ตอนที่ 335 สิ่งที่ได้รับหลังการสูญเสียย่อมล้ำค่าเสมอ

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 335 สิ่งที่ได้รับหลังการสูญเสียย่อมล้ำค่าเสมอ

ไม่ ! ไม่ ! ! ต้องโทษข้า เป็นเพราะข้า ! ถ้าเด็กน้อยไม่เข้ามาช่วยข้าไว้ นางก็จะไม่บาดเจ็บที่แขน หากนางไม่บาดเจ็บแล้ว อย่าว่าแต่เสือตัวเดียวเลย แม้จะมาเป็นคู่ก็ไม่มีทางทำให้นางบาดเจ็บได้ !

เสี่ยวเว่ย เว่ยเว่ย…ดวงตาสองข้างของเขาพร่ามัว สองแก้มเริ่มเย็นยะเยือก…เสี่ยวเว่ยของเขา คู่หมั้นของเขา…

เจียงโม่หานรู้สึกราวกับว่าขาหนักขึ้นเป็นพันชั่ง เขาค่อย ๆ เดินเข้าหาคนที่นอนอยู่บนหิมะทีละก้าว คล้ายว่าการทำเช่นนี้จะช่วยหลอกตัวเองจากความเป็นจริงได้

เจียงโม่หานค่อย ๆ นั่งลงข้างหลินเว่ยเว่ย น้ำตาไหลอาบใบหน้าซีดเซียวนั้นโดยไร้สุ้มเสียง จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ยื่นมือสั่นเทาเข้าใกล้ใบหน้าของหลินเว่ยเว่ย…

เจ้าหนูน้อยขยี้ตา หลังเห็นรอยเลือดกระเซ็นบนเสื้อคลุมสีขาวราวหิมะของเจียงโม่หานแล้ว เขาก็ถามขึ้นมาด้วยความตกใจ “พี่โม่หาน ท่านบาดเจ็บหรือ ? ”

“ว่าอย่างไรนะ ? ” ทันใดนั้นร่างที่นอนอยู่บนหิมะประหนึ่งศพก็ลุกขึ้นมานั่ง ดวงตาที่เคยปิดก็เบิกกว้างในทันทีพร้อมมองสำรวจตัวเจียงโม่หานตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “บัณฑิตน้อย เจ้าบาดเจ็บหรือ ? ตรงไหน เจ้าบาดเจ็บตรงไหน ? ”

เจียงโม่หานถลึงตามอง ‘วีรสตรีแขนเดียว’ เนื่องจากหลินเว่ยเว่ยใช้แขนข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บลูบคลำไปตามตัวของเขาเพื่อสำรวจว่าบาดเจ็บตรงไหน

“ข้าไม่ได้บาดเจ็บ เจ้าไม่…” เดิมทีเขาคิดว่าตนมีชีวิตมาชาติหนึ่งแล้วจึงทำให้ชินชาต่อความเป็นความตาย ทว่าในตอนนี้เขากลับไม่กล้าพูดคำนั้นออกมา “ไม่เป็นไรก็ดี ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ! ”

เจียงโม่หานดึงตัวนางเข้ามาสวมกอด จนแทบที่จะฝังตัวนางเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของตัวเองเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่ได้รับหลังการสูญเสียย่อมล้ำค่าเสมอ ! ที่แท้นางก็เข้ามาอยู่ในหัวใจโดยที่เขาไม่รู้ตัว…

“เจ็บ เจ็บ เจ็บ…” หากเปลี่ยนเป็นเวลาปกติ นางจะยินดีต่อการออกตัวที่ยากจะได้พบเห็นของบัณฑิตหนุ่มมาก ทว่าตอนนี้นางเจ็บแขนจนจะตาย ! กระดูกต้องหักแน่ แถมเลือดก็ยังไหลไม่หยุด…หลินเว่ยเว่ยร้องไห้ออกมาทันที !

วันนี้นางใส่เสื้อคลุมสีแดงออกจากบ้าน พอมีเลือดไหลก็เห็นไม่ชัดเจน เจียงโม่หานลองสัมผัสมัน ทันใดนั้นมือของเขาก็เปียกชุ่มไปหมด เขาจึงรีบออกแรงฉีกแขนเสื้อนางออก…

“พี่รอง ! ” ทันใดนั้นเจ้าหนูน้อยก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม ตอนนี้เขากำลังร้องไห้ด้วยความเป็นห่วง

ลู่เหวินจวินมองแค่แวบเดียวก็หันไปมองทางอื่น แต่ในสมองยังคงเต็มไปด้วยภาพเลือดแดงฉานอีกนาน

เจียงโม่หานหลับตา แขนน้อย ๆ ของหลินเว่ยเว่ยมีรอยเขี้ยวให้เห็นลึกจนถึงกระดูกและยังมีเนื้อบางส่วนฉีกขาดจนเห็นเนื้อเยื่อสีแดงที่อยู่ชั้นใน…แขนทั้งท่อน ดูจะไม่เหลือสภาพที่ดีให้เห็น

ต่อจากนั้นเขาก็ฉีกผ้าจากชุดของตนออกเพื่อมาผูกแขนให้นาง พอรับกระบอกน้ำที่หลินเว่ยเว่ยส่งให้แล้วก็เริ่มล้างบาดแผลให้อย่างระมัดระวัง โรยยาสมานแผลและห้ามเลือด จากนั้นก็ใช้เศษผ้าพันแผลให้กระชับกว่าเดิม

“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นอะไรหรอก ! ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็กลับมากระโดดโลดเต้นได้เหมือนเดิมแล้ว ! ” หลินเว่ยเว่ยปลอบทุกคน

เจียงโม่หานไม่ได้เถียงอะไร เพียงก้มตัวลงเพื่อจะอุ้มนางเท่านั้น แต่หลินเว่ยเว่ยลุกขึ้นยืนเองและกระโดดอยู่ที่เดิมสองสามครั้งเพื่อแสดงว่าตนสามารถเดินเองได้ ขากลับยังต้องเดินข้ามเขาอีกหนึ่งลูก บัณฑิตหนุ่มไม่เหมือนนางที่เกิดมามีพละกำลังมหาศาล นางไม่เป็นอะไร ดังนั้นจึงอย่าทำให้เขาเหนื่อยจนเป็นอะไรขึ้นมาแทนจะดีกว่า !

“จริงสิ บัณฑิตน้อย ภาพวาดของเจ้าล่ะ ! ” นั่นเป็นผลงานชิ้นเอกที่เขาวาดอยู่นานสองนาน แม้อย่างอื่นจะหายไปแต่พวกมันจะหายไม่ได้ ! หลินเว่ยเว่ยกลัวว่าในภูเขาลูกนี้จะยังมีอันตรายรออยู่อีก จึงออกตัวจะไปตามหาอุปกรณ์และภาพวาดกับเจียงโม่หาน ขณะเดียวกันก็จะได้ไปเก็บดอกเหมยกับหิมะบนดอกเหมยกลับมาด้วย

ตอนกลับมาที่เนินเขา ลู่เหวินจวินและชิงเฟิงได้ใช้เชือกผูกตัวเสือเพื่อเตรียมลากมันกลับไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“พวกท่านคิดจะลากมันกลับไปทั้งแบบนี้หรือ ? หนังเสือดี ๆ ผืนหนึ่งจะไม่เสียของหรือไร ? ทิ้งมันไว้ที่นี่แล้วเราลงเขาก่อน จากนั้นค่อยให้คนมาแบกมันลงไปเถิด” หลินเว่ยเว่ยคิดว่าตนสามารถใช้มือข้างเดียวยกตัวเสือลงไปได้ แต่ถูกบัณฑิตหนุ่มห้ามไว้ชนิดหัวชนฝา…คนเจ็บต้องมีท่าทางเหมือนคนเจ็บบ้าง อย่าทำตัวอวดเก่งเชียว

ขณะมองซากเสือ ชิงเฟิงก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย “เจ้านี่มีค่าตั้งแต่หนังยันกระดูก อย่าให้ใครแย่งไปได้เด็ดขาด เช่นนั้นคงน่าเสียดายมากไม่ใช่หรือ ? ถ้าอย่างนั้น…บ่าวจะคอยดูอยู่ที่นี่ พวกท่านลงเขาไปเรียกคนขึ้นมาดีหรือไม่ขอรับ ? ”

หลินเว่ยเว่ยแกล้งขู่เขา “ไม่กลัวว่าจะมีเสืออีกตัวโผล่มากินเจ้าหรือ ? ”

ชิงเฟิงนึกถึงท่าทางดุร้ายก่อนตายของตัวเสือตัวนี้ เขาจึงตัวสั่นขึ้นมาทันที “เช่นนั้น…พวกเราก็ลากไปเลยดีหรือไม่ ? แม้ว่าหนังของมันจะเสีย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลยขอรับ”

“วางใจได้ เมื่อครู่มีเสียงเสือคำราม ในช่วงสิบกว่าลี้นี้ย่อมได้ยิน แล้วใครยังจะกล้ามาที่นี่อีก ? แม้แต่พวกสัตว์ชนิดอื่นก็ตกใจหนีไปหมดแล้ว เอาซากเสือทิ้งไว้นี่เถิด ปลอดภัยกว่าให้เจ้าลากไปมาก ! ”

เจียงโม่หานเริ่มรำคาญ เขาประคองแขนข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของหลินเว่ยเว่ยแล้วพานางเดินไปตามทางที่เคยเดินตอนขึ้นมา วันนี้ลู่เหวินจวินจับกระต่ายได้ไม่น้อย เขาจึงรีบแบกกระสอบที่หนักอึ้งเดินตามหลัง ชิงเฟิงเดินตามไปด้วยความเสียดาย จากนั้นก็รีบช่วยแบ่งเบาภาระคุณชายรอง

ส่วนเจ้าหนูน้อยก็ดึงตัวเจ้าดำออกมาจากหิมะ เขาดึงขนสองสามเส้นจากตัวเสือแล้วยัดใส่กระเป๋าเงินของตน จากนั้นก็เดินตามติดพี่รองไปและยังบอกให้นางระวังว่าจะเหยียบสิ่งโน้นสิ่งนี้เป็นครั้งคราว

ตอนพวกเขากลับมาถึงบ้านก็เลยเวลาทานมื้อกลางวันแล้ว เมื่อเจ้าหนูน้อยกลับมาถึงหมู่บ้านก็ไม่ได้ตรงเข้าบ้านทันที แต่วิ่งไปหาท่านหมอเหลียงแทน

เมื่อเห็นรอยเลือดบนเสื้อคลุมสีขาวของเจียงโม่หาน นางหวงและนางเฝิงก็ใจหายทันใด พอได้ยินว่าพวกเขาไปเจอเสือมา นางหวงก็ตกใจจนเป็นลม กระทั่งหมอเหลียงมาทำแผลให้หลินเว่ยเว่ยแล้ว นางถึงได้ฟื้นขึ้นมา

ขณะมองแขนซ้ายที่ถูกพันแผลเรียบร้อยของหลินเว่ยเว่ย หมอเหลียงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “แขนข้างนี้ของเจ้าช่างมีเวรมีกรรมเหลือเกิน ! ทุกครั้งที่บาดเจ็บก็มักจะเป็นข้างนี้เสมอ ! ”

นางหวงรีบถาม “ท่านหมอเหลียง แผลที่แขนของเสี่ยวเว่ยเป็นอย่างไรบ้าง ? ร้ายแรงหรือไม่ ? ”

หมอเหลียงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ร้ายแรง ! แขนหัก เอ็นข้อมือขาด ถ้าไม่ตั้งใจรักษาตัวดี ๆ แขนข้างนี้ได้พิการแน่ ! ”

นางหวงน้ำตาตกใน นางรีบเข้าไปจับแขนที่ถูกพันด้วยผ้าราวกับมัมมี่ของหลินเว่ยเว่ย

นางเฝิงถามบุตรชายว่า “พวกเจ้าไม่ได้ไปจับกระต่ายหรอกหรือ ? แล้วเหตุใดจึงไปเจอเสือเอาได้ ? ”

ในสายตาของเจียงโม่หานมีเพียงร่างที่บาดเจ็บและกำลังพูดจายิ้มแย้มเพื่อปลอบใจนางหวง เขาตอบมารดาด้วยเสียงแหบพร่า “เสี่ยวเว่ย นาง…บาดเจ็บเพราะช่วยข้า…”

หลินเว่ยเว่ยขัดจังหวะเขาด้วยการพูดกับหมอเหลียง “ท่านปู่เหลียง ท่านช่วยจ่ายยาสงบจิตใจให้บัณฑิตน้อยด้วยเถิด วันนี้เขาเองก็ตกใจไม่น้อย…”

เจียงโม่หานพูดไม่ออก เอาเถิด เขายอมรับว่าคราวนี้ตกใจมากจริง ๆ แค่อีกนิดเดียว ศีรษะของเขาก็เกือบโดนเสืองับเข้าให้ แต่ก็ได้เด็กน้อยใช้แขนมากันไว้ก่อนและทำให้เสือร้ายตกใจจนวิ่งเตลิดออกไป ! ถ้าเกิดขึ้นอีกสองสามครั้ง เขาจะต้องตกใจจนหัวใจวายเป็นแน่ !

“ไอหยา พวกท่านเลิกมองข้าด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยได้หรือไม่ ? พวกท่านทำราวกับข้าใกล้ตายแล้วไม่มีผิด ! ข้ายังอยู่ดีไม่ใช่หรือ ? ข้ายังสามารถกระโดดโลดเต้นได้ พวกท่านจะกังวลอะไรกัน ? ”

เจียงโม่หานถลึงตาใส่เพื่อปรามไม่ให้นางลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นจริง ๆ