บทที่ 327 เคยได้ยินเรื่องของเจ้าสาวน้อยหรือไม่
บทที่ 327 เคยได้ยินเรื่องของเจ้าสาวน้อยหรือไม่
หลินเหราไหวตัวและก้าวไปข้างหน้า โอบเอวของเหยาซูไว้ ก่อนจูบเบา ๆ ลงบนริมฝีปากของนาง “เจ้ากำลังคิดอยู่”
เหยาซูวางมือบนเอวของชายหนุ่ม ด้วยระยะห่างของทั้งสองคน ทำให้หญิงสาวได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเเรงของบุรุษผู้เป็นสามีอย่างชัดเจน
หญิงสาวซบหน้าผากลงบนไหล่กว้างของชายหนุ่ม เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่นิ่มนวล “คิดหรือ? คิดเรื่องอะไรเล่า?”
ท่ามกลางฝนตกกระหน่ำ สายลมได้พัดพากลิ่นของน้ำฝนและความสดใหม่ของดินอวลในอากาศ ไม่มีอะไรสามารถทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสบายใจและอบอุ่นได้มากไปกว่ากลิ่นหอมจากเรือนผมของเหยาซูอีกแล้ว
เสียงเบา ๆ ของชายหนุ่มยังคงกังวานอยู่ในโสตประสาทของหญิงสาว “อาซู ข้ากำลังคิดว่า จะเป็นอย่างไรถ้าเราไม่ได้พูดคุยกัน”
เหยาซูหลับตาลงภายในอ้อมแขนของชายหนุ่ม บรรยากาศรอบข้างดูราวกับว่าโลกทั้งใบได้เงียบลง
หญิงสาวครุ่นคิดเกี่ยวกับคำถามของหลินเหรา จากนั้นก็ยิ้มแล้วพึมพำ “ถ้าเกิดว่าเราไม่ได้พูดคุยกัน บางทีเราอาจจะเป็นคนแปลกหน้าภายใต้ชายคาเดียวกัน…สิ่งนี้คงไม่ส่งผลอะไรต่อชีวิตท่าน”
หลินเหราส่ายหน้า แขนของชายหนุ่มกลับค่อย ๆ สวมกอดแน่นขึ้น ราวกับว่าจะบีบเหยาซูให้เเตกสลายภายในอ้อมเเขนของตน
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็กล่าวเบา ๆ “ข้าไม่เคยคิดมาก่อน หากระหว่างเราสองคนไม่ได้พูดคุยกันเลยมันก็ไม่ได้ผิดอะไรนัก ดูเหมือนว่าสามีภรรยาส่วนใหญ่จะเป็นเช่นนี้ ใช้ชีวิตด้วยความเคารพและให้เกียรติ”
ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมา “แต่ตอนนี้หัวใจของเราเชื่อมโยงกัน ข้าจึงคิดว่าข้าไม่อาจรับสภาพเช่นเมื่อก่อนได้อีกแล้ว”
น้อยครั้งที่ชายหนุ่มจะบอกความรู้สึกภายในจิตใจต่อหน้าหญิงสาว แม้แต่การแสดงอารมณ์ของเขาก็ยังเฉยเมยอยู่เสมอ
ทว่าพายุฝนฟ้าคะนองในฤดูร้อนนี้ทำให้หลินเหรารู้สึกอบอุ่นใจ ราวกับว่าอารมณ์ที่ถูกกดทับอยู่ในอกของเขามาเป็นเวลานานได้พรั่งพรูออกมาพร้อมกับฝนที่ตกหนัก
“อื้ม” เหยาซูตอบเบา ๆ หนึ่งคำ หญิงสาวออกเเรงกอดกลับเหมือนที่ชายหนุ่มได้กอดนาง
นางรู้ว่าความขัดแย้งและการเผชิญหน้าที่รุนแรงในอดีต เป็นเพราะฝ่ายชายไม่เคยพูดอะไร แต่ภายในใจกลับมีอุปสรรคอยู่เสมอ
เมื่อเหยาซูเสนอการแยกทาง หลินเหราไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เขาจึงมักใช้วิธีอ่อนข้อให้หญิงสาวอยู่เสมอ เมื่อเหยาซูคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่อาจแก้ไขความเข้าใจผิดเหล่านั้นได้
ท้ายที่สุดนั้นเป็นเพราะทั้งสองฝ่ายมีความเชื่อใจกันไม่พอ จึงทำให้เกิดความต้องการที่จะแยกตัวออกไป
แม้ว่าหลินเหราจะไม่ได้พูดอะไร เเต่ภายในใจของเขายังคงกังวลว่าวันหนึ่งหญิงสาวจะจากไปอีกครั้งหรือไม่
ท่ามกลางพายุฝนยามคิมหันต์ เสียงอันนุ่มนวลแต่แฝงไปด้วยความมั่นใจของเหยาซูได้ดังข้างหูของชายหนุ่ม “ข้าขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้ข้าได้พบกับท่าน ท่านกับลูก ๆ ล้วนคือของขวัญของข้า และเป็นคนที่ข้าจะทะนุถนอมด้วยความปีติและซาบซึ้งตลอดชีวิตของข้า อาเหรา ท่านยินยอมจะเดินร่วมทางไปกับข้าไหม?”
ชายหนุ่มหัวเราะจนสัมผัสได้ผ่านการสั่นสะเทือนของหน้าอก ทำให้หัวใจของเหยาซูที่อยู่ใกล้ ๆ รู้สึกปีติเช่นกัน
ชายหนุ่มตอบกลับ “ข้ายินยอม เเละข้าเองก็ดีใจมากเช่นกัน”
เหยาซูเงยหน้าขึ้นมามอง รอยยิ้มที่งดงามราวกับดอกท้อ ทำให้หัวใจของชายหนุ่มสั่นไหว
ในตอนดึกทั้งสองก็ได้กลับเข้าห้องอย่างเงียบเฉียบ เด็ก ๆ ล้วนหลับกันแล้ว
เหยาซูวางตะเกียงไว้ไกลออกไป หยิบผ้าเช็ดตัวที่แห้งและนุ่มออกมาสองผืน ยื่นให้หลินเหราและพูดด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “เช็ดผมเสีย เปียกหมดแล้ว”
หลินเหรารับผ้าเช็ดตัวจากมือหญิงสาว เขาถอดเสื้อคลุมของนางออกแล้วกระซิบ “มานี่ ข้าจะเช็ดผมเจ้าให้แห้งก่อน”
เหยาซูหันกลับมาด้วยรอยยิ้ม เผชิญหน้ากับชายหนุ่มและแก้มวยผมของตนออก
ผมสีดำยาวสลวยราวกับธารน้ำตกเจือความชื้นเล็กน้อยแผ่สยายตรงหน้าหลินเหรา ทำให้เกิดความอ่อนโยนขึ้นในใจของเขา
การเคลื่อนไหวของชายหนุ่มนั้นก็อ่อนโยนขึ้นมากเช่นกัน เขาจับผมสีดำหมาดชื้นของเหยาซูไว้ในมือ ออกแรงเช็ดมันเบา ๆ และเอ่ยว่า “ถ้าวันข้างหน้าอาซือมีผมเหมือนกับเจ้าก็คงจะดีมาก”
เหยาซูขมวดคิ้ว “หืม อย่างไรนะ?”
หลินเหราเคยสระผมให้บุตรสาว เขาพบว่าผมของบุตรสาวกับมารดานั้นช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ชายหนุ่มอธิบายว่า “ผมของอาซือบางและนุ่มเกินไป ทั้งยังเจือสีน้ำตาลเล็กน้อย”
เหยาซูระเบิดหัวเราะออกมา ถึงเเม้ว่านางพยายามอย่างที่สุดที่จะหยุดมัน แต่นางก็ไม่สามารถหยุดหัวเราะได้
หลินเหราเงยหน้ามามองอย่างไม่เข้าใจ “เกิดอะไรขึ้น ข้าพูดไม่ถูกหรืออย่างไร?”
บางครั้งผู้ชายก็ฉลาดและมีความสามารถ แต่บางครั้งพวกเขาก็ไม่เข้าใจแม้กระทั่งสามัญสำนึกที่พื้นฐานที่สุดด้วยซ้ำ เหยาซูคิดว่ามันช่างตลกมาก
หญิงสาวกลั้นหัวเราะและชี้ไปที่ผมของตน “ท่านเคยเห็นผมของเด็กผู้หญิงคนไหนเป็นสีดำเยี่ยงนี้บ้าง ที่ผมบางและอ่อนนุ่มแบบนั้น ก็เพราะว่าเป็นผมของเด็ก…”
หลินเหราชะงักไปครู่หนึ่ง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า
เหยาซูขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เคยได้ยินเรื่องของเจ้าสาวน้อยหรือไม่ อาซืออายุประมานนี้ ก็เป็นเจ้าสาวน้อยได้แล้ว”
หลินเหราตกตะลึง การแสดงออกที่โดยปกติจะเย็นชาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเขินอายขึ้นมาบ้าง ใบหน้าของท่านแม่ทัพซับสีเเดงขึ้นเล็กน้อย
เหยาซูจับการแสดงออกเพียงเล็กน้อยบนใบหน้าของชายหนุ่มได้ จึงโน้มตัวเข้าไปใกล้ มองอย่างจับสังเกต และยิ้มออกมาทันที “อะไร นี่ท่านหน้าแดงหรือ?”
หลินเหราหัวเราะเบา ๆ ดวงตาลึกซึ้งของเขาเต็มไปด้วยแววขำขัน เขาลากเหยาซูมาที่ด้านข้างของเขาแล้ววางผ้าเช็ดตัวลงบนศีรษะและใบหน้าของนาง
มือของชายหนุ่มไม่หยุดขยับและพูดอย่างเคร่งขรึม “รีบเช็ดศีรษะให้แห้งเสีย ดึกแล้ว”
เหยาซูหรี่ตาลง รู้สึกได้ถึงแสงสีส้มด้านนอกผ้าเช็ดตัว เเละหัวเราะด้วยเสียงเบา ๆ ใต้ผ้าผืนนุ่ม
หลังจากที่อารมณ์ของหลินเหราสงบลง เขายกผ้าเช็ดตัวขึ้นหันกลับมาเช็ดผมอีกด้านของเหยาซู
เหยาซูใช้โอกาสนี้โอบเอวของหลินเหรา มองดูท่าทางเคร่งขรึมของชายผู้นี้จากล่างขึ้นบน แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านหัวเราะเยาะข้าทุกวัน เเต่ไม่ให้ข้าพูดอะไรกับท่าน ต่อให้เป็นคนธรรมดาก็ยังต้องจุดตะเกียง[1] นะ…”
หลินเหราถูกหญิงสาวหัวเราะเยาะใส่ ทำให้สีหน้าของชายหนุ่มดูตึงเครียด แต่หารู้ว่ารอยยิ้มในแววตาของเขาได้ทรยศต่อเขาแล้ว
ชายหนุ่มกล่าวเบา ๆ “ข้าไม่ใช่ผู้ปกครอง จึงไม่รู้ว่าจะจุดไฟเยี่ยงไร พวกเราอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขเช่นน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง ดีหรือไม่”
สองมือของเหยาซูยังคงโอบเอวของชายหนุ่มไว้ เพียงขมเม้มริมฝีปากแน่นแล้วส่ายหัว “ไม่ดี”
สายฝนที่โหมกระหน่ำ ค่อย ๆ เบาบางลง เด็กทั้งสามที่ผล็อยหลับไปแล้ว ในห้องเงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอได้อย่างชัดเจน
หลินเหราพาเหยาซูขยับมาหนึ่งก้าว ให้นางนั่งบนเก้าอี้ จากนั้นชายหนุ่มโน้มตัวลงและเอนตัวเข้าไปใกล้ใบหน้าของหญิงสาว
แผ่นหลังของเหยาซูพิงกับโต๊ะแปดเซียน ไร้ซึ่งหนทางหลบหนี ชั่วขณะหนึ่ง ร่างกายของนางทั้งหมดถูกล้อมด้วยลมหายใจของหลินเหรา
เมื่อเห็นท่าไม่ดี นางจึงรีบอ้อนวอนขอความเห็นใจ “พอแล้ว พอแล้ว ข้าผิดไปแล้ว มาเป็นคู่รักตัวอย่างกันเถอะ รักกัน รักกัน ไม่ทะเลาะกันดีไหม”
หลินเหราตอบด้วยน้ำเสียงเดียวกันกับเหยาซู “ไม่ได้”
ลมหายใจอุ่นร้อนของชายหนุ่มค่อย ๆ พ่นรดต้นคอของหญิงสาว เหยาซูรู้สึกชาวาบและไม่สามารถหยุดหัวเราะได้ กล่าวด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “มันจั๊กจี้ ท่านลุกขึ้นก่อน”
หลินเหราค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า
ชายหนุ่มไม่ขยับและไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงเเค่ใช้ดวงตาสีดำจ้องมองหญิงสาวอย่างเงียบ ๆ
ดูราวกับว่าเวลาจะเดินช้าลงเรื่อย ๆ ในชั่วพริบตา ทั้งสองก็จำสิ่งใดไม่ได้ รอบตัวกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า มองเห็นเพียงกันและกันเท่านั้น
เหยาซูหลงอยู่ในแววตาที่ลุ่มลึกของชายหนุ่ม ในเวลานี้ นางพลันเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทำไมผู้คนถึงมักจะเปรียบเทียบว่า ‘ความรักลึกซึ้งดั่งท้องทะเล’
ความรู้สึกทั้งหมดในสายตาของหลินเหรานั้นลึกซึ้ง
หญิงสาวไม่อาจละสายตาที่ลึกซึ้งและจริงใจนั้นได้ชั่วขณะ พลันหลุดเอ่ยปากออกไปว่า “อาเหรา ตาของท่านสวยมาก”
ดวงตาคู่นั้นถูกเติมเต็มด้วยแสงแห่งความสุข เกล็ดหิมะที่เคยเย็นชาในอดีตพลันละลายหายไป เหยาซูเห็นและสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของหลินเหราอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาเป็นครั้งแรก
หญิงสาวรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าตัวเองรู้จักชายหนุ่มมากขึ้น
ไม่รู้ว่าผ่านมานานเเค่ไหนแล้ว เหยาซูถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าหลังของตนเริ่มเจ็บขึ้นมา นางขยับร่างกายส่วนบนเบา ๆ “โต๊ะนี้เเข็งจัง”
หลินเหรายืดตัวขึ้น และดึงเหยาซูให้ลุกขึ้นเช่นกัน
ฝ่ามือใหญ่ของชายผู้นี้จับแผ่นหลังของเหยาชู เคลื่อนฝ่ามือลูบเบาๆ ตรงตำแหน่งที่นางชนโต๊ะแปดเซียน และถามเสียงต่ำว่า “เจ็บไหม ตอนนี้เจ้ารู้สึกดีขึ้นแล้วหรือยัง?”
เหยาซูพยักหน้า
ในห้องเกิดเสียงดังออกมา หญิงสาวพลันเหลือบมองตะเกียงน้ำมัน เนื่องจากไม่มีใครจัดการกับไส้ตะเกียงมาเป็นเวลานาน แสงจากตะเกียงน้ำมันจึงสลัวลงมาก
หญิงสาวเงยหน้ามองเเล้วพูดด้วยความโมโห “ข้าบอกท่านเเล้วว่ากลับมาให้รีบเข้านอน เร่งเช็ดผมเร็วเข้า ตอนนี้ดึกมากเเล้ว”
เหยาซูไม่ได้คาดคิดว่าหลังจากที่เช็ดผมเสร็จจะสามารถพูดคุยต่อได้นานขนาดนี้
หลินเหราวางผ้าเช็ดตัวในมือลง ริมฝีปากบางของเขายกขึ้นเล็กน้อย และพูดด้วยเสียงต่ำว่า “อื้ม ข้าเช็ดผมของเจ้าเสร็จแล้ว ไปนอนก่อนเถิด เสร็จแล้วข้าจะตามไป”
ตอนนี้ดึกมากแล้ว ประกอบกับวันนี้หญิงสาววิ่งวุ่นไปทั้งวัน เมื่อได้ยินชายหนุ่มพูดคำว่านอนหลับ หญิงสาวก็หาวออกมาโดยไม่รู้ตัว
นางพยักหน้า “ได้ ท่านก็รีบจัดการอะไรให้เสร็จ…”
หลินเหราขานรับ
เหยาซูขยี้ตาพลางเดินไปที่เตียง หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเเล้ว นางก็เข้าไปซุกตัวอยู่ในผ้าห่มรอหลินเหรา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเเค่ไหน ตะเกียงน้ำมันในห้องถูกเป่าให้ดับลง จากนั้นร่างปกคลุมไปด้วยไอชื้นของชายหนุ่มก็ทิ้งกายนอนลงข้าง ๆ เหยาซูอย่างแผ่วเบา
หญิงสาวเผลอหลับไปแล้วพักหนึ่ง ครั้นได้ยินเสียงเคลื่อนไหวราวกับอยู่ในความฝัน จึงกึ่งบ่นกึ่งถามออกมาว่า “ทำไมตัวท่านเปียก ออกไปข้างนอกมาหรือ”
ภายในห้องที่มืดสนิท แต่หลินเหรากลับเห็นเหยาซูที่กำลังหาวได้อย่างชัดเจน ขนตาสีดำงอนงามค่อย ๆ เปียกชื้นเพราะน้ำตา
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของเหยาซู ก่อนจูบที่ใบหน้าเเล้วกล่าวเสียงเบา “ไม่ได้ออกไป วันนี้เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว รีบนอนซะ”
“อื้ม” เหยาซูตอบอย่างงัวเงีย และขยับตัวเข้าไปใกล้หลินเหราอย่างไม่รู้ตัว สูดกลิ่นหอมสะอาดบนร่างกายของเขา และหลับตาลงอีกครั้ง
เพียงไม่นานหญิงสาวก็เข้าสู่ภวังค์ แต่หลินเหรากลับไม่รู้สึกง่วงเลย
คืนนี้เขาได้สนิทสนมกับเหยาซูมากขึ้น เมื่อสักครู่เขาไปอาบน้ำมา หลังจากกลับมาเนื้อตัวก็ยังคงแห้งอยู่เหมือนเดิม
ท่าทางงัวเงียของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มหักห้ามใจไม่ได้ที่จะกวนนาง
ชายหนุ่มค่อย ๆ พลิกตัวนอนตะแคงอยู่ด้านข้างของเหยาซู ดวงตาจ้องมองใบหน้าของหญิงสาวอย่างถี่ถ้วนมานับครั้งไม่ได้แต่ก็ยังไม่เบื่อหน่าย สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้ ซับจูบเบา ๆ อีกครั้งบนใบหน้าของนาง
เหยาซูขมวดคิ้ว กำลังซ่อนตัวอยู่ภายใต้ความฝัน พึมพำออกมาไม่กี่คำ ส่วนใหญ่จะเป็นการเรียกชื่อสามีของตน
หลินเหราหัวเราะออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง นอนนิ่งอยู่ข้าง ๆ ไม่ขยับ หลังจากที่พอใจแล้วชายหนุ่มก็หลับตาลง
ชีวิตสงบสุขก็นับเป็นเรื่องที่ดี ผู้คนส่วนมากคิดเช่นนี้
แต่เมื่อได้อยู่ในเมืองหลวงที่เฟื่องฟูแบบนี้ ประโยคนั้นก็คงเป็นคำร้องขอที่มากเกินไป
………………………………………………………………………………………………………
[1] มาจากสำนวนว่า 只许州官放火,不许百姓点灯 ผู้ปกครองจุดไฟได้ แต่ประชาชนห้ามจุดตะเกียง) หมายถึงคนเป็นใหญ่เป็นโตสามารถทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาทำบ้างจะถูกสั่งห้าม
สารจากผู้แปล
อยู่กันอย่างไรให้คืนฤดูร้อนกลายเป็นค่ำคืนวสันต์คะ อ๊ายยย
ไหหม่า(海馬)