ตอนที่ 109-1 เตียงแต่งงาน และคฤหาสน์
หัวหน้าหมู่บ้านดำรงตำแหน่งมาได้หลายปีแล้ว เจ้าหน้าที่ตำแหน่งเล็กๆ ที่เทียบไม่ได้แม้แต่ฝุ่นอย่างเขา ไม่จำเป็นต้องได้รับการแต่งตั้งทุกๆ สามปีเหมือนขุนนางตัวจริงข้างนอกนั่น ตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านของเขา รับตำแหน่งครั้งเดียวเป็นไปตลอดชีวิต ในช่วงการปกครองของเขา แม้จะเรียกไม่ได้ว่าเป็นหมู่บ้านที่มีคนร่ำรวยมากที่สุด แต่ก็ไม่ใช่หมู่บ้านที่ยากจนที่สุดในละแวกนี้แน่นอน
เพื่อให้ชาวบ้านมีชีวิตที่ดี เขาไปเยี่ยมเยือนสถานที่ต่างๆ เพื่อเรียนรู้วิธีสร้างความมั่งคั่งจากคนอื่น แต่โชคร้ายที่ทุกอย่างจบลงด้วยความล้มเหลว จากเมื่อก่อนที่เขาร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้าน รองลงมาคือบ้านสกุลหลัว แต่ตอนนี้คนที่รวยที่สุดในหมู่บ้านกลับกลายเป็นเสี่ยวเฉียว เขาและสกุลหลัวเมื่อเทียบกับความยากจนของชาวบ้านคนอื่นๆ ถือว่ามั่งคั่งมากกว่า แต่ถ้าหากให้พวกเขานำเงินที่เก็บออมไว้ออกมาทั้งหมดจริงๆ ก็ได้เพียงไม่กี่ตำลึงเท่านั้น
ส่วนเสี่ยวเฉียวแตกต่างออกไป แม่หนูคนนี้รวยจริงๆ นางซื้อที่ดินราคาห้าร้อยตำลึง แล้วยังสร้างบ้าน ไหนจะจ้างนายช่างอีกแปดคน รวมแล้วไม่รู้ว่าเป็นจำนวนเงินเท่าไร
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวว่าดอกไม้ไฟเมื่อวานนี้ไม่ใช่ของเสี่ยวเฉียว เขาไม่เชื่อหรอก
หัวหน้าหมู่บ้านมาเยือนบ้านสกุลหลัว
วันนี้เฉียวเวยว่างอยู่พอดี นางย้ายเก้าอี้กับตั่งมานั่งใต้ต้นไม้ที่เย็นสบาย บางครั้งก็ให้จวิ้นเกอร์ที่อยู่ในอ้อมแขนของนางแทะแตงหวานเป็นครั้งคราว
หัวหน้าหมู่บ้านมองปราดเดียวก็เห็นเฉียวเวยแล้ว เขารู้สึกว่าวันนี้สีหน้าของนางดูดี “เสี่ยวเฉียว ท่าทางดีใจขนาดนี้ คงไม่ใช่ว่ามีเรื่องมงคลอะไรกระมัง”
เฉียวเวยใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากให้จวิ้นเกอร์ “เพิ่งฉลองวันเกิดไป ข้าแก่ขึ้นอีกปี จะเป็นเรื่องมงคลอะไร”
หัวหน้าหมู่บ้านตกตะลึง “เมื่อวานวันเกิดเจ้าหรือ บังเอิญจริง เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนจุดดอกไม้ไฟกระมัง”
เฉียวเวยปฏิเสธ “ไม่ใช่แน่นอน ข้าอยู่กับแม่บุญธรรมและคนอื่นๆ ทั้งวัน ถ้าท่านไม่เชื่อก็ไปถามดูได้”
หัวหน้าหมู่บ้านไปถามจริงๆ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อเสี่ยวเฉียว แต่เรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไป
ดอกไม้ไฟคืออะไรน่ะหรือ ตามคำกล่าวของซิ่วไฉเฒ่า มันคือของที่จุดฉลองในวันประสูติของรัชทายาท แล้วเหตุใดหมู่บ้านของพวกเขาถึงสามารถจุดได้ด้วย ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็ยากจนมาก จะมีใครมีเงินเหลือพอที่จะเพลิดเพลินกับความสุขราคาแพงเช่นนี้ ต่อให้มีคนโชคดีเก็บทองคำได้ก็ไม่รู้จักเอามาซื้อดอกไม้ไฟแน่ ชื่อยังไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำ!
ไม่นานหัวหน้าหมู่บ้านก็ออกมาจากหลังเรือนของบ้านสกุลหลัว
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “เป็นอย่างไรบ้าง ข้าไม่ได้โกหกท่านใช่หรือไม่ หัวหน้าหมู่บ้าน”
“ไม่ได้โกหก” หัวหน้าหมู่บ้านรู้สึกท้อแท้
“แค่ดอกไม้ไฟนิดหน่อยเองไม่ใช่หรือ ท่านต้องทำขนาดนี้เชียว” เฉียวเวยแสร้งบีบเสียงเล็กเสียงน้อย แค่ดอกไม้ไฟนิดหน่อยเองจริงหรือ ตัวนางตื่นเต้นอยู่ทั้งคืนจนตอนนี้ขอบตาดำเหมือนหมีแพนด้าหมดแล้ว
หัวหน้าหมู่บ้านนั่งลงตรงข้ามกับนางแล้วหยิบเมล็ดแตงที่อยู่บนตั่งขึ้นมากำหนึ่ง “ข้าถามซิ่วไฉเฒ่าแล้ว เขาบอกว่าจะต้องเป็นบุคคลสำคัญแน่ๆ ที่เป็นคนจุด หมู่บ้านของเราแม้แต่ไก่ยังไม่อึนกไม่วางไข่[1] กว่าจะมีบุคคลสำคัญมาเยือนช่างยากเย็นแสนเข็ญ เจ้าจะไม่ให้ข้าไปทำความรู้จักได้หรือ”
เฉียวเวยพึมพำ “เหตุที่เขาไม่แสดงตัว ก็เพราะไม่อยากทำความรู้จักกับผู้ใดมิใช่หรอกหรือ”
หัวหน้าหมู่บ้านจ้องนางเขม็ง “พูดความจริงสนุกนักหรือ”
เฉียวเวยเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม “ข้าจะไปดูทุ่งนาก่อน หัวหน้าหมู่บ้าน เชิญท่านนั่งตามสบาย”
หัวหน้าหมู่บ้านรู้สึกว่าแม่หนูนี่เหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง…
เหตุการณ์ที่จู่ๆ ก็มีการจุดดอกไม้ไฟในหมู่บ้านกลางเดือนหกเป็นที่โจษจันของชาวบ้านมาสักพักแล้ว ชาวบ้านทั้งหลายพอพบใครเข้าก็จะเล่าเรื่องดอกไม้ไฟที่ถูกจุดขึ้นเต็มท้องฟ้าให้ทุกคนฟัง ในใจเกิดความภาคภูมิใจอย่างไม่รู้ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นคนที่ทราบความหายากของดอกไม้ไฟฟังแล้วแสดงอาการไม่อยากจะเชื่อออกมา ชาวบ้านก็จะยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจมากกว่าเดิม
“มีดอกไม้ไฟจริงๆ หรือ” นายน้อยลูกเศรษฐีจากในเมืองที่มาเรียนในสำนักศึกษาถามขึ้น เขาเป็นหนึ่งในลูกค้าระยะยาวของจิ่งอวิ๋น เนื่องจากครอบครัวร่ำรวย ทั้งยังใจป้ำ จิ่งอวิ๋นจึงดูแลเอาใจใส่มากกว่าคนอื่น ทำให้ชีวิตในสำนักศึกษาค่อนข้างเป็นไปด้วยดี ไม่เหมือนเด็กที่ไม่เชื่อฟังพวกนั้น ทั้งหมดโดนจิ่งอวิ๋น ‘จัดการ’ อย่างน่าอนาถ ด้วยเหตุนี้เขาจึงศรัทธาจิ่งอวิ๋นมากขึ้น แทบจะเรียกน้องชายที่อายุน้อยกว่าเขาหลายปีว่าลูกพี่ เขาจับมือจิ่งอวิ๋นและพูดว่า “จิ่งอวิ๋น เจ้าบอกหน่อย ว่ามีจริงหรือไม่ ข้าไม่เชื่อเอ้อร์โก่วจื่อ”
เอ้อร์โก่วจื่อฮึดฮัด “ทำไมเจ้าถึงไม่เชื่อข้า ข้าบอกว่ามีก็มีสิ! เราทุกคนเห็นกันหมด! จิ่งอวิ๋นก็เห็น เถี่ยหนิวก็เห็น! ใช่หรือไม่เถี่ยหนิว”
เถี่ยหนิวที่มักจะขัดแย้งกับเอ้อร์โก่วจื่อและจิ่งอวิ๋นมาโดยตลอด คราวนี้เขายืนอยู่ฝ่ายเดียวกันกับทั้งสองคนเป็นครั้งแรก “ใช่ ข้าก็เห็น ถ้าโกหกขอให้เป็นลูกสุนัข!”
ในสมัยราชวงศ์ต้าเหลียงดอกไม้ไฟเป็นสิ่งที่หายากกว่าทองคำ เหล่าบรรดานายน้อยตระกูลเศรษฐีเคยเห็นแต่ในตำรา เคยฟังแต่ในละครปาหี่ แต่ไม่เคยเห็นกับตา
ในเวลานี้ จู่ๆ พวกเขาก็อิจฉาเด็กๆ ในหมู่บ้าน ถ้าพวกเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านก็คงดี พวกเขาจะได้เห็นดอกไม้ไฟในตำนานด้วย
ไม่นานเรื่องดอกไม้ไฟก็เล่าลือไปถึงเมืองหลวง หลังจากยิ่นอ๋องถูกจีหมิงซิวเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัส เขาก็ลุกจากเตียงไม่ขึ้น เขาแค้นจีหมิงซิวมิรู้มากมายเท่าใด พอได้ยินว่ามีคนในหมู่บ้านซีหนิวจุดดอกไม้ไฟตลอดคืน เขาแทบไม่ต้องใช้ความพยายามก็เดาได้ว่าเป็นฝีมือใคร
เพื่อเอาใจผู้หญิงคนหนึ่ง ถึงกับใช้ดอกไม้ไฟนับพันชั่ง เล่นใหญ่จริงๆ!
เช่นนี้แล้ว จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูต้องชอบเขามากขึ้นอย่างแน่นอน
ไอ้คนเจ้าเล่ห์!
เขาสูญเสียไปหลายแสนตำลึงแต่กลับไม่ได้อะไรเลย ถ้ารู้แต่แรก เขาคงเอาเครื่องเคลือบลายครามที่มีอยู่เต็มห้องออกไปขายแล้วซื้อเป็นดอกไม้ไฟยังจะดีเสียกว่า อย่างน้อยมันยังทำให้ลูกชายชายตาแลเขาบ้างก็ยังดี
ในวันนี้ ยิ่นอ๋องผู้อุตส่าห์เริ่มอาการดีขึ้นกลับต้องกระอักเลือดอีกหน
ในไม่ช้าบรรดาผู้ตรวจการผู้ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน อาศัยปากโทษฟ้าโทษดินโทษฮ่องเต้ก็ทราบเรื่องนี้ พวกเขาต่างถวายฎีกาด่าจีหมิงซิวอย่างไม่มีชิ้นดี! ไม่มาประชุมราชการก็ช่างเถิด แต่นี่ยังไปจุดดอกไม้ไฟที่เขตชนบทอีก!
ดอกไม้ไฟเป็นของที่จุดในเขตชนบทได้หรือ
แม้ราชวงศ์อยากก็ยังจุดไม่ได้!
เรื่องน่าอภิรมย์ที่สุดสำหรับบรรดาผู้ตรวจการทั้งหลายคือการกล่าวโทษฮ่องเต้ แต่ไม่นานมานี้ พวกเขาเลิกกล่าวโทษฮ่องเต้ หันมากล่าวโทษอัครมหาเสนาบดีแทน พวกเขากล่าวว่าอัครมหาเสนาบดีจีไม่เคารพต่อกฎเกณฑ์ของบรรพบุรุษ ไม่เห็นพระราชอำนาจอยู่ในสายตา บังอาจนำดอกไม้ไฟที่มีแต่ราชวงศ์เท่านั้นที่จะครอบครองได้ไปจุดยังเขตชนบท ยังกล่าวอีกว่าดอกไม้ไฟเป็นของหายากที่ไม่ได้มีกันง่ายๆ แล้วไยอัครเสนาบดีจึงใช้อำนาจหน้าที่จนครอบครองได้มากถึงเพียงนั้น จะต้องมีการสุมหัวกันแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว รีดนาทาเร้นเป็นแน่ หวังว่าฮ่องเต้จะมีพระบัญชาให้สอบสวนอย่างละเอียด
ฮ่องเต้สรวลออกมาทันที
ตลกยิ่งนัก ในที่สุดคนพวกนั้นก็ไม่หาเรื่องเขา เขายังอยากอยู่อย่างสบายหูอีกสักวันสองวัน ขืนจัดการลงโทษจีหมิงซิวเรียบร้อย ผู้ตรวจการพวกนั้นคลายความโกรธ เลิกโทษจีหมิงซิวก็เปลี่ยนมาหาเรื่องเขาแทนสิ ทำเช่นนั้นจะเรียกว่าเขาฉลาดหรือเขาโง่ดีเล่า
บรรดาผู้ตรวจการที่อยู่ในท้องพระโรงต่างเหงื่อไหลพลั่กๆ ดั่งฝนพรำ พวกเขาลำบากลำบนตวัดพู่กันเขียนคำกล่าวโทษมาจากจวนก็เพราะต้องการให้อัครมหาเสนาบดีจีผู้หยิ่งผยองและใช้อำนาจบาตรใหญ่ผู้นั้นเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ แต่น่าเสียดายจีหมิงซิวกลับไม่ติดกับ เขายิ้มกริ่มเข้ามาทุกวัน ไม่เพียงแต่ไม่ชิงชัยเพื่อเอาชนะพวกเขาเท่านั้น แต่กลับส่งคนมามอบลิ้นจี่สดๆ ให้พวกเขาคนละหลายร้อยชั่งอีกด้วย
คนที่อยากให้ใจเย็นลง เขามีแต่จะส่งแตงโมหรือลูกสาลี่มาให้ แต่เขากลับคัดเลือกลิ้นจี่ ผลโตที่ทั้งหวานทั้งสดมาให้โดยเฉพาะ นี่จะบอกว่าพวกเขายังร้อนไม่พอสินะ กล่าวให้ชัดเจนก็คือเขาหาว่าพวกเขากล่าวโทษได้ไม่ร้อนแรงพอนั่นเอง!
บรรดาผู้ตรวจการต่างกระอักเลือดคำโต!
ระหว่างที่ยิ่นอ๋องกับเหล่าผู้ตรวจการกำลังโกรธจีหมิงซิวมากจนกระอักเลือดทรุดกับพื้นอยู่นั้น บ้านบนเขาของเฉียวเวยก็สร้างเสร็จแล้ว
หลังจากผ่านไปห้าสิบวันเต็มๆ คฤหาสน์หลังน้อยในชนบทก็ถูกสร้างขึ้นเรียบร้อย มันล้อมรอบด้วยรั้วไม้สีน้ำตาล บนรั้วปลูกเถากุหลาบสีชมพูอ่อน ยามแต่ละดอกขยับไหวตามสายลมดูราวกับดรุณีน้อยกรีดกรายชดช้อย
เมื่อเข้ามาจากทางประตูหลักจะพบกับเรือนที่มีห้าห้องนอน ด้านหลังเรือนมีลานเล็กๆ พอผ่านลานไปก็จะพบกับห้องที่มีหลังคาต่อกันเป็นแนวยาว มีทั้งหมดสี่ห้อง ตามแผนเดิมของเฉียวเวย ห้องท้ายเรือนจะใช้เป็นห้องครัว โรงเก็บฟืน เล้าไก่และห้องเอนกประสงค์ แต่ตอนนี้ต้องทำเป็นห้องทำงานจึงอาจต้องมีการเปลี่ยนแปลง
ถัดจากท้ายเรือนเป็นสวนขนาดเล็กที่ค่อนข้างปิดมิดชิด ล้อมรอบด้วยเขาหินจำลอง ตรงกลางสวนเป็นสระว่ายน้ำหินอ่อนสีขาวที่มีทั้งเขตน้ำลึกและน้ำตื้น
ด้านซ้ายของเรือนเป็นสวนขนาดใหญ่ ด้านขวาเป็นสวนผักไว้ปลูกผักตามฤดูกาล
คลังสินค้าไม่ได้อยู่ภายในเขตรั้ว ช่วงเริ่มสร้างนายช่างเจิ้งเคยช่วยแนะนำไว้ เขาเกรงว่าเมื่อเฉียวเวยขยายกิจการแล้วอาจต้องจ้างคนงาน หากมีคนนอกเดินเข้าๆ ออกๆ เรือนคงไม่สะดวก นางเป็นหญิงม่ายที่มีลูกติดสองคน อีกทั้งวั่งซูยังเป็นเด็กผู้หญิง กลัวว่าอาจมีคนเลวทรามมาทำมิดีมิร้ายพวกนางสองแม่ลูกได้ พวกเขาจึงสร้างคลังสินค้าไว้นอกคฤหาสน์ แยกออกไปเป็นเอกเทศ อีกทั้งยังสร้างห้องไว้อีกหลายห้องเพื่อเป็นที่กินที่พักของคนงานโดยเฉพาะ กล่าวได้ว่าขบคิดไว้อย่างรอบคอบยิ่งนัก
เฉียวเวยได้ตรวจสอบบ้านแล้ว ย่อมถึงเวลาจ่ายค่าแรงให้กับคนงาน
ตอนแรกที่ว่าจ้างตกลงค่าแรงกันไว้ว่า นายช่างใหญ่วันละหนึ่งร้อยห้าสิบอีแปะ ลูกมือช่างวันละหนึ่งร้อยอีแปะ ส่วนนายช่างเจิ้งไม่คิดค่าแรงตามจำนวนวัน แต่คิดตามกระบวนการก่อสร้าง เหมาค่าแรงตลอดระยะเวลาก่อสร้างทั้งหมดเป็นเงินยี่สิบตำลึง
เฉียวเวยแบ่งค่าจ้างเป็นสามกล่อง กล่องหนึ่งสำหรับนายช่างใหญ่ กล่องหนึ่งสำหรับลูกมือช่าง และอีกกล่องสำหรับนายช่างเจิ้ง
นายช่างเจิ้งนับเงินในสองกล่องแรกต่อหน้าเฉียวเวย หลังจากคำนวณตามจำนวนคนแล้วก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ “ระยะเวลาก่อสร้างคือห้าสิบวัน นายช่างใหญ่จะได้เจ็ดตำลึงห้าร้อยอีแปะ ลูกมือช่างจะได้ห้าตำลึง เหตุใดเจ้าให้เกินมาเล่า” นายช่างใหญ่ได้เกินมาหนึ่งตำลึง ลูกมือช่างได้เกินมาห้าร้อยอีแปะ
เฉียวเวยยิ้มเล็กน้อย “นายช่างทุกคนลำบากลำบนทำงานให้ เงินเล็กน้อยเหล่านี้ถือเป็นรางวัล”
อันที่จริงเฉียวเวยได้คำนวณบัญชีอย่างรอบคอบแล้ว ตามข้อตกลงเดิม ระยะเวลาการก่อสร้างคือสองถึงสามเดือน หากมีฝนก็จะเป็นสามเดือน หากสภาพอากาศเป็นใจก็จะใช้เวลาน้อยที่สุดคือสองเดือน
เมื่อคำนวณจากหกสิบวัน นายช่างใหญ่จะได้เก้าตำลึง ลูกมือช่างจะได้หกตำลึง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเจ็ดตำลึงห้าร้อยอีแปะและห้าตำลึง เมื่อบวกกับรางวัลที่นางมอบให้แล้วก็เป็นเงินแปดตำลึงห้าร้อยอีแปะและห้าตำลึงห้าร้อยอีแปะเท่านั้น คำนวณดูดีๆ แล้วนางยังได้กำไรถึงห้าร้อยอีแปะเลยทีเดียว
หลังจากรู้ความคิดของเฉียวเวย นายช่างเจิ้งก็อดหัวเราะไม่ได้ “เหตุใดเจ้าไม่คำนวณอาหารอีกสองมื้อที่เจ้าเลี้ยงดูด้วยเล่า แต่ละมื้อมีแต่เนื้อสัตว์เนื้อปลา กินกันจนอ้วนท้วนสมบูรณ์ ข้าทำงานมาหลายปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เลี้ยงดูปูเสื่อคนที่ทำงานหนักจนอ้วนท้วนขนาดนี้!”
แต่ก็เพราะว่าอ้วนขึ้น ถึงกลัวคนจะหาว่าเกียจคร้านไม่ยอมทำงานจนอ้วนเป็นหมู ด้วยเหตุนี้จึงตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง ท้ายที่สุดยังไม่ถึงสองเดือนก็ทำงานเสร็จจนได้
ไม่รู้จริงๆ ว่าแม่หนูคนนี้ฉลาดหรือโง่ แต่พูดง่ายๆ ว่านางเอาใจเขามาใส่ใจเรา ให้ประโยชน์ต่อคนอื่นแล้วก็เป็นประโยชน์ต่อตัวนางเองด้วย ทุกคนล้วนมองเห็นความดีของนาง พวกเขาจึงไม่ต้องการทำให้นางผิดหวัง
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว ข้าจะช่วยรับไปให้พวกเขา ประเดี๋ยวเจ้าขึ้นบ้านใหม่ พวกข้าค่อยมาร่วมยินดี!” นายช่างเจิ้งรับค่าจ้างและเปิดค่าแรงส่วนของเขาเอง แล้วก็พบว่าตัวเองก็ได้เกินมาสองตำลึงเช่นกัน “เสี่ยวเฉียว เจ้าจะเกรงใจเกินไปแล้วกระมัง ข้าไม่ได้คิดตามจำนวนวัน ไม่ว่าทำเสร็จช้าหรือเร็วเจ้าก็ไม่ได้กำไร”
เฉียวเวยยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่ว่าทำเสร็จช้าหรือเร็วก็ไม่ต่างกัน แต่คุณภาพนั้นแตกต่างกัน”
นางไม่เคยสร้างบ้านด้วยตัวเอง มีปัญหามากมายที่ไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อนล่วงหน้า นายช่างเจิ้งจะทำงานส่งให้เสร็จๆ ไปก็ย่อมได้ เพราะนางกำหนดความต้องการไว้เพียงเท่านั้น แต่นายช่างเจิ้งกลับไม่กลัวความยุ่งยาก เขาค่อยๆ เลือกและค่อยๆ แก้ไข นางมองเห็นความตั้งใจนั้นของเขา เฉกเช่นเดียวกับที่พวกเขาตั้งใจทำงานเพราะอาหารดีๆ ที่นางทำให้ นางก็มอบเงินให้มากขึ้นเพราะความตั้งใจของพวกเขาเช่นกัน
นายช่างเจิ้งไม่ชอบการเกรงใจไปเกรงใจมา ในเมื่อเสี่ยวเฉียวยืนกรานที่จะทำเช่นนี้ เขาก็ยอมรับตามนี้ อย่างมากหากวันใดที่นางต้องการให้เขาช่วย เขาก็จะมาช่วยนางถึงที่ “แม่สาวน้อยคนนี้ เห็นอายุเท่านี้ แถมยังเป็นสตรี แต่กลับมีสายตากว้างไกลกว่าบุรุษอีก”
เฉียวเวยยิ้ม “ในบ้านเกิดของข้า ชายหญิงล้วนเท่าเทียมกัน ทั้งชายและหญิงต่างสามารถร่ำเรียน ทำงาน หาเงินเลี้ยงดูครอบครัวได้”
นายช่างเจิ้งอ้าปากค้าง “เอ๋ มีสถานที่เช่นนั้นด้วยหรือ…”
อันที่จริงแล้ว แม้แต่ในที่ที่เฉียวเวยอยู่ ก็ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะเป็นคนบ้างาน เฉียวเวยเป็นคนแปลก อยู่เฉยๆ ไม่ได้ เมื่ออยู่เฉยๆ จะรู้สึกไม่สบายตัว เมื่อมาอยู่ในสมัยโบราณก็เช่นกัน ทั้งทำการค้า ทำนา เลี้ยงลูก ไม่ยอมพลาดสักอย่าง ยิ่งทำงานตัวเป็นเกลียวก็ยิ่งเหมือนลูกข่าง หมุนมากเท่าใดก็มั่นคงเท่านั้น
หลังจากจ่ายค่าแรงให้เหล่าคนงานเรียบร้อย เฉียวเวยก็คิดค่าแรงให้กับแม่ของเอ้อร์โก่วจื่อกับป้าจ้าวด้วย ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาต้องขอบคุณที่พวกนางมาช่วยทำอาหาร ทำให้คนงานมีอาหารเพียงพอและมีกำลังในการทำงาน นางเป็นคนซื้อวัตถุดิบมาก็จริง แต่กว่าจะได้รสชาติที่กลมกล่อมเช่นนั้น ทั้งสองคนก็ต้องลำบากอยู่ไม่น้อย
นอกจากทำอาหารแล้ว ทั้งสองคนยังรับผิดชอบทำความสะอาดสถานที่ก่อสร้างทุกวัน แม้ไม่ถึงกับเหนื่อย แต่ก็ต้องใช้เวลาอยู่ที่นี่ทั้งวัน เฉียวเวยจึงให้ค่าแรงวันละเก้าสิบอีแปะ ใกล้เคียงกับค่าแรงของลูกมือช่าง
เท่าที่เฉียวเวยทราบมาค่าแรงของพ่อครัวสูงมาก ตอนแรกเฉียวเวยจะจ่ายค่าแรงให้เท่ากับนายช่างใหญ่ด้วยซ้ำ แต่เมื่อป้าหลัวรู้เขา นางก็ตกใจแทบแย่ ป้าหลัวบอกเฉียวเวยว่าจะให้ผู้หญิงมากกว่าผู้ชายไม่ได้ เฉียวเวยถามว่าทำไม ป้าหลัวก็พูดอยู่นานแต่กลับบอกเหตุผลที่จริงจังออกมาไม่ได้ นางเพียงบอกว่ามันเป็นกฎ
เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เฉียวเวยไม่ต้องการทำตัวเด่นเกินไป จากราคาทั่วไปแปดสิบอีแปะจึงเพิ่มมาอีกสิบอีแปะ เพียงแต่คนอื่นเขาจ้างคนมาทำอาหารเพียงครั้งละหนึ่งคน แต่เฉียวเวยจ้างมาถึงสองคน คนละเก้าสิบอีแปะ ไม่เพียงแต่ได้เงินเยอะ แต่ยังได้มาอย่างสบายๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าป้าจ้าวกับแม่ของเอ้อร์โก่วจื่อนั้นมีความสุขมากเพียงไร
“เสี่ยวเฉียว ต่อไปถ้าเจ้าต้องการคนอีกก็เรียกข้านะ! ข้าไม่คิดเงินจากเจ้าหรอก!” แม่ของเอ้อร์โก่วจื่อหยิบถุงเงินด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่เมื่อนับเงินแล้วกลับพบว่ามีเงินเกินมาสี่ร้อยอีแปะ “ทำไม ทำไมมากมายปานนี้”
เฉียวเวยยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ได้ทุกคน ท่านป้ากับท่านน้ารับไปเถอะ”
ภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน นางทำเงินได้เกือบห้าตำลึง เรื่องนี้เป็นเรื่องดีที่นางไม่คิดไม่ฝันมาก่อน แม่ของเอ้อร์โก่วจื่อรับไปอย่างมีความสุข
เมื่อป้าจ้าวได้รับเงิน นางไม่ได้นับเงินในทันที แต่หยิบเงินออกมาสองตำลึง “เสี่ยวเฉียว นี่เป็นเงินที่ติดค้างเจ้าเมื่อคราวก่อน”
เฉียวเวยเหลือบมองเงินบนโต๊ะแล้วกล่าวว่า “ค่าลงทะเบียนของการสอบเสินถงเพียงหนึ่งตำลึงเท่านั้น”
ป้าจ้าวพูดอย่างเขินอาย “ข้ารู้ แต่ของกินและค่าใช้จ่ายตอนอยู่เมืองหลวงล้วนแต่ใช้เงินของเจ้า อาเซิงบอกข้าว่าของในเมืองหลวงแพงทุกอย่าง ไม่รู้ว่าเงินหนึ่งตำลึงนี้เพียงพอหรือไม่… “
“เรื่องนี้ก็ส่วนเรื่องนี้ หากข้าไปทานข้าวบ้านท่าน ท่านจะเก็บเงินข้าด้วยหรือไร”
“ไม่แน่นอน!” ป้าจ้าวตอบ
เฉียวเวยจึงกล่าวว่า “ถูกต้องแล้ว ครอบครัวของเราสองคนเป็นญาติกัน ข้าพาลูกของญาติไปทานอาหาร ยังต้องให้เด็กควักเงินจ่ายเองเช่นนั้นหรือ”
“ดูเหมือน…จะเป็นเช่นนั้นจริง แต่มันก็ราคาแพงเกินไป…” ป้าจ้าวพูดอย่างไม่สบายใจ
เฉียวเวยปลอบนางและพูดว่า “แค่อาหารไม่กี่มื้อเท่านั้น ป้าจ้าวไม่ต้องกังวล อย่าเห็นเป็นคนอื่นคนไกลกันเลย”
ป้าจ้าวยิ้มอย่างกระดากอาย “ถ้าอย่างนั้น…ข้าจะไม่มองเจ้าเป็นคนอื่น”
ตกเย็นเมื่อเฉียวเวยกลับไปทานอาหารเย็นที่บ้านสกุลหลัว ป้าหลัวถามว่านางใช้เงินไปทั้งหมดเท่าไร
เฉียวเวยพุ้ยข้าวกินคำหนึ่ง “นายช่างใหญ่สี่คน ลูกมือช่างสี่คน นายช่างเจิ้ง แม่ของเอ้อร์โก่วจื่อ และป้าจ้าว รวมแล้วไม่ถึงเก้าสิบตำลึง”
ป้าหลัวตักน้ำแกงเห็ดกระเพาะแพะช้อนหนึ่งให้นาง “เหตุใดสร้างบ้านสมัยนี้ถึงแพงนัก ตอนข้ากับตาเฒ่าหลัวสร้างยังใช้ไม่ถึงยี่สิบตำลึงเอง”
เฉียวเวยกินเห็ดกระเพาะแพะแสนอร่อยหนึ่งคำ “ของขึ้นราคาอย่างไรเล่า!”
ป้าหลัวจิ๊ปาก “ข้าไม่คิดอย่างนั้น ตาเฒ่าเติ้งที่อยู่หมู่บ้านถัดไปก็สร้างบ้านเหมือนกัน พวกเขาใช้เงินไปแค่สามสิบตำลึง จ้างนายช่างแค่สี่คนเท่านั้น”
เฉียวเวยคิดในใจ บ้านของนางมีทั้งหิน ทั้งไม้ แถมยังใช้หินเขียวด้วย ไหนจะสร้างบ้าน ขุดบ่อน้ำ สร้างสวนหย่อม สร้างสวนผัก แล้วยังสร้างคลังสินค้าอีก หากคนน้อยก็ทำไม่ไหว ถึงยืดเวลานานขึ้นไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ต้องง่ายค่าแรงเท่าเดิมมิใช่หรือ
“แต่ของตาเฒ่าเติ้งเป็นบ้านหลังเล็ก แต่ของเจ้าเป็น…เป็น…” ป้าหลัวจำคำนั้นไม่ได้
วั่งซูน้อยยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “คฤหาสน์หลังน้อยเจ้าค่ะ!”
เฉียวเวยยิ้ม ป้อนเห็ดกระเพาะแพะให้นางคำหนึ่ง “เจ้าจำได้ด้วยหรือ”
วั่งซูพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ๆ ข้าเก่งมากหรือไม่”
เฉียวเวยหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางของนาง “ใช่แล้ว วั่งซูเก่งที่สุด”
“ข้ารู้อยู่แล้ว!” วั่งซูกระดิกหางเล็กๆ ที่มองไม่เห็นข้างหลังอย่างดีใจ แล้วคีบปลาตุ๋นน้ำแดงชิ้นหนึ่งให้พี่ชาย “ท่านแม่บอกว่าทานปลาจะทำให้ฉลาด ท่านพี่ ท่านต้องทานให้เยอะๆ นะ จะได้เก่งเหมือนข้า”
จิ่งอวิ๋น “…”
“เครื่องเรือนจะมาถึงเมื่อใด” ป้าหลัวถาม
[1]แม้แต่ไก่ยังไม่อึ นกยังไม่วางไข่ หมายความว่า สถานที่นั้นกันดารมาก ไม่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัย