บทที่ 372 ฆาตกรฆ่าตระกูลเซียว

เว่ยฉิงช่วยเซียวซานหลางให้นั่งลงบนรถเข็น พาเขาเข้าไปในห้องพร้อมกับปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา

“อาฉิงนั่งลงก่อนเถอะ”

เว่ยฉิงนั่งเก้าอี้ สายตายังคงจับจ้องท่านลุงสามอย่างไม่กะพริบตาจนเซียวซานหลางอดหัวเราะออกมาไม่ได้

“เจ้าหนู อย่าทำหน้าน่ากลัวแบบนั้นสิ” ในความทรงจำของเขา หลานชายคนนี้มักจะมีใบหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอ แต่ตอนนี้กลับดูเศร้าหมอง

ไม่ว่าหลานชายผู้นี้ของเขาจะเป็นคนแข็งแกร่งมั่นคงสักเพียงไหน แต่หัวใจของเขายังมีเลือดเนื้อ ต่อให้รู้สึกเศร้าใจ เขาก็ไม่อาจแสดงออกมาให้ผู้ใดเห็นได้ ยิ่งเขาเป็นแบบนี้ยิ่งทำให้เซียวซานหลางรู้สึกปวดร้าวสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าอยากจะมีชีวิตที่ยืนยาวเพื่อที่จะอยู่คอยดูแลเขามากเพียงไหนก็ตาม แต่ชะตาชีวิตย่อมไม่อาจกำหนดเองได้

“เจ้าจะเสียใจไปทำไม มนุษย์ทุกคนล้วนต้องมีอันเป็นไปทั้งนั้น”

“ท่านลุง ท่านต้องไม่เป็นอะไร หมอซูจะช่วยรักษาท่านได้”

“เอาละๆ ข้าจะดีขึ้น ข้าจะรอดูวันที่เจ้ามีหลานชายตัวอ้วนๆ ให้ข้าเพื่อที่ข้าจะได้กลายเป็นท่านปู่” แม้ว่าเซียวซานหลางจะพูดเช่นนั้นแต่ตัวเขาเองกลับคิดตรงกันข้าม

“จุดธูปให้มารดาของเจ้า” เซียวซานหลางกดที่ผนัง ช่องที่ซ่อนอยู่จึงปรากฏออกมา เมื่อเปิดออกจึงเห็นป้ายวิญญาณอยู่ที่ด้านในช่องนั้น เขาจุดธูปสามดอกส่งให้เว่ยฉิง ทั้งสองคนคำนับคารวะป้ายวิญญาณ แล้วปักธูปลงกระถาง

“ลุงกำลังจะพูดเรื่องสำคัญให้เจ้าฟัง” เซียวซานหลางดูจริงจัง

“อาฉิง อันที่จริงตลอดปีที่ผ่านมาลุงได้สืบหาเบาะแสเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตระกูลเซียวมาโดยตลอด ตระกูลเซียวมีความจงรักภักดีมาตั้งแต่บรรพบุรุษแต่สุดท้ายกลับต้องมาโดนข้อหากบฏและทรยศเช่นนี้ได้อย่างไร ใครเป็นคนใส่ร้ายตระกูลเซียวกันแน่”

“เมื่อก่อนข้ายังไม่อยากเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟัง เป็นเพราะเห็นว่าเจ้ายังมีความมุทะลุอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เจ้าดูใจเย็นสุขุมลงบ้างแล้ว ลุงจะเล่าให้เจ้าฟัง” เซียวซานหลางมองเว่ยฉิง

ไม่ใช่ว่าเว่ยฉิงจะสุขุมเยือกเย็นอย่างที่เขาพูดหรอก แต่นั่นเป็นเพราะเวลาของท่านลุงกำลังจะหมดแล้วต่างหาก เว่ยฉิงรู้กระจ่างเป็นอย่างดี

“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหวัง” เซียวซานหลางเอ่ย

“หวังกุ้ยเฟย องค์ชายสาม?” เว่ยฉิงถามอย่างประหลาดใจ

“ใช่! หลักฐานที่ว่าตระกูลเซียวของเราร่วมมือกับศัตรูเป็นจดหมายลายมือของท่านปู่ของเจ้า มีแต่คนใกล้ชิดเท่านั้นถึงจะปลอมลายมือของท่านได้ ลุงได้ตรวจสอบคนใกล้ชิดรอบตัวทีละคน สุดท้ายก็ได้พบเบาะแสจากคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้เป็นทหารรับใช้ในค่ายของท่านปู่ของเจ้า เขาเป็นคนตระกูลหวัง แต่เป็นเพราะไม่ได้อาศัยอยู่ในตระกูลมาตั้งแต่แรกจึงไม่ได้ใช้แซ่หวัง ข้าสืบหาอยู่นานจึงได้รู้ว่าเขามีความสัมพันธ์กับคนตระกูลหวัง แต่คนผู้นั้นกลับเสียสติและตายไปแล้ว เบาะแสที่ได้จึงสูญหายไปด้วย” เว่ยฉิงขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ฟังเรื่องที่ทางลุงสามเล่า เขารู้เรื่องราวในราชสำนักเป็นอย่างดี

มารดาของเขาเป็นฮองเฮา ส่วนตัวเขาเป็นองค์ชายรัชทายาท เบื้องหลังของเขาเป็นตระกูลเซียวที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครที่จะคิดว่าเขาจะไม่ได้สืบทอดบัลลังก์ มีเพียงแค่การกำจัดตระกูลเซียวให้ล่มสลายเท่านั้น ที่จะส่งให้ตระกูลหวังและจ้าวชูได้ขึ้นครองบัลลังก์ หากเป็นเช่นนั้นแล้วก็อาจเป็นไปได้ที่จะเป็นการวางแผนของตระกูลหวัง

“คนแซ่หวัง” ใบหน้าของเว่ยฉิงตึงเครียด ความเกลียดชังฉายอยู่ในดวงตาอย่างชัดเจน

หากเป็นคนตระกูลหวังจริงๆ เขาจะให้คนทั้งตระกูลหวังไถ่โทษชดใช้หนี้เลือดให้กับมารดาของเขา ฝังพวกเขารวมกับมารดา ท่านปู่และท่านลุง รวมทั้งผู้คนในตระกูลเซียวอีกร้อยกว่าชีวิต!

“อาฉิงเจ้าอย่าประมาท ค่อยๆ วางแผน” เซียวซานหลางพูดพร้อมกับจับมือของเอาไว้ เว่ยฉิงพยักหน้าด้วยท่าทางที่สงบลง

“ขอรับท่านลุง หลานรู้ดี” เซียวซานหลางพูดเรื่องต่างๆ มากขึ้น ราวกับเขาต้องการที่จะสั่งเสีย

…………

ถังหลี่อยู่กับหมอซูและฮูหยินซูภายในห้อง หมอซูพลิกตำราการแพทย์อย่างครุ่นคิด ถังหลี่และฮูหยินซูไม่กล้ากวนใจเขา พวกเขาเพียงเฝ้ามองอยู่ห่างๆ

“เสี่ยวถังไม่ต้องกังวล แม้ไท่หยวนจะไม่ได้พูดอะไรก็ตาม แต่ข้าคิดว่าเขาจะหาสมมติฐานของโรคได้ ข้ามั่นใจ” ฮูหยินซูปลอบใจถังหลี่ เมื่อได้ยินคำพูดของนางถังหลี่พลันโล่งอก ถ้าหากถึงมือหมอซูแล้วยังรักษาไม่ได้ก็คงหมดหวัง

เซียวซานหลางเป็นผู้อาวุโสเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของสามีนาง หากเขามีอันเป็นไป…ถังหลี่รู้ดีว่าสามีนางจะเศร้าเสียใจมากเพียงไหน นอกจากนี้ถังหลี่ยังคิดอีกว่าท่านลุงเซียวซานหลางเป็นคนดีมาก แม้จะได้พบกับเขาเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เขายังอายุไม่มากนัก อีกทั้งเป็นคนดีเช่นนี้ เขาไม่ควรเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

“ฮูหยิน!” หมอซูร้องเรียกหาภรรยา ฮูหยินซูรีบไปช่วยหมอซูหาตำราทางการแพทย์ ในที่สุดก็ไม่มีใครสนใจถังหลี่ นางจึงออกมาเดินเตร็ดเตร่ไปรอบๆ

จวนแห่งนี้ใหญ่โตมาก ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและแม่น้ำ มีสภาพแวดล้อมที่สวยงามจริงๆ

หญิงสาวเดินไปจนถึงทะเลสาบ มีชายสูงอายุผู้หนึ่งกำลังตกปลาอยู่ เขาสวมเสื้อผ้าตามสบาย ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดูมีจิตวิญญาณแห่งความเป็นผู้คงแก่เรียน มองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป เขาดูฉลาดมาก อาจจะเป็น…ด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้นางเดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้น

ชายสูงอายุผู้นั้นกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการตกปลาอย่างจริงจัง ถังหลี่นั่งลงบนก้อนหินเท้าคางดูเขาตกปลา

การตกปลาเป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่ง ถังหลี่ดูอย่างเพลิดเพลิน ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดเขาก็ตกปลาตัวอ้วนใหญ่ได้ เขาหยิบปลาออกมจากเบ็ดแล้วปล่อยมันลงทะเลสาบไป เมื่อหันมาเห็นถังหลี่เข้าจึงพูดว่า

“สาวน้อย เจ้านั่งดูข้ามานานแค่ไหนแล้ว?”

ถังหลี่เงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์บนฟ้า

“ตอนนี้พระอาทิตย์อยู่สูงขนาดนี้แล้ว” นางชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า

“น่าจะเกือบชั่วยามแล้วละ”

“ช่างน่าแปลกยิ่งนัก” เขาประหลาดใจ อาจเป็นเพราะคิดว่าคนหนุ่มสาวมักจะไม่ค่อยมีความอดทนมากนักก็เป็นได้ แต่สาวน้อยผู้นี้กลับนั่งเฝ้าดูเขาตกปลาได้นานอย่างไม่น่าเชื่อ

“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงได้ปล่อยปลาลงในทะเลสาบ”

“นั่นเป็นเพราะ ท่านไม่ได้ตกปลาเพื่อที่จะเอามาเป็นอาหาร เพียงแต่รู้สึกเพลิดเพลินในกระบวนการตกปลา ในชีวิตนี้ท่านอาจจะไม่ได้คิดถึงผลลัพธ์ที่ปลายทาง แต่ท่านสนุกกับการได้ลงมือทำมากกว่า” ถังหลี่ตอบชายสูงอายุ ท่าทางฉลาดเช่นนี้ต้องการที่จะสื่อแบบนี้เป็นแน่

“ผิดแล้ว ที่ข้าปล่อยปลาไป เป็นเพราะข้าไม่รู้วิธีย่างปลาต่างหาก”

ถังหลี่ “…………..”

เขาเป็นคนธรรมดาสามัญไม่มีความคิดที่ซับซ้อนจริงๆ

“คนที่ย่างปลาได้เก่งมากกำลังจะตายแล้ว” เขาพูดอย่างสบายๆ แต่กลับมีความเศร้าและสิ้นหวังอยู่ในน้ำเสียงนั้น

แม้ว่าเซียวซานหลางกับเขาจะมีสถานะเป็นเพียงลูกศิษย์กับอาจารย์เท่านั้น แต่พวกเขายังมีความผูกพันที่แน่นแฟ้นต่อกันไม่น้อยเลยทีเดียว เพื่อนของเขากำลังจะตายแล้ว…

“เขายังไม่ตายในเร็ววันนี้หรอก”

“เจ้ารู้หรือว่าข้าพูดถึงใคร?”

“ท่านลุงของเขา”

“ลุงหรือ? จะว่าไปข้ายังไม่รู้เลยว่า เจ้าเป็นใครมาจากไหน ทำไมข้าไม่เคยเห็นหน้าเจ้าเลย?”

“ข้าเป็นภรรยาของเว่ยฉิงเจ้าค่ะ” ถังหลี่พูดก่อนที่จะทำความเคารพชายผู้นั้น “ท่านผู้เฒ่าจ้าน”

ถังหลี่พอจะเดาตัวตนของชายผู้นี้ เขาคือท่านอาจารย์ผู้สอนตำราพิชัยสงครามให้แก่เว่ยฉิงนั่นเอง

ท่านผู้เฒ่าจ้านประหลาดใจ เขามองถังหลี่อย่างสำรวจตรวจตรา ในที่สุดก็ถอนหายใจพูดออกมาว่า

“ไม่น่าเชื่อเลย เจ้าเด็กโง่ผู้นั้นกลับได้แต่งงานกับสาวน้อยที่ดูฉลาดเฉลียวเช่นนี้ได้”

………………..