บทที่ 313 วรยาเสียชีวิต

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

นัทธีเดินเข้าไป

วารุณีก็เหมือนกับมีคนที่พึ่งได้ ทันใดนั้นก็เบะปาก ถลาเข้าสู่อ้อมแขนของเขาแล้วร้องไห้

นัทธีกอดเธอไว้ ตบหลังเธอเบาๆ“แม่เป็นอย่างไรบ้าง?”

ตอนที่เขามา ก็เจอกับพิชิตที่ประตูโรงพยาบาลแล้ว

พิชิตบอกเขาว่า วรยาเกิดเรื่อง

วารุณีร้องไห้สะอึกสะอื้น“ฉันไม่รู้ ฉันมาที่นี่หนึ่งชั่วโมงแล้ว แม่ยังไม่ออกมาเลย”

พอได้ยิน หัวใจของนัทธีก็หม่นลง“แม่เป็นอะไรกันแน่?”

“ตอนบ่าย คนที่สถานีตำรวจโทรมาหาฉัน บอกว่าแม่ตกลงมาจากบันไดคฤหาสน์ตระกูลศรีสุขคํา”วารุณีเอาหน้าซุกไปที่อ้อมแขนของเขา น้ำตาเปียกคอเสื้อสูทเขา

นัทธีหรี่ตาลง“คฤหาสน์ตระกูลศรีสุขคํา……”

“ใช่”วารุณีพยักหน้า

ริมฝีปากบางๆของนัทธีเม้มเป็นเส้นตรง“ทำไมแม่ถึงตกลงมาจากบันไดได้?”

“ฉันไม่รู้ คนที่สถานีตำรวจไม่ได้บอกฉัน ฉันก็ไม่ได้ถาม”สองมือของวารุณีคว้าแขนเสื้อของเขาไว้แน่น ส่ายหน้าร้องไห้

นัทธีผลักเธอออกเบาๆ“ผมจะโทรถามดู”

“โอเค”วารุณีตอบอือ แล้วใช้หลังมือเช็ดน้ำตา

ตอนนี้เธอเอาความคิดทั้งหมดไปไว้ที่วรยา ในหัวนั้นปั่นป่วน ไม่มีอารมณ์ไปถามพวกนั้นเลย

ส่งต่อให้เขา ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว

นัทธีหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเดินไปอีกด้าน โทรออกไปเบอร์หนึ่ง

ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับปลายสาย โทรคุยได้สองนาทีก็วางสาย

วารุณีมองเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ“เป็นไงบ้าง?”

นัทธีส่ายหน้าเบาๆ“ที่โรงพัก บอกว่าเดี๋ยวจะให้ตำรวจมา บอกรายละเอียดสถานการณ์กับพวกเรา”

“ค่ะ”มือทั้งสองข้างของวารุณีกุมเข้าหากัน ตอบรับออกไป

ผ่านไปไม่นานนัก คนที่โรงพักก็มา

“ใช่คุณนัทธีกับคุณวารุณีไหม?”ตำรวจมองทั้งสองคนแล้วถาม

วารุณีฟังน้ำเสียงของเขาออก ก็ประหลาดใจเล็กน้อย“คุณคือคนที่โทรหาฉันก่อนหน้านี้ แล้วบอกว่าแม่ฉันเกิดเรื่องใช่ไหมคะ?”

“ครับ”ตำรวจพยักหน้า

วารุณีเดินผ่านนัทธี เข้าไปจับแขนเสื้อของตำรวจ“ตำรวจ กรุณาบอกฉันที แม่ฉันเป็นอะไรกันแน่?”

“เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณหญิงของตระกูลศรีสุขคําบอกว่า แม่คุณไถลลื่น จึงตกลงมาจากบันไดครับ”ตำรวจตอบ

“จะเป็นไปได้ไง?”วารุณีบีบฝ่ามือ ไม่ยอมเชื่อกับคำตอบนี้

นัทธีเดินเข้าไป โอบไหล่ของเธอไว้ แล้วมองตำรวจ“ผมอยากถามว่า พวกคุณรู้ได้ไงว่าแม่ยายผมตกบันได?”

“เจ้าของบ้านตระกูลศรีสุขคําแจ้งความเองครับ”ตำรวจพูดอีก

“สุภัทร?”วารุณีกัดริมฝีปาก“งั้นตอนนี้สุภัทรกับขยานีล่ะคะ?”

“ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ที่โรงพัก ถึงแม้พวกเขาจะบอกว่าแม่ของคุณตกลงมาเอง แต่ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าพวกเขาพูดความจริง ดังนั้นพวกเราจึงพาพวกเขามาสืบหาที่โรงพักก่อน”ตำรวจพูด

วารุณีกำฝ่ามือไว้แน่น“ไม่ว่าอย่างไร ฉันไม่เชื่อแน่ว่าแม่ฉันตกลงมาเอง”

ถึงแม้แม่จะไม่ระวังตัวไถลลง แล้วตกลงมาจากบันไดเอง แต่ความน่าจะเป็นแบบนั้นก็น้อยมาก

ยิ่งไปกว่านั้น แม่เธอยังอยู่ที่ตระกูลศรีสุขคําแบบนั้นด้วย จะเป็นไปได้เหรอ?

เธอก็ยิ่งค่อนข้างเชื่อว่า แม่เธอถูกคนผลักลงไป

นัทธีมองออกว่าในใจของวารุณีคิดอะไรอยู่ มือที่วางไว้ตรงไหล่เธอ ก็บีบเบาๆ“วางใจเถอะ ความจริงจะเป็นอย่างไร ผมจะสืบออกมาให้ได้”

ตำรวจก็แสดงอาการออกไปว่า“ใช่คุณวารุณี เรื่องนี้ พวกเราที่โรงพักก็จะสืบหาให้ชัดเจนอย่างที่สุด”

วารุณีสูดหายใจลึกๆ ระงับอารมณ์ที่ไม่มั่นคงในใจลง พยายามฉีกยิ้มออกไป“ค่ะ”

เธอพูดจบ ไฟด้านนอกห้องฉุกเฉินก็ดับลง

ดวงตาวารุณีเป็นประกาย รีบหันไป แล้วเดินไปตรงหน้าหน้าประตูห้องฉุกเฉิน

นัทธีไม่ได้รีบไป แต่มองตำรวจที่อยู่ตรงข้าม“รบกวนพวกคุณคุมตัวสองสามีภรรยาสุภัทรก่อน อย่าให้พวกเขาไปจากโรงพัก หลังจากแม่ยายผมฟื้นแล้ว ค่อยดำเนินการสืบสวน”

“วางใจเถอะคุณนัทธี ผมเข้าใจแล้ว”ตำรวจพยักหน้า

นัทธีตอบอือ แล้วเดินไปที่วารุณี

พอเดินไปถึงวารุณี ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก หมอที่สวมชุดผ่าตัดสีฟ้าออกมาจากด้านใน

วารุณีรีบไปขวางเขาไว้“หมอคะ แม่ฉันเป็นอย่างไรบ้าง เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”

หมอมองเธอแวบหนึ่ง แล้วถอดหน้ากากถอนหายใจออกมา“ขอโทษด้วยนะครับคุณผู้หญิง พวกเราพยายามอย่างที่สุดแล้ว”

สีหน้าวารุณีเปลี่ยนไปอย่างมาก

รูม่านตาของนัทธีหดลงทันที น้ำเสียงจริงจังอย่างมาก“คุณบอกว่าพยายามอย่างที่สุดแล้ว หมายความว่าไง?”

หมอที่เห็นความเป็นความตายมาเยอะแล้ว ดังนั้นพอเผชิญหน้ากับคำถามของเขา ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ใหญ่โตนัก ได้แต่ถอนหายใจอย่างเสียดาย“ผู้หญิงด้านในล้มบาดเจ็บรุนแรงมาก กระดูกสันหลังหักไปทั้งตัว ส่วนศีรษะได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนส่งมาที่นี่ก็หายใจรวยรินแล้ว ผมพยายามช่วยเธออย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ขอโทษนะครับ ที่ช่วยมาไม่ได้ เธอเสียชีวิตแล้ว ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ!”

พูดคำนี้จบ หมอก็เดินผ่านทั้งสองไป

และในหัวของวารุณีก็รู้สึกตื้อๆไป เลือดทั้งตัวแข็งไป มือเท้าเย็น สักพักจึงส่งเสียงตัวเองออกมาด้วยริมฝีปากที่สั่น“นัทธี เมื่อกี๊หมอ บอกว่าแม่ฉันเป็นอะไรนะ?”

เธอเงยหน้าขึ้น ดวงตาเบิกโต รูม่านตาหม่นลงไป มองเขาเงียบๆ

นัทธีเห็นเธอแบบนี้ หัวใจก็เหมือนกับถูกใครบีบไว้ ขยับริมฝีปากบางๆพูดว่า“แม่……เสียชีวิตแล้ว!”

รูม่านตาของวารุณีหดลงจนเล็ก จากนั้นดวงตาก็กลอกขึ้นมา รับการโจมตีนี้ไม่ไหว แล้วร่างก็ล้มลงไปด้านหลัง

นัทธีเห็นแบบนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป หลังจากเรียกวารุณีด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรน ก็ยื่นแขนออกไปรับเธอไว้ จากนั้นเรียกหมอเข้ามา

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน วารุณีก็ตื่นขึ้นมาด้วยฝันร้าย

เธอเด้งขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยเหงื่อที่เต็มหน้า หอบอย่างรุนแรง ใบหน้ายังมีร่องรอยแห่งความตกใจหลงเหลืออยู่

นัทธีผลักประตูเข้ามา มองเห็นเธอฟื้น ก็รีบเดินไป“ฟื้นแล้วเหรอ?”

“นัทธี?”วารุณีหันไปมองเขาก่อน จากนั้นก็รีบกอดแขนของเขาไว้“นัทธี ฉันเพิ่งฝันไป ฉันฝันว่าแม่ฉันตายแล้ว……”

“นั่นไม่ใช่ความฝัน!”นัทธีละสายตาลงไปมองเธอ ตัดบทของเธอ

วารุณีดูนิ่งไป สักพักจึงขยับปากที่ซีดขาว“นัทธี คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังพูดอะไร?”

นัทธีกอดศีรษะของเธอไว้ เอาหน้าของเธอซุกไปที่อ้อมแขน“ผมรู้ แต่ในใจของคุณก็รู้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”

ร่างของวารุณีแข็งทื่อ

นัทธีลูบผมของเธอแล้วพูดอีกว่า:“วารุณี อย่าหลอกตัวเองเลย นั่นไม่ใช่ฝันร้าย แม่ไม่อยู่แล้วจริงๆ”

นี่เป็นประโยคที่ตรงสุดๆ เป็นการทำฝันร้ายอันลวงตาที่วารุณีสร้างขึ้นมาอย่างไม่ง่ายดายนัก ทลายลงทันที

วารุณีกัดริมฝีปากแน่น ริมฝีปากถูกกัดจนซีดขาว สุดท้ายก็มีเลือดสดไหลออกมา

เธอกัดปากของตัวเองจนแตก

ใช่สิ อย่างที่นัทธีบอก นั่นไม่ใช่ฝันร้าย แต่แม่ของเธอไม่อยู่แล้วจริงๆ!

เวลานี้ วารุณีไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกแล้ว กอดนัทธีไว้แล้วร้องไห้ออกมา เสียงร้องไห้ก็ยิ่งเศร้าโศกหมดหวังดว่าตอนอยู่ด้านนอกห้องฉุกเฉินมากขึ้น และดังมากขึ้น

ถึงแม้ทั้งห้องคนไข้จะมีแต่เสียงร้องไห้โหยหวนของวารุณี แต่นัทธีก็ไม่รู้สึกว่าเสียงร้องไห้ของเธอน่ารำคาญ แต่กลับสงสารอย่างมาก

แต่เขาไม่ได้ห้ามวารุณีร้องไห้

เพราะว่าเขารู้ว่า เธอในตอนนี้ต้องการระบายความหมดหวังกับความเสียใจภายในใจออกมา ไม่งั้นก็จะยิ่งส่งผลเสียต่อร่างกาย

“ทำไม ทำไม!”วารุณีร้องไห้ไป ก็ทุบตีใส่ผ้าห่มแล้วโทษตัวเองว่า“ทำไมตอนเช้าฉันไม่ห้ามแม่ฉันไปตระกูลศรีสุขคํา ทำไมฉันไม่ดึงเธอไว้!”

ถ้าตอนนั้นเธอห้ามวรยา แม่ก็จะไม่ไปตระกูลศรีสุขคํา และก็ไม่ตาย ใช่ไหม?