บทที่ 329 ชักชวนสองพี่สะใภ้ทำกิจการ
บทที่ 329 ชักชวนสองพี่สะใภ้ทำกิจการ
เหยาเฟิงจ้างรถม้าพาครอบครัวและเด็ก ๆ เดินทางอยู่สี่ห้าวันก็มาถึงเมืองหลวง
เดิมทีควรจะเดินทางถึงเมื่อคืน เเต่เนื่องจากเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ทั้งห้าคนจึงจำเป็นต้องหยุดพักก่อนหนึ่งคืน และจะเดินทางมาถึงในเช้าวันรุ่งขึ้น
แถวที่ต่อเข้าเมืองหลวงค่อย ๆ ขยับขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมองไปเขาเห็นเหยาเฉาซึ่งยืนอยู่ข้างทหารเฝ้าประตูเมือง ชายหนุ่มยืนขึ้นและยิ้ม มองมาที่รถม้าของพวกเขา
เหยาเฟิงอดที่จะตะโกนออกมาไม่ได้ “อาเฉา!”
เหยาเฉาที่อยู่ในชุดสีขาวเดินขึ้นหน้า หยุดลงด้านหน้ารถม้า ส่วนเหยาเฟิงกระโดดลงจากรถม้ากระเเทกไหล่กับน้องชายของเขา
เหยาเฉายิ้มแล้วกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ร่างกายของท่านกำยำขึ้นหรือไม่ อีกทั้งยังคล้ำลง”
เป็นธรรมดาที่สองพี่น้องผู้ไม่ได้เจอกันมาเป็นเวลานานจะมีเรื่องให้สนทนากันมากมาย ทว่ามีผู้คนอีกมากกำลังรอเข้าเมือง พวกเขาจึงทำได้เพียงเก็บเรื่องที่อยากจะคุยเอาไว้ก่อน รอกลับไปแล้วค่อยพูดคุยกัน
ไม่ต้องพูดถึงเซียงเวยที่เปิดม่านมองออกมาจากรถม้า มองดูสามีของตนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมีคำพูดนับพันคำอยู่ในใจ
เหยาเฉาเดินไปถึงด้านล่างผ้าม่านของรถม้า มองดูใบหน้างดงามของภรรยา ก่อนเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูสบายใจ “อาเวย เจ้ามาแล้ว”
มุมปากของสะใภ้รองเหยายกขึ้น และกล่าวว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ข้ามาแล้ว ท่านชอบไหม”
ดวงตาดอกท้อทั้งสองข้างของเหยาเฉาทำให้คนมองรู้สึกใจเต้นแรง ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขายามนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เอ่ยพูดกับภรรยาของตนว่า “ในที่สุดเจ้าก็มา ข้าต้องชอบสิ”
คนหนึ่งอยู่บนรถม้า อีกคนอยู่ด้านนอกรถ ถูกกั้นไว้ด้วยระยะทางที่ไม่ใกล้ไม่ไกล สายตาของทั้งคู่เต็มไปด้วยความสุข ความรัก ความห่วงใยที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง จนทำให้คนที่อยู่รอบข้างต่างก็รู้สึกอิจฉา
ทหารเฝ้าประตูเมืองที่ทำหน้าที่ตรวจตราผู้คนจำเหยาเฉาได้ ทั้งคู่ได้พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเช่นนี้เขาก็อดที่จะพูดด้วยรอยยิ้มไม่ได้ว่า “ใต้เท้าเหยา! หยุดจ้องได้เเล้ว รีบพาครอบครัวเข้าเมืองเถอะ”
เหยาเฉาและเซียงเวยก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง
ทั้งสองสบสายตาด้วยรอยยิ้ม ชายหนุ่มกล่าวด้วยเสียงเบา ๆ “เข้าเมืองเถอะ”
ม่านได้ถูกปิดลง
รถม้าแล่นผ่านประตูเมือง หลังจากรอการตรวจสอบแล้ว เหยาเฉาก็ขึ้นมานั่งข้าง ๆ เหยาเฟิง
เขาพูดคุยกับเหยาเฟิงไม่กี่ประโยคพลางบอกทางพี่ชายไปด้วย ไม่นานพวกเขาก็มาถึงด้านตะวันตกของเมือง
รถม้าเพิ่งมาถึงเพียงเเค่ปากทาง แต่อาจื้อมีดวงตาเฉียบคม หลังจากมองเห็นอย่างชัดเจนจึงรีบไปบอกกับคนในครอบครัว “ท่านลุง! ท่านพ่อ ท่านแม่ นั่นคือพวกท่านลุงขอรับ”
หลินเหราและเหยาซูพาเอ้อเป่าเดินออกมา หลังจากที่เห็นสองพี่น้องที่นั่งมาด้วยกันใบหน้าของหญิงสาวก็เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม รถม้าเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ รอให้รถม้าหยุดนิ่งลง เหยาซูเดินขึ้นหน้า เเละเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น “มากันหมดใช่หรือไม่ พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รองและลูก ๆ มากันหมดใช่ไหม”
เหยาเฟิงยิ้มอย่างสดใสและกระโดดลงมาจากรถม้า
อาจื้อและอาซือเข้าไปล้อมเหยาเฟิง ส่งเสียงพูดคุยเจี๊ยวจ๊าว พอเหยาเฉาได้ยินดังนั้นก็ยกผ้าม่านของรถม้าขึ้น เเล้วยิ้มให้เหยาซู “เจ้าดูสิว่ามากันหมดไหม”
เหยาต้าหลางและเหยาเอ้อหลางที่เก็บความรู้สึกไว้ไม่อยู่ทั้งคู่ก็พลันกระโดดลงจากรถม้า ทักทายท่านอาและท่านอาเขยของเขาก่อน และเข้าไปพูดคุยกับอาจื้อและอาซือ
หลังจากนั้นสะใภ้ทั้งสองของตระกูลเหยาก็ก้าวลงจากรถม้า
เหยาซูเข้าไปจับเเขนพี่สะใภ้ทั้งสองของนาง เเล้วกล่าวอย่างดีใจว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง พวกท่านมาแล้ว”
หลินเหราทักพี่สะใภ้ทั้งสองอย่างสุภาพ เเละเดินไปหาเหยาเฉาเพื่อชวนเหยาเฟิงเข้าบ้าน
เหยาซูพาพี่สะใภ้สองคนตามทุก ๆ คนเข้าประตูไป
พลางถามขึ้นมาว่า “ระหว่างทางพี่สะใภ้ทั้งสองลำบากมากหรือไม่ ใช้เวลาเดินทางกี่วัน”
พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวอย่างอบอุ่น “พวกเราสบายดี เดินทางบ้างหยุดพักบ้าง ไม่ได้เหน็ดเหนื่อยเเต่อย่างใด ใช้เวลาเดินทางห้าวัน เเต่เด็ก ๆ ทั้งสองคนรู้สึกอึดอัดกับการเดินทางไม่น้อย”
พี่สะใภ้รองหัวเราะออกมา “ใช่แล้ว”
เหยาซูได้ยินเช่นนั้น ในสมองก็นึกภาพตาม อดที่จะหัวเราะไม่ได้
หญิงสาวทั้งสามคนเดินเข้าประตูบ้านผ่านบริเวณสวน
เรือนหลังนี้นับว่าไม่เล็กเลยจริง ๆ ร่มรื่นด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ทั้งยังมีดอกไม้ที่ออกดอกเบ่งบาน นอกจากนี้ ระเบียงทางเดินและปลาที่แหวกว่ายท่ามกลางสระน้ำก็ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลาย และมีความสุขตลอดทาง
สะใภ้ทั้งสองของบ้านตระกูลเหยาต่างก็ล้วนเป็นลูกสาวของตระกูลที่มั่งคั่ง เเต่กลับไม่เคยเห็นบ้านที่ละเมียดละไมและสวยงามเช่นนี้มาก่อน จึงได้พยักหน้าในใจ
พี่สะใภ้ใหญ่ชื่นชมด้วยเสียงที่อบอุ่นและจริงใจ “เจ้าออกมาจากบ้านเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้ที่พักดี ๆ ยังไม่ทันจะคุ้นเคยกับชีวิตในเมือง แต่กลับเลือกที่พักได้ดีไม่น้อย”
เหยาซูยิ้มเบา ๆ เเล้วส่ายหัว “เรื่องนี้ต้องยกให้หลินเหราเเละพี่รอง ข้าไม่ได้ยื่นมือเข้าไปวุ่นวายแต่อย่างใด อาเหราไหว้วานให้สหายของเขาช่วยหาให้ พี่รองเป็นคนจัดการตกเเต่งบ้านใหม่ ท้ายที่สุดจึงได้ออกมาสวยงามเช่นนี้”
พี่สะใภ้รองดึงมือของเหยาซูมาเเล้วกล่าวว่า “พวกเขาควรทำสิ่งต่าง ๆ ที่บุรุษควรกระทำ เพียงทำให้พวกเรามองแล้วพึงพอใจก็ถือว่าได้มาตรฐาน”
เหยาซูหัวเราะกับคำพูดของพี่สะใภ้ พี่สะใภ้ใหญ่ก็ได้ห้ามไว้ ส่ายหน้าเเล้วกล่าวว่า “อาเวยช่างใจกว้าง มองอย่างทะลุปรุโปร่ง”
นิสัยของเซียงเวยนับว่าเป็นคนคล่องเเคล่วที่สุดในบรรดาทั้งสามคน เวลาอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ตระกูลเหยา นางเป็นคนที่มีความสามารถ เเต่เวลาอยู่ต่อหน้าผู้อื่นก็สามารถเกทับผู้อื่นได้เช่นกัน
เหยาซูยิ้มเเล้วตอบว่า “ในตอนที่เเม่เฒ่าหวังพาลูกสะใภ้ไปก่อเรื่องที่บ้านตระกูลเหยา ยังเป็นพี่สะใภ้รองที่เเข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกลับ พี่สะใภ้ใหญ่ก็ออกโรงจัดการด้วยตนเอง เช่นนี้ก็ทำให้พวกนั้นไม่สามารถเอาเปรียบได้”
พี่สะใภ้รองบีบแก้มของเหยาซูเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “พยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อหยอกเย้าพี่สะใภ้สองคนของเจ้า”
นานแล้วที่ทั้งสามคนไม่ได้พบกัน ได้พบหน้ากันวันนี้ นับว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่น้อย จากนั้นก็ได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของเมืองหลวง
เหยาซูจูงมือพี่สะใภ้ทั้งสอง เเละกล่าวอย่างตั้งใจ “ช่วงนี้ข้าไม่ได้พักผ่อนเลย ข้าซื้อภัตตาคารทำเลดีแห่งหนึ่งทางตะวันตกของเมือง เพิ่งเปิดใหม่เมื่อวานนี้ พี่สะใภ้สองคนสนใจจะช่วยเรื่องกิจการหรือไม่ เพราะลำพังข้าคนเดียวคงไม่สามารถดูแลได้”
พี่สะใภ้ใหญ่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงโบกมือ “ข้าทำไม่ได้ เจ้าลองถามอาเวยดู”
พี่สะใภ้รองสนใจภัตตาคารที่เหยาซูพูดเป็นอย่างมาก นางสนับสนุนให้สตรีทำการค้า และมีความคิดเช่นนี้มาตลอด เพียงเเต่ไม่เคยได้ลงมือทำจริง ๆ
เมื่อก่อนตอนที่อยู่หมู่บ้านตระกูลเหยา นางทั้งสองคนตามเหยาซูไปทำชาดทาหน้า เพียงเเค่ออกเงินเล็กน้อยแต่ในท้ายที่สุดก็ได้รับส่วนเเบ่งเป็นจำนวนมาก ภายในใจเซียงเวยเองก็รู้สึกเกรงใจอยู่ไม่น้อย
ได้ยินเหยาซูพูดเช่นนี้ พี่สะใภ้รองก็อดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “ภัตตาคารหนึ่งร้านเป็นอย่างไรบ้าง กิจการเป็นอย่างไร อยากให้ข้ากับพี่สะใภ้ใหญ่ช่วยเรื่องอันใด”
พี่สะใภ้ใหญ่เห็นว่าเซียงเวยยังคงดึงนางเข้าไปเกี่ยว นางก็เอ่ยปฏิเสธ “เจ้าสองคนทำน่ะดีแล้ว ข้าจะคอยสนับสนุนอยู่ด้านหลัง ถ้ามีปัญหาเรื่องเงินก็บอก”
ทั้งสองหัวเราะ
เหยาซูส่ายหัว กล่าวว่า “พี่สะใภ้ใหญ่โปรดฟังก่อน ถ้าหากท่านมีความสนใจ พวกเราก็มาร่วมมือกัน หากไม่สนใจข้าจะไม่บังคับท่าน”
พี่สะใภ้ใหญ่ยิ้มแล้วพยักหน้า “รีบพูดเถอะ ไม่เห็นสีหน้าร้อนรนของอาเวยหรือ ข้าเองก็อยากจะรู้ว่าร้านอาหารของอาซูจะเป็นอย่างไร”
เหยาซูจึงไม่พูดพร่ำทำเพลงและเข้าเรื่องทันที “ร้านอาหารร้านนั้นเดิมทีเปิดอยู่ในเมืองหลวงมาแล้วสามสี่ปี ร้านมีชื่อว่า ‘อิ๋งเค่อ’ กิจการดำเนินมาได้ดี ข้าเห็นว่าทำเลที่ตั้งมีคนเข้าคนออกตลอด ถือว่าได้เปรียบ ฝีมือทำอาหารของพ่อครัวก็ไม่เลว มีลูกค้าประจำไม่น้อย”
สองคนพยักหน้า
พี่สะใภ้ใหญ่ที่ละเอียดรอบคอบได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า “ถ้าหากว่ากิจการไปได้ด้วยดี แล้วเหตุใดเจ้าของคนเก่าจึงเปลี่ยนเจ้าของเล่า”
เหยาซูส่ายหัวเเล้วกล่าวว่า “นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ประจวบเหมาะ เจ้าของเดิมนั้นไม่เลวเลยเพียงเเต่ติดการพนันเเละมีหนี้สินจำนวนมาก ดอกเบี้ยนับวันยิ่งสูงขึ้น เงินที่ได้จากร้านอาหารก็นำมาใช้หนี้จนหมด เเต่มันก็ยังไม่เพียงพอ จึงต้องเปลี่ยนมือมาให้ข้า ”
พี่สะใภ้รองเห็นท่าทางเหยาซูที่ทอดถอนใจ ก็ได้ยิ้มแล้วกล่าวปลอบใจว่า “นับว่าเป็นวาสนา ถ้าหากว่าได้เจ้ามารับช่วงต่อ เจ้าของคนเดิมก็คงจะไม่มีทางออกเช่นกัน อาซูเป็นคนจิตใจดีและก็ทำธุรกิจได้ ทำไมยังไม่ทำให้ร้ายขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอีกเล่า”
พี่สะใภ้ใหญ่หัวเราะออกมา “ก็ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น”
ทั้งสามคนพูดคุยกันจนกระทั่งมาถึงสวนหลังบ้าน เหยาเฟิงและเหยาเฉาสองพี่น้องหยุดรอพวกเขา ส่วนหลินเหราได้พาลูก ๆ เข้าห้องไปแล้ว
เหยาซูยิ้มกับพี่สะใภ้ทั้งสองแล้วกล่าวขึ้นว่า “เอาสัมภาระเข้าไปเก็บก่อนเถอะ เรื่องของกิจการ หลังจากที่พวกเรากินข้าวกันเสร็จเเล้วค่อยมาพูดคุยกันอีกครั้ง”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เพิ่งเห็นโมเมนต์ของพี่เฉากับภรรยาก็ตอนนี้เอง หวานไม่แพ้คู่น้องสาวเลยค่ะ
มีพี่สะใภ้สองคนมาช่วยกิจการแล้ว เตรียมตัวปังได้เลยค่ะ
ไหหม่า(海馬)