านบนของห้องโถง

ด้วยแสงสลัวๆ ทำให้สามารถมองเห็นชั้นหมอกที่หมุนรอบวนอยู่บัลลังก์ที่ตั้งอยู่กลางห้องโถงได้ หลังจากนั้นครู่หนึ่งม่านหมอกก็ได้หายจางไป

ยู่เฉิงไห่กำลังคลายประกบฝ่ามือของตัวเองอย่างช้าๆ หลังจากที่ฟื้นตัวเสร็จสิ้น “ศิษย์น้องรอง ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ ” ในตอนนี้เลือดลมรวมไปถึงพลังลมปราณได้ไหลเวียนอย่างราบรื่นอีกครั้ง ยู่เฉิงไห่ดูดีขึ้นเป็นอย่างมาก

ในตอนนั้นเองฮั๊วจงหยางแห่งโถงมังกรฟ้าก็ได้เดินเข้ามา เมื่อเห็นยู่เฉิงไห่ดูดีขึ้นมาแล้วตัวเขาก็ได้คารวะก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าขอแสดงความยินดีด้วยที่พักฟื้นสำเร็จท่านเจ้าสำนัก”

ยู่เฉิงไห่ได้เหลือบมองไปที่ฮั๊วจงหยาง ตัวเขาไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป ‘ช่างเป็นสาวกที่ไม่รู้จักกาลเทศะซะจริง ข้าได้รับบาดเจ็บจากการประลองกับผู้อื่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ทำไมเจ้านี่ถึงได้เป็นเหมือนข้ากำลังบาดเจ็บกันแน่?’

ยู่เฉิงไห่ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องนี้ ตัวเขาได้ถามขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

“ท่านสีวู่หยาได้กลับมายังสาขาย่อยของสำนักพวกเรา เมื่อเห็นว่าท่านกำลัง…” คำว่า ‘ได้รับบาดเจ็บ’ ติดอยู่ในลำคอของฮั๊วจงหยาง ตัวเขาพยายามที่จะเก็บคำๆ นี้ไป

“ศิษย์น้องเจ็ดมาถึงที่นี่แล้วอย่างงั้นหรอ?” ดวงตาของยู่เฉิงไห่เปล่งประกาย ตัวเขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาในทันที “พาเขามาที่นี่ซะ”

“ครับท่านเจ้าสำนัก”

ไม่นานหลังจากนั้นฮั๊วจงหยางก็ได้พาสีวู่หยาเข้ามาที่ห้องโถง สีวู่หยามีสภาพที่ไม่ได้ดูดีเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าเขากำลังได้รับบาดเจ็บอยู่ แต่ถึงแบบนั้นสีวู่หยาก็สามารถขยับได้อย่างคล่องแคล่ว ที่ตัวของเขากลับมาใช้พลังลมปราณได้แล้ว

เมื่อเห็แบบนั้นยู่เฉิงไห่ก็ได้อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าฟื้นคืนพลังวรยุทธมาได้แล้วสินะ!”

สีวู่หยาพยักหน้า “มันเป็นเพราะความโชคดีของข้า…ข้า…”

“ดีมาก! ดีจริงๆ!” ยู่เฉิงไห่ได้เดินมาหาสีวู่หยาก่อนที่จะขัดจังหวะการพูดของเขา ยู่เฉิงไห่ได้ตบลงไปที่ไหล่ของสีวู่หยาอย่างหนักหน่วง “ตั้งแต่ที่เจ้าถูกพลังผนึกมนตราเข้า ข้าก็กินไม่ได้นอนไม่หลับมาโดยตลอด ข้าน่ะหาวิธีที่จะคลายพลังให้เจ้าตลอดเวลา ดูเหมือนว่าในที่สุดสวรรค์ก็รับฟังคำอธิษฐานของข้าแล้ว

สีวู่หยาที่ได้ฟังแบบนั้นรู้สึกสับสน ‘ใครจะไปเชื่อลมปากแบบนี้ได้กันล่ะศิษย์พี่ใหญ่?’

“ศิษย์น้องเจ็ด วันนั้นข้ารีบร้อนมากจนเกินไป ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ตำหนิข้าในเรื่องนี้”

ทันใดนั้นเองน้ำเสียงของยู่เฉิงไห่ก็ได้เปลี่ยนไป เมื่อสีวู่หยาได้ยินแบบนั้นตัวเขาก็รู้สึกขนลุก

สีวู่หยาได้โบกมือก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านพูดจริงจังเกินไปแล้วศิษย์พี่ใหญ่…วันนี้ข้ามาก็เพื่อที่จะบอกอะไรบางอย่างกับท่าน”

“อะไรกัน?” ยู่เฉิงไห่ได้ถามออกมา “เจ้าเพิ่งจะฟื้นคืนพลังวรยุทธกลับมาแท้ๆ เจ้าควรที่จะส่งจดหมายมาดีกว่าที่จะมาด้วยตัวเองแบบนี้”

สีวู่หยาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล “ศิษย์พี่รองถูกท่านอาจารย์จับตัวกลับไปแล้ว!”

“…” ทั่วทั้งห้องได้จมดิ่งสู่ความเงียบงำ ยู่เฉิงไห่ที่ได้ฟังแบบนั้นตกตะลึงเป็นอย่างมาก ในฐานะที่ตัวเขาเป็นเจ้าสำนักอเวย์จี สำนักอันยิ่งใหญ่ที่มีเหล่าสาวกกว่าหลายพันคน ตัวเขาได้เห็นชีวิตและความตายมานักต่อนักแล้ว แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีอะไรที่สามารถทำให้ตัวเขาตกตะลึงแบบนี้ได้ หัวใจของยู่เฉิงไห่เต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความตายของใครก็แล้วแต่ การล่มสลายของเมืองแห่งใด เรื่องราวเหล่านั้นก็ไม่อาจทำให้ยู่เฉิงไห่มีอารมณ์ที่แปรปรวนได้มากขนาดนี้ แต่ข่าวที่สีวู่หยาเพิ่งบอกกับตัวเขามาทำให้ยู่เฉิงไห่รู้สึกตกตะลึงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน